ตอนที่ 3 ท้า
ขนมปัง
‘เฮียเหมบอกว่ายินดีรับผิดชอบเรื่องรถ ตามที่ขนมปังเรียกร้องทุกอย่างเลยใช่ไหมคะ’
‘อือ’
‘ถ้าอย่างนั้นเฮียมาเป็นแฟนขนมปังอาทิตย์หนึ่งได้ไหมคะ’
‘?’
‘คือ ขนมปังมีเหตุจำเป็นจริง ๆ ขนมปังไม่ได้คิดร้ายเลย เอ่อ เพียงแค่....”
‘ไร้สาระ’
นั่นคือบทสนทนาระหว่างฉันและเฮียเหมหลังจากจบการแข่งขันเมื่อวาน ซึ่งเขาปฏิเสธก่อนจะเดินออกไปอย่างไร้เยื่อใย
เมื่อเหตุการณ์ลงเอยแบบนั้น ตอนนี้ฉันและอาร์มมี่จึงมานั่งคิดไม่ตกอยู่ที่ร้านเหล้า ‘กันเอง’ ร้านเหล้าหลังมหาวิทยาลัย
“เราจะเอาไงกันดีล่ะขนมปัง พรุ่งนี้พวกเราต้องพาเฮียเหมไปพิสูจน์กับยัยเชอรี่นั่นแล้วนะ”
ฉันหันไปมองอาร์มมี่เพื่อนรักด้วยความอาลัย สถานการณ์ตอนนี้จะทำอะไร นอกเสียจากฉันต้องยอมแพ้เชอรี่
“ก็คงต้องยอมแพ้”
“แบบนี้ยัยนั่นต้องเอาเรื่องนี้ของแกไปแฉแน่เลย ต่อจากนั้นทุกคนจะต้องหันมารุมประณามแกที่บังอาจบอกว่าเป็นเมียของเฮียเหม แกต้องไม่มีที่ยืนแน่ ๆ เลยขนมปัง ฉันเตรียมหาเพื่อนใหม่ก่อนดีกว่า”
ฉันหยิบถั่วในจานปาใส่อาร์มมี่ กล้าดียังไงมาแช่งกันแบบนี้
“หยุดเลย เรื่องนี้แกก็เป็นต้นเหตุ”
“แหะ ๆ ขอโทษ”
เราทั้งคู่นั่งจิบเบียร์วุ้นย้อมใจกันอยู่สองคน บีมไม่สามารถมาได้ เห็นบอกว่าต้องไปทำอะไรสักอย่างกับที่บ้าน
“ในที่สุดก็ปิดเทอมสักที ปีหน้าพวกเราย้ายไปอยู่หอด้านนอกกันเถอะขนมปัง”
“ฉันคงไปอยู่ด้วยไม่ได้อะ ป๊ากับม้าซื้อคอนโดใกล้มหาวิทยาลัยไว้แล้ว”
ใจจริงฉันอยากออกไปอยู่หอพักกับเพื่อนนะ แต่พ่อแม่ของฉันยื่นคำขาดว่าถ้าฉันไม่อยู่คอนโดที่พวกท่านซื้อไว้ให้ ฉันจะต้องไปอยู่บ้านป้าของฉันแทน
แล้วฉันจะเลือกอะไรได้นอกจากยอมอยู่คอนโดที่พวกท่านเลือก
“ชิ เบื่อพวกคนรวย”
“พ่อแม่ฉันต่างหากที่รวย ฉันน่ะยากจนจะตายไป ฉันว่าปีสอง ฉันจะทำงานพาร์ตไทม์ด้วย ว่าจะเก็บเงินซื้อน้องชายให้สีเทียน”
รถมอเตอร์ไซค์วินเทจเป็นสิ่งที่ฉันชื่นชอบมากเลย แต่ฉันไม่สามารถขอเงินพ่อแม่มาซื้อได้เนื่องจากพวกท่านไม่สนับสนุนให้ขี่มอเตอร์ไซค์ ฉันเลยต้องหาเงินเพื่อซื้อพวกมันด้วยตัวเอง
“ถามจริงเถอะ รถยนต์ดี ๆ ก็มีทำไมไม่ขับ ไปขี่มอเตอร์ไซค์เก่า ๆ แบบนั้นทำไม”
“ตบปาก อย่ามาดูถูกลูกฉันนะ”
“เฮ้อ ฉันละเพลียกับแก แต่จะว่าไปเพราะรถแกเลยนะ ที่ทำให้แกได้เจอกับเฮียเหม”
คำพูดของอาร์มมี่ทำให้ฉันหยุดชะงักไปชั่วครู่ หากมาคิดดู การที่ฉันได้เจอกับเฮียเหมเป็นเพราะเรื่องรถจริงแต่มันจะมีประโยชน์อะไรล่ะ ถ้าสุดท้ายยังไงพวกเราก็ต้องเหมือนคนไม่รู้จักกันอยู่ดี
“เลิกพูดถึงเฮียเหมสักทีเถอะ ฟังแล้วช้ำใจ”
“โอ๊ะ ฉันว่าแกได้ช้ำใจมากกว่าเดิมแน่”
“อะไรอีกอะ”
“ตอนนี้ไม่ได้มาแค่ชื่อแล้วแต่มาเป็นตัวเป็น ๆ เลย”
คิ้วฉันขมวดเข้าหากัน ไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่เพื่อนสาวพูด แต่เมื่อหันมองตามสายตาของอาร์มมี่ ดวงตาฉันเบิกกว้างทันที
คนที่กำลังเดินเด่นสง่ามาแต่ไกลคือเฮียเหม เฮียเหมตัวจริง แสงจริงแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นเขาและผู้ชายอีกห้าหกคนกำลังเดินตรงมาทางนี้
“เขาเดินมาทางนี้ว่ะแก”
“เห็นแล้วน่า ฉันไม่ได้ตาบอดสักหน่อย”
อาร์มมี่เขย่าแขนฉันไปมาเหมือนคนเสียสติ ส่วนฉันไม่มีสติให้เสียแล้วเพราะสติฉันหลุดลอยไปกับอากาศเรียบร้อย
พวกเขาเดินมานั่งโต๊ะข้าง ๆ พวกเรา ด้วยความที่สถานที่จำกัดเลยทำให้พวกเขานั่งกันไม่พอ
“เอ่อ น้องครับ”
รุ่นพี่ผู้ชายคนหนึ่งเดินมาที่โต๊ะของพวกเรา ความหล่อของเขาทำให้อาร์มมี่เสนอหน้าตอบทันที
“ได้เลยค่ะ พี่อยากได้อะไร ได้หมดเลย”
ฉันหันไปตีเพื่อนพร้อมทั้งหยิกเข้าที่เอวอาร์มมี่เพื่อปรามความบ้าผู้ชายของเพื่อนสาว
“ขอบคุณนะครับ ถ้าอย่างนั้นรวมโต๊ะกันเลยไหม”
“ได้เลยค่ะ”
อาร์มมี่ตอบรับรุ่นพี่คนนั้นโดยไม่ถามความเห็นฉันสักนิด เรื่องทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก พวกรุ่นพี่มานั่งรวมโต๊ะกับเราสองคนราวกับพวกเรามาด้วย ฉันได้แต่นั่งตัวแข็งทื่อเพราะทำอะไรไม่ถูก
ต่างจากอาร์มมี่ที่คุยเล่นกับรุ่นพี่ในโต๊ะราวกับรู้จักมานาน
“เรามาเล่นเกมกันดีกว่า”
รุ่นพี่คนหนึ่งพูดขึ้น ตามด้วยเสียงเฮ เห็นด้วยของคนอื่น ๆ ในโต๊ะ ฉันพยายามทำตัวให้ลีบที่สุดเพื่อจะได้ไม่ต้องเล่นเกมแต่ดูเหมือนโชคจะไม่เข้าข้างฉันสักเท่าไร
“น้องครับ ขยับมาเล่นด้วยกันสิ”
“เอ่อ ไม่เป็นไรดีกว่าค่ะ”
“เล่นสิ”
คนที่นั่งข้างฉันพูดออกมาพร้อมทั้งเงยหน้าขึ้นมามองฉัน เขายกยิ้มมุมปากและขยับเข้ามากระซิบเบา ๆ
“ถ้าเธอชนะ ฉันจะยอมทำตามที่เธอขอ”
คำพูดของเฮียเหมทำให้ฉันตาโต หันไปมองเขาอย่างมีความหวัง
“เฮียพูดแล้วห้ามคืนคำนะ”
“อือ”
“โอเค หนูเล่นด้วยค่ะพี่”
พวกเราเล่นเกมทายคำถามกัน ถ้าตอบถูกจะสามารถสั่งให้อีกคนทำอะไรก็ได้ ถ้าตอบผิดก็ต้องดื่ม ด้วยความฉลาดของฉัน บอกได้เลยว่าตั้งแต่เล่นมา ฉันยังตอบไม่ถูกเลยสักข้อ ใครอดทนได้นานที่สุดก็จะเป็นฝ่ายชนะไป
ตอนสภาพฉันเหมือนตุ๊กตาล้มลุกสู้ชีวิตไม่มีผิด อยากยอมแพ้อยู่หรอกนะ แต่ข้อแลกเปลี่ยนของเฮียเหมค้ำคออยู่
“น้องยอมแพ้ปายเถอะค้าบ”
รุ่นพี่ที่ยังเหลืออยู่ สภาพไม่ต่างกันสักเท่าไร ผู้เล่นหลายคนยอมแพ้ไปแล้วเหลือแค่ฉันและรุ่นพี่อีกสองคนเท่านั้น ส่วนอาร์มมี่เพื่อนรัก สลบเหมือดไปตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงแรกแล้ว
“ไม่ค่ะ พี่ถามมาเลย”
“ก็ได้ ๆ คำถามข้อนี้ต้องใช้ความคิดวิชาการหน่อยนะ”
ฉันตบแก้มตัวเองเพื่อเรียกสติกลับมา พยายามถ่างตารอฟังคำถามของรุ่นพี่
“ราพันเซลตกลงไปในน้ำแต่พอขึ้นมาบนฝั่งทำไมผมไม่เปียก”
“เพราะราพันเซลมีพลังวิเศษ”
“ผิด”
“เพราะราพันเซลหัวล้าน”
“ราพันเซลหัวล้านที่ไหนล่ะ ผมยาวจนปีนลงจากหอคอยได้ด้วยซ้ำ แพ้แล้ว ดื่มเลย ๆ”
ฉันถอนหายใจออกมาก่อนจะรับแก้วช็อตที่มีเหล้าสีสวยอยู่ด้านในขึ้นเดิม แล้วจึงหันไปถามหาคำตอบ ราพันเซลตกน้ำแล้วผมไม่เปียกได้ยังไง
“พี่เฉลยมาเลย ถ้ามั่ว พี่ต้องดื่มด้วยนะ”
รุ่นพี่คนนั้นฉีกยิ้มกว้างตามประสาคนเมาอารมณ์ดี
“ราพันเซลตกน้ำแล้วผมไม่เปียกเพราะว่า...”
ทุกคนในโต๊ะต่างเงียบ และตั้งใจรอฟังคำตอบด้วยความสนใจ
“เพราะว่าผมยืนรออยู่บนฝั่งไง ไม่ได้ลงไปด้วย”
“โห่”
เสียงโห่ของรุ่นพี่คนอื่นในโต๊ะดังขึ้น สุดท้ายเขาเลยโดนเพื่อนจับกรอกเหล้า โทษฐานที่ใช้คำถามไม่เข้าท่า
พวกเราเล่นเกมต่ออีกสองสามตาก็ได้ผู้ชนะซึ่งผู้ชนะคนนั้น คือ ฉันเอง
ทันทีที่ชนะ ฉันก็หันไปทางเฮียเหม ขยับเข้าไปใกล้เขาพร้อมทั้งโน้มหน้ากระซิบข้างใบหูคนตัวสูง
“เฮียเหมต้องเป็นแฟนหนูตามสัญญานะ อิอิ”