ภายในเรือนหลังงามของจวนสกุลหวัง หญิงสาวสองนางต่างนั่งจ้องตากันไม่กะพริบ ลั่วเฟยเซียนถอนหายใจแผ่วเบา เมื่อคนผู้นี้เอาแต่จ้องนางแล้วก็ร้องห่มร้องไห้ออกมา มือเรียวเอื้อมไปตบไหล่อีกฝ่ายเบาๆ เพื่อเป็นการปลอบ
“เธอ... ไม่สิ เจ้านามว่าเสี่ยวฝานใช่หรือไม่” หญิงสาวพรูลมหายใจออกมาเมื่อเกือบจะพูดผิดอีกแล้ว คงต้องขอบคุณซีรีส์จีนที่ชอบดูสินะ จึงส่งผลให้นางสามารถสนทนากับคนที่นี่ได้อย่างไหลลื่น
“คุณหนูจำบ่าวไม่ได้จริงๆ หรือเจ้าคะ” เสี่ยวฝานกล่าวทั้งน้ำตา นายหญิงของนางตั้งแต่ฟื้นจากความตายมาได้ก็ความจำเลอะเลือน จดจำผู้ใดมิได้เลยสักคน แม้แต่นางเองที่อยู่ด้วยกันมานาน
“โธ่ๆ คุณหนูของบ่าว เหตุใดสวรรค์จึงใจร้ายกับท่านเช่นนี้” นางร่ำไห้ต่อว่าสวรรค์ไปอีกพักใหญ่
ร่างแน่งน้อยได้แต่นั่งฟังสตรีผู้นี้คร่ำครวญอยู่เช่นนั้น ตั้งแต่เข้ามาอยู่ในร่างนี้ นางยังไม่ได้ก้าวเท้าออกจากเรือนเลย บัดนี้เวลาก็ผ่านมาสามวันแล้ว แต่ยังไม่มีผู้ใดคิดจะมาถามไถ่กันสักนิดว่านางเป็นเช่นไรบ้าง นับว่าคนในจวนใจร้ายต่อเจ้าของร่างไม่น้อย
“เอาล่ะ หยุดร้องได้แล้ว เจ้าก็รู้ว่าข้าหยุดหายใจไปหลายชั่วยาม ความทรงจำก็เลยเลือนหายไปด้วย ทีนี้ก็เล่ามาให้ฟังหน่อยเถิด เมื่อก่อนชีวิตของข้าเป็นเช่นไร” ถามอย่างใคร่รู้ การที่ต้องมาติดอยู่ในร่างนี้นางต้องรู้ว่ามีใครบ้างที่ไยดีต่อกัน และผู้ใดบ้างที่เกลียดชังเพราะตนไม่มีความทรงจำของเจ้าของร่างเลยสักนิด
เสี่ยวฝานรีบปาดน้ำตาทิ้ง มองนายหญิงด้วยความเวทนา “คุณหนูเป็นบุตรสาวคนโตที่เกิดจากฮูหยินเอกของใต้เท้าลั่ว ขุนนางขั้นสี่ฝ่ายบุ๋นเจ้าค่ะ ฮูหยินใหญ่สิ้นใจไปตอนคุณหนูวัยได้สิบหนาว ตั้งแต่นั้นมานายท่านก็ไม่เคยเหลียวแลคุณหนูอีกเลย ท่านมักจะถูก ฮูหยินเอกคนปัจจุบันกลั่นแกล้งเสมอเจ้าค่ะ”
“แล้วข้าก็ปล่อยให้พวกเขารังแกรึ แล้วท่านพ่อทำเช่นไรกับเรื่องนี้”
“ใต้เท้าเข้าข้างหญิงผู้นั้นเจ้าค่ะ แม้คุณหนูรองจะกลั่นแกล้งคุณหนูเพียงใดก็ตาม ใต้เท้าลั่วก็ไม่เคยยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเลยสักครั้ง เพราะฮูหยินใหญ่ผู้นี้เป็นคนรักของนายท่าน แต่ที่ต้องแต่งมารดาของคุณหนูมาเป็นฮูหยินเอกคนแรกเพราะขัดคำสั่งของฮูหยินผู้เฒ่ามิได้เจ้าค่ะ”
ลั่วเฟยเซียนโคลงศีรษะเบาๆ ให้กับสิ่งที่ได้ฟัง ‘อ๋อ... ที่แท้เจ้าของร่างก็เป็นลูกชังนี่เอง’
“แล้วข้ามาแต่งให้คนแซ่หวังได้เยี่ยงไร จากที่เจ้าเล่ามา ลูกรักของท่านพ่อต้องแต่งมาเป็นฮูหยินรอง เช่นนี้แล้วพวกเขาทำใจยอมรับได้รึ” นางถามในสิ่งที่ค้างคาใจ
“เป็นเพราะคำสัญญาระหว่างฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหวังกับมารดาของคุณหนูเจ้าค่ะ ฮูหยินผู้เฒ่ายืนกรานว่า หากคุณหนูไม่ได้แต่งเข้ามาเป็นภริยาเอก นางก็จะไม่รับหญิงสกุลลั่วคนใดเข้ามาในจวนสกุลหวัง และที่สำคัญ นายท่านอยากได้เงินสนับสนุนจากคุณชายหวังด้วยเจ้าค่ะ”
“แล้วหวังเหยียนเหว่ยก็ยอม เจ้าเล่ามาให้ละเอียดหน่อยสิ วันแต่งงานข้าได้เข้าพิธีหรือไม่ แล้วเหตุใดคนผู้นั้นจึงไม่ร่วมหอกับข้าเสียที” ลั่วเฟยเซียนถามอย่างร้อนใจ หากจะออกไปจากที่แห่งนี้นางต้องรู้เรื่องราวทุกอย่าง
เสี่ยวฝานมองนายหญิงอีกครั้ง ก่อนจะน้ำตารื้นขึ้นมาอีกหน “ในวันสมรส ตอนที่คุณหนูกำลังจะกราบไหว้ฟ้าดินก็เกิดเรื่องขึ้นเสียก่อน โรงเตี๊ยมของสกุลหวังอยู่ๆ ก็เกิดเพลิงไหม้ขึ้น นายท่านหวังจึงต้องเร่งรุดไปดู ทำให้งานแต่งถูกยกเลิกกลางคันเจ้าค่ะ”
นางช้อนสายตามองคนเบื้องหน้าเล็กน้อย “เมื่อจัดการเรื่องที่โรงเตี๊ยมเสร็จแล้ว นายท่านหวังก็ไปเข้าหอกับคุณหนูรอง หลังจากแต่งงานก็ไม่เคยมาเหยียบที่เรือนหลังนี้เลยเจ้าค่ะ อ้างว่ามีกิจการของตระกูลให้ต้องจัดการดูแล แต่บ่าวเห็นว่าทุกวันคนผู้นั้นก็ยังไปค้างที่เรือนฮูหยินรองได้เลย เหอะ!”
“อ้าว หากพิธีสมรสไม่สมบูรณ์ แล้วท่านพ่อไม่ทำสิ่งใดบ้างรึตระกูลลั่วต้องเสียหน้าเพราะเรื่องนี้มากเป็นแน่ ข้าถูกหยามเกียรติถึงเพียงนี้แต่เหตุใดยังทนอยู่ที่นี่ได้อีก” ลั่วเฟยเซียนงุนงงหนักกว่าเดิม
“ใต้เท้าไม่ได้ทำสิ่งใดเจ้าค่ะ ให้ถือว่าแม้ไม่ได้เข้าพิธีแต่มีหนังสือแต่งงานแล้ว ท่านก็ถือว่าเป็นฮูหยินเอกของสกุลหวังแล้ว เจ้าค่ะ และที่สำคัญเป็นตัวของคุณหนูเองที่ต้องการอยู่ที่นี่ด้วย”
“ฮะ! ตัวข้าเนี่ยนะที่อยากอยู่ ทำไม”
“ก็คุณหนูรักนายท่านหวังมากจึงอยากอยู่ใกล้ๆ แม้คนผู้นั้นจะไม่สนใจก็ตาม และอีกอย่าง เป็นเพราะท่านไม่ต้องการกลับไปยังจวนสกุลลั่วเจ้าค่ะ” เสี่ยวฝานเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ นางสงสารนายหญิงยิ่งนัก อยู่ที่จวนเดิมบิดาก็ไม่สนใจ พอออกเรือนมากลับถูกสามีหมางเมินเช่นนี้อีก
ลั่วเฟยเซียนมีสีหน้ายุ่งเหยิงทันทีที่ได้ฟังเรื่องราวทุกอย่าง ‘บุรุษผู้นั้นแต่งกับข้าเพราะคำสั่งมารดา และต้องการเส้นสายของทางการเพื่อกิจการของตระกูล แล้วน้องรองที่ยอมเป็นฮูหยินรองเพราะต้องการแย่งชิงหวังเหยียนเหว่ยไปจากข้า สรุปแล้วข้ากับนายท่านหวังเป็นสามีภรรยากันแค่ในนาม บัดนี้ข้าไม่ใช่ลั่วเฟยเซียนผู้นั้นแล้ว เช่นนั้นข้าจะอยู่ที่จวนแห่งนี้ไปอีกทำไมกัน’
เมื่อคิดสะระตะเรียบร้อยแล้วจึงถามความกับสาวใช้ “หากข้าจะไปจากที่นี่ต้องทำเยี่ยงไรบ้าง บัดนี้ข้าจำสิ่งใดมิได้แล้ว ลืมไปแล้วว่าเคยรักหวังเหยียนเหว่ย ข้าคิดว่าคงจะดีกว่าถ้าออกไปจากจวนแห่งนี้เสีย ปล่อยให้เขาและน้องรองครองรักกันต่อไป ส่วนข้าก็ไปใช้ชีวิตอย่างสงบสุขอยู่ที่ไหนสักแห่งเช่นกัน”
เสี่ยวฝานเข้าไปกอดขาผู้เป็นนายไว้ พร้อมกับร่ำไห้อีกครั้งด้วยความดีใจ “คุณหนู ในที่สุดท่านก็ตาสว่างเสียที คุณหนูจะไปจากที่นี่จริงๆ ใช่หรือไม่เจ้าค่ะ บ่าวจะได้เก็บของเลย”
“เหตุใดเจ้าต้องดีใจถึงเพียงนี้ด้วย” ส่ายศีรษะด้วยความอ่อนใจ
“ก็บ่าวดีใจนี่เจ้าคะ บ่าวพยายามโน้มน้าวคุณหนูตั้งนาน แต่ก็ไม่สำเร็จเสียที” เสี่ยวฝานยิ้มกว้างออกมาเมื่อเห็นว่านายหญิงเริ่มคิดได้แล้ว ตั้งแต่ฟื้นจากความตายมาได้ คุณหนูก็ดูเปลี่ยนไปมาก ดูไม่คล้ายหญิงสาวคนเดิมที่นางเคยรู้จัก อาจจะเป็นเพราะความจำเสื่อมก็เป็นได้ จึงทำให้นิสัยใจคอเปลี่ยนไปด้วย
“แต่ว่า หากออกจากสกุลหวังไป แล้วเราจะไปอยู่ที่ใดกันหรือเจ้าคะ ทางสกุลลั่วคงไม่รับท่านกลับไปแน่นอน” ถามด้วยความกังวลใจ
‘อ่า ข้าลืมไปได้อย่างไร สตรีที่นี่หากหย่าร้างกับสามีก็จะกลายเป็นที่ดูแคลนของผู้คน เรื่องนี้มันคงไม่ง่ายดายอย่างที่ข้าคิดเสียแล้วกระมัง แล้วข้าจะทำเยี่ยงไรดี’ คิ้วสวยของลั่วเฟยเซียนขมวดเป็นปมทันที แต่ก่อนที่นางจะได้คิดสิ่งใดต่อ ด้านหน้าเรือนพลันมีเสียงเอะอะดังมาให้ได้ยิน ร่างอวบอิ่มของหญิงวัยสี่สิบกลางๆ เดินเข้ามาในเรือนอิ๋งชุนอย่างรวดเร็ว
“เซียนเอ๋อร์เป็นเช่นไรบ้าง พอแม่รู้ว่าเจ้าตกน้ำก็รีบกลับมาจากต่างเมืองทันที” ฟางเลี่ยงหรงปรี่เข้าไปหาหญิงสาว พลางลูบหน้าลูบตาอีกฝ่ายอย่างร้อนใจ
ลั่วเฟยเซียนเลิกคิ้วใส่เสี่ยวฝานอย่างต้องการคำอธิบาย นางทำหน้าเหยเกเมื่อถูกลูบคลำไปจนทั่ว
“ท่านผู้นี้คือฮูหยินผู้เฒ่าหวังเจ้าค่ะ” เสี่ยวฝานแถลงไขข้อสงสัยของคุณหนู
ฟางเลี่ยงหรงแปลกใจกับวาจาของสาวใช้ไม่น้อย เหตุใดลั่วเฟยเซียนจึงทำเหมือนไม่รู้จักนาง “เซียนเอ๋อร์ ยังเจ็บป่วยที่ใดอีกหรือไม่ ให้หมอมาตรวจดูอีกทีเถิด”
ร่างแน่งน้อยปลดมือฮูหยินผู้เฒ่าออกช้าๆ ท่ามกลางความงุนงงของอีกฝ่าย “ขออภัยเจ้าค่ะ ข้าความจำเสื่อม จำไม่ได้ว่าท่านเป็นใคร”
ฟางเลี่ยงหรงตระหนกไม่น้อยที่ได้ยินเช่นนั้น นางสวมกอดร่างบางไว้แน่น “เซียนเอ๋อร์ ข้าเป็นแม่สามีของเจ้าอย่างไรเล่า โธ่ เซียนเอ๋อร์ที่น่าสงสาร ไยสวรรค์จึงได้ใจร้ายกับเจ้าเช่นนี้”