ตอนที่ 2 ทำข้อตกลง
ขนมปัง
บางทีเจ้ากรรมนายเวรก็มาในรูปแบบของเพื่อนสินะ วันนี้เป็นวันสอบวันสุดท้ายแทนที่ฉันจะได้ฉลองความดีใจอย่างเต็มที่ เพื่อนสาวตัวดีกลับสร้างเรื่องให้ฉันเพิ่มจนได้
“แกคิดยังไงถึงไปบอกพวกยัยเชอรี่แบบนั้นเนี่ย”
“ก็ฉันหมั่นไส้พวกมันอะ นึกว่าตัวเองสวย ตัวเองดี แถมยังมาเหน็บแนมแกอีก”
“แกก็เลยบอกไปว่า ฉันเป็นเมียเฮียเหม ?”
“ใช่แล้ว แกสนิทกับเฮียเหมไม่ใช่เหรอ”
อาร์มมี่พูดพร้อมขยับเข้ามาจิ้มแขนฉันทำหน้าตาใสซื่อ ฉันหันไปแยกเขี้ยวใส่
คิดได้ยังไงว่าฉันกับเฮียเหมอะไรนั่นสนิทกัน ฉันเจอเขาแค่ครั้งเดียวตอนที่เขาชนรถฉันนั่นแหละ หลังจากนั้นก็มีเขาที่ทักมาถามเรื่องรถและสิ่งที่ฉันต้องการให้เขารับผิดชอบ ซึ่งฉันบอกปัดไปแล้วว่าไม่เป็นไร ฉันไม่คิดจะใช้เงินเขามาซ่อมรถหรอกเพราะฉันเองก็ผิดเหมือนกัน แค่เขาแสดงความรับผิดชอบ ฉันก็พอใจแล้ว
“สนิทบ้าสนิทบออะไร ฉันไม่รู้จักเขาด้วยซ้ำ”
“แต่แกมีเบอร์เขานะ”
“แล้ว ?”
ระหว่างที่ฉันและอาร์มมี่กำลังคุยกันอยู่ ตัวต้นเหตุของเรื่องนี้ก็เดินตรงมาหาพวกเรา
เชอรี่และเพื่อนของเธอเดินเข้ามาด้วยสายตาเยาะเย้ย เธอเรียนปี1เหมือนกับพวกฉัน และได้เป็นดาวคณะปีนี้ด้วย คนอื่นอาจจะมองว่าคุณเธอช่างเรียบร้อย อ่อนหวานแต่ความเป็นจริงแล้ว เธอปลอมทั้งหมด ฉันนี่แหละที่รู้ดีที่สุด
“ต๊าย กิฟ ฉันตื่นเต้นจังเลย”
“ตื่นเต้นทำไมเหรอเชอรี่”
“ก็ได้เจอเมียเฮียเหมด้วยไง ฮ่า ๆ”
ฉันกำหมัดแน่น เชอรี่และฉันมักจะมีปัญหากันอยู่บ่อยครั้งเพราะเธอถนัดนักเรื่องบุลลีคนอื่น คงคิดว่าตัวเองสวยเลยจะเหยดคนอื่นยังไงก็ได้ เฮอะ เป็นความคิดที่น่าขยะแขยงสิ้นดี
“เมียมโนน่ะสิ สงสัยต้องให้พี่หมอที่มาจีบเธอจ่ายยาให้แล้วแหละเชอรี่”
กิฟเป็นเพื่อนของเชอรี่ที่มีศีลเสมอกันจนน่าหมั่นไส้ ทั้งคู่หน้าตาดีนะแต่นิสัยนี่คนละเรื่องเลย
“ยัยพวกชะนีปากไม่ดี วัน ๆ เอาแต่เหยดคนอื่น”
อาร์มมี่ด่าพวกเธอ แต่สองสาวกลับหัวเราะชอบใจ ไม่ได้สำนึกในสิ่งที่ตัวเองทำเลยสักนิด
“ดีกว่าพวกแกละกัน วัน ๆ เอาแต่ฝันเฟื่อง คิดว่าฉันโง่รึไง หน้าตาอย่างแกนี่นะจะเป็นเมียเฮียเหม ถ้าเป็นฉันว่าไปอย่าง”
ท่าทางและน้ำเสียงดูถูกของเชอรี่กระตุ้นให้อารมณ์ฉันเริ่มขึ้นเช่นกัน และด้วยความไม่ทันยั้งคิด ฉันเลยโพล่งออกไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ทำไม หน้าตาอย่างฉันนี่แหละเป็นเมียเฮียเหม!”
“เหรอ ถ้าอย่างนั้นพิสูจน์สิ”
“เออได้!”
—————————
ตอนแรกอาร์มมี่บอกเชอรี่ว่าฉันเป็นเมียเฮียเหมก็ว่าแย่แล้ว ดูเหมือนตอนนี้สถานการณ์จะเลวร้ายยิ่งกว่าเดิมอีก เมื่อฉันดันไปยืนยันแถมยังท้าพิสูจน์อีก
“โอ๊ย จะบ้าตาย ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วยเนี่ย”
“พวกแกก็ไปบอกความจริงซะสิ”
“ไม่ได้!!”
ฉันและอาร์มมี่หันไปปฏิเสธบีมพร้อมกัน ถ้าทำอย่างนั้นมีหวังพวกนั้นล้อฉันไปอีกสามชาติ เจ็ดชาติแน่
“แล้วจะทำไง ?”
คำถามนี้ทำเอาฉันอยากร้องไห้ออกมาอีกครั้ง ทำไมฉันถึงพูดแบบนั้นออกไป ฉันจะรับผิดชอบในคำพูดตัวเองยังไงเนี่ย
เอ๊ะ เดี๋ยวนะ รับผิดชอบอย่างนั้นเหรอ ถ้าฉันใช้เรื่องนี้เป็นข้อแลกเปลี่ยนกับเฮียเหมล่ะ ถ้าฉันเสนอให้เขารับผิดชอบเรื่องรถด้วยการยอมเป็นแฟนฉันสักวันหนึ่ง เรื่องทุกอย่างก็จะจบ
“ถ้าฉันไม่ทำข้อตกลงกับเฮียเหมล่ะ”
“แกแน่ใจเหรอว่าจะได้ผล”
ฉันละสายตาจากโทรศัพท์ไปถลึงตาใส่อาร์มมี่ ฉันบอกแผนนี้กับทุกคนก่อนจะส่งข้อความหาเฮียเหม และตอนนี้กำลังนั่งรอเขาตอบอยู่
เวลาผ่านไปหลายนาทีจนเริ่มถอดใจ แต่ทันใดนั้นเองเสียงข้อความก็ดังขึ้น
ติ๋ง ติ๋ง
พวกเราทั้งสามคนหันขวับกลับไปมองหน้าจอมือถือ ฉันค่อย ๆ หยิบมือถือขึ้นมา เปิดข้อความอ่านด้วยความลุ้นระทึก
‘อือ มาที่สนามบาสสิ’
ไม่รู้ทำไมแค่ข้อความสั้น ๆ กลับทำให้ฉันรู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งตัว แต่คนที่อาการหนักกว่าฉันเห็นจะเป็นอาร์มมี่เพราะเจ้าหล่อนกรี๊ดดังราวกับได้รับข้อความเอง
“กรี๊ด เขาชวนแกไปสนามบาส อร้าย ฉันจะเป็นลม”
“น้อยหน่อยค่ะกะเทย เขาชวนขนมปังเนอะ ไม่ได้ชวนแก”
พวกเราทั้งสามคนพากันเดินมายังสนามบาส คนในสนามค่อนข้างเยอะ ดูเหมือนวันนี้จะมีการแข่งขันกันอยู่เลย
“คนไหนอะเฮียเหม”
บีมแทรกหน้าเข้ามาระหว่างฉันและอาร์มมี่ อาร์มมี่เลยช่วยสงเคราะห์ด้วยการจับหน้าเธอหันไปทางเจ้าของร่างสูงที่กำลังเลี้ยงลูกบาสอยู่ในสนาม
“เชี่ย หล่อฉิบหาย”
ไม่แปลกหรอกที่บีมจะอุทานออกมาแบบนั้นเพราะเฮียเหมหล่ออย่างที่เธอพูดจริง ๆ ยิ่งตอนนี้ เขาใส่เสื้อบาสอยู่เผยให้เห็นกล้ามแขนแน่น ๆ และรอยสักนั่นยิ่งทำให้เขาดูดีเข้าไปอีก
“ฉันบอกพวกแกแล้วว่าเฮียเหมนี่ตัวตึง”
“แล้วทำไมถึงไม่ได้เป็นเดือนมหาวิทยาลัยอะไรแบบนี้วะ”
“เท่าที่รู้มา เฮียเหมไม่ชอบอะไรที่มันวุ่นวาย เขาเลยไม่ยอมลงประกวด”
ข้อมูลจากอาร์มมี่ทำให้ฉันเริ่มหน้าซีด ถ้าเขาไม่ชอบวุ่นวายกับใครแล้วเขาจะช่วยฉันรึเปล่านะ เฮ้อ แต่ยังไงก็มาถึงนี่แล้ว ลองดูหน่อยแล้วกัน
“เราไปนั่งดูการแข่งขันกันเถอะ ดูสิมีแต่ผู้แซ่บ ๆ ทั้งนั้นเลย”
อาร์มมี่ลากพวกฉันขึ้นไปนั่งบนอัฒจันทร์ ถ้าฉันไม่คิดไปเอง ฉันว่าเฮียเหมหันมามองพวกเราตอนที่กำลังหาที่นั่งกันอยู่แต่ฉันคงคิดไปเองแหละ คนอย่างเขาจะหันมามองพวกเราทำไม
ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าการแข่งบาสจะสนุกขนาดนี้ ขนาดฉันเพิ่งเคยดูการแข่งบาสครั้งแรกยังรู้สึกสนุกจนร่วมเชียร์ราวกับเป็นแฟนคลับตัวยง
“เย่ ต้องอย่างนั้นสิ”
ด้วยความอิน ฉันเลยเผลอลุกขึ้น โห่ร้องด้วยความดีใจจนอาร์มมี่ต้องดึงฉันให้นั่งลงตามเดิม
“เบาหน่อย ฉันอายคน”
“โว้ะ เรามาเชียร์บาสนะ จะให้นั่งเงียบ ๆ รึไง”
“แล้วแกดูเป็นรึไง ลูกเมื่อกี้ฝ่ายตรงข้ามเฮียเหมนะที่ได้ ไม่ใช่เฮียเหม”
“อ้าวเหรอ”
ฉันยิ้มแหย ๆ ให้บีม ใครจะไปรู้ล่ะ เห็นลูกลงห่วงกลมนั่นก็คิดว่าได้แต้มแล้วสิ
การแข่งขันดำเนินมาถึงช่วงสิบนาทีสุดท้าย เฮียเหมก็เปลี่ยนตัวออกมาเนื่องจากตอนนี้ทีมของเขานำอยู่มาก ฉันหันไปมองเขาครู่หนึ่งก่อนจะละสายตากลับไปสนใจการแข่งขันในสนามต่อโดยที่ไม่รู้เลยว่าเฮียเหมมองมา
“เย่ เก่งมาก สู้ ๆ ค่า”
ฉันลุกขึ้นร้องดีใจอีกครั้ง พร้อมทั้งปรบมือให้กำลังใจนักกีฬาจนพวกเขาหันมามองฉันด้วยรอยยิ้มงง ๆ
พวกเขางงก็คงไม่แปลก ฉันนั่งอยู่ฝั่งทีมเฮียเหมแต่กลับปรบมือให้เชียร์อีกฝั่งที่อยู่คนละมหาวิทยาลัยกัน
“ขนมปังผิดทีมโว้ย”
“ก็ฉันสงสารทีมนั้นนี่นา คะแนนน้อยจนตามไม่ทันแล้ว ไม่ค่อยมีใครเชียร์ด้วย”
———————
ด้านล่างอัฒจันทร์ คนในทีมเหมราชหันมองหน้ากันงง ๆ เมื่อเห็นหญิงสาวที่นั่งอยู่ฝั่งตัวเอง แถมยังใส่ชุดนักศึกษามหาวิทยาลัยของพวกเขากำลังปรบมือเชียร์คู่แข่ง
“นี่ยัยนั่นเชียร์อีกทีมเหรอวะ”
“เออว่ะ ตลกดีนะ นั่งฝั่งนี้แต่เชียร์ฝั่งนู้น”
“ไม่เคยเห็นหน้าเลย น่าจะเป็นน้องปีหนึ่ง”
“หุ่นดีฉิบหาย เสียดายที่หน้าเป็นแบบนั้น”
“จริง ถ้าหน้าใสสวย ๆ นะ กูไปจีบแน่”
ปึง
ขวดน้ำถูกวางกระแทกลงบนเก้าอี้ ทุกคนถึงกับเงียบและหันกลับไปมองสนามเพราะเจ้าของขวดน้ำนั้นคือ เฮียเหม กัปตันทีมสุดโหด
เฮียเหมเป็นที่รู้จักกันดีในบรรดานักบาสว่าเขาค่อนข้างเข้มงวดในการซ้อม อีกทั้งนิสัยส่วนตัวยังดุดัน อันตรายจนไม่มีใครกล้ายุ่ง แต่ถึงอย่างนั้นทุกคนก็ยังเคารพรักเขาอยู่ดี นักบาสในทีมเชื่อฟังเขามากกว่าโค้ชเสียด้วยซ้ำ