“พวกข้าก็เป็นผู้ที่มารับวิญญาณของเจ้าอย่างไรเล่า ไปได้แล้ว เจ้าสิ้นอายุขัยแล้ว” บุรุษในอาภรณ์สีขาวตอบความด้วยน้ำเสียงเย็นชาใบหน้าเรียบเฉย
“พวกท่านคือ ‘เฮยไป๋อู๋ฉาง’ เช่นนั้นรึ ไม่นะ ข้ายังไม่อยากไป” ลั่วเฟยเซียนกรีดร้องออกมา แล้ววิ่งไปแอบข้างหลังสตรีที่นางพูดคุยด้วยเมื่อครู่
“พวกเขาเป็นใครเหรอ ทำไมน้องต้องกลัวขนาดนี้” อัจฉราถามด้วยความอยากรู้ ชายหนุ่มสองคนนั้นก็แต่งกายด้วยชุดจีนโบราณเช่นกัน หนำซ้ำยังหล่อเหลามากเสียด้วย
“นี่พี่สาวไม่รู้จักท่านเฮยไป๋อู๋ฉางเช่นนั้นรึ ท่านตายมาได้ยังไงไม่รู้จักยมทูตหน้าดำหน้าขาว... พี่สาว ท่านช่วยข้าด้วยนะ อย่าให้เขาเอาวิญญาณข้าไป” ลั่วเฟยเซียนกอดเอวอีกฝ่ายไว้แน่น
“มาได้แล้ว อย่าทำให้พวกข้าต้องเสียเวลา ยังมีวิญญาณอีกมากมายนักที่พวกข้าต้องไปรับ” บุรุษชุดดำเอ่ยด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
ชั่วพริบตานั้นเอง บุรุษชุดขาวก็มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าอัจฉราแล้วจ้องนางตาไม่กะพริบ “เจ้า! วิญญาณจากต่างภพ มาทำอะไรที่นี่ เหตุใดจึงไม่กลับภพภูมิของเจ้าไป”
บุรุษชุดดำก็เข้ามายืนใกล้ๆ หญิงสาวเช่นกัน จากนั้นจึงเพ่งพินิจดูอีกครั้ง “เจ้ายังไม่ตายนี่ รีบกลับภพของเจ้าเสีย ก่อนที่กายหยาบของเจ้าจะถูกทำลายทิ้ง”
อัจฉรากะพริบตาปริบๆ อย่างมึนงง พวกเขาบอกว่าเธอยังไม่ตาย จะเป็นไปได้อย่างไร ก็ในเมื่อวิญญาณของเธอหลุดออกจากร่างมาเช่นนี้แล้ว
ลั่วเฟยเซียนปล่อยมือจากเอวของอีกฝ่าย ก่อนจะไปยืนอยู่ฝั่งเดียวกันกับชายหนุ่มทั้งสอง “ท่านเฮยไป๋อู๋ฉาง พี่สาวท่านนี้ยังไม่ตายจริงๆ น่ะหรือ”
“ใช่แล้ว นางยังไม่ตาย แต่หากนางไม่รีบกลับเข้าร่างของตน นางคงได้ตายจริงๆ เป็นแน่ และต้องเป็นผีเร่ร่อนอยู่เช่นนี้จนกว่าจะสิ้นอายุขัย ผู้นำทางวิญญาณในภพภูมิของเจ้าทำงานสะเพร่ายิ่งนัก” บุรุษชุดขาวกล่าวด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย
“พี่สาวรีบกลับไปสิ ท่านยังไม่ตายเสียหน่อย” ลั่วเฟยเซียนรีบบอกกล่าวออกไป นางอิจฉาคนผู้นี้ยิ่งนักที่มีโอกาสกลับไปใช้ชีวิตอีกครั้ง
“ฉันไม่ไปหรอก กลับไปก็ไม่มีใครต้องการ ในที่แห่งนั้นฉันไม่เหลือใครอีกแล้ว พวกคุณพาฉันไปด้วยได้ไหม” อัจฉราขอร้องชายหนุ่มทั้งสอง เธอไม่อยากกลับไปที่นั่นอีกแล้ว พ่อที่ไม่เคยเหลียวแลกับสามีที่ทรยศหักหลัง ใครจะอยากกลับไปเจ็บช้ำอย่างนั้นอีก เธอไม่ใช่คนจิตใจเข้มแข็งอะไรแบบนั้น ถึงจะได้ไม่รู้สึกรู้สมกับเรื่องนี้ การถูกคนที่ไว้ใจหักหลังมันเจ็บปวดเกินกว่าจะรับไหว
ตั้งแต่สูญเสียมารดาไป เธอก็คล้ายกับตัวคนเดียวไม่มีใครให้พึ่งพิง แม้แต่เพื่อนฝูงยังหาที่จริงใจต่อกันยาก เพราะคำว่าลูกเมียน้อยมันตราหน้าเธออยู่ทำให้ไม่มีใครอยากคบค้าสมาคมด้วย เธอถูกคนอื่นตีค่าว่าคงเป็นได้แค่เมียน้อยเหมือนแม่ ดูเหมือนว่าจะสมพรปากคนเหล่านั้น เธอกลายเป็นเมียน้อยของคนอื่นจริงๆ แต่เป็นเมียน้อยแบบถูกกฎหมาย แม้ตนจะมีทะเบียนสมรสทว่านพชัยก็เป็นสามีของคนอื่นมาก่อนอยู่ดี หนำซ้ำพวกเขายังรวมหัวกันมาหลอกเธอเสียด้วย แต่ความต้องการของพวกเขาจะไม่มีวันเป็นจริง ถึงแม้คุณยายจะยกที่ดินผืนนั้นให้แก่เธอ กระนั้นก็ยังมีเงื่อนไขในพินัยกรรมอยู่ดี หากเธอไม่สามารถมีลูกได้หรือตายก่อนอายุครบสามสิบปี ที่ดินผืนนั้นจะถูกบริจาคให้แก่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งหนึ่ง ซึ่งนพชัยไม่รู้เงื่อนไขข้อนี้
“ก็ตามใจ แต่พวกข้าคงพาเจ้าไปด้วยมิได้เพราะเจ้ายังไม่สิ้นอายุขัย หากไม่กลับไปเจ้าต้องเป็นผีเร่ร่อนอยู่ในภพภูมินี้ รอจนสิ้นอายุขัยเมื่อใดแล้วพวกข้าจะมารับอีกที” บุรุษชุดดำเอ่ยเสียงเรียบ
“ท่านเฮยไป๋อู๋ฉาง หากพี่สาวท่านนี้ไปสิงร่างของคนที่ตายไปแล้วจะได้หรือไม่เจ้าคะ” ลั่วเฟยเซียนถามด้วยความอยากรู้ แววตามีประกายความหวังขึ้นมาทันใด
“จะว่าได้มันก็ได้แหละ หากกายหยาบนั้นสามารถหลอมรวมเข้ากับกายละเอียดของนางได้” บุรุษชุดขาวตอบความออกไปด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย
“ไปได้แล้วลั่วเฟยเซียน เสียเวลามามากพอแล้ว” บุรุษชุดดำเร่งหญิงสาว
“ข้าขอเวลาครู่เดียวเท่านั้นเจ้าค่ะ แล้วข้าจะตามพวกท่านไปแต่โดยดี” กล่าวจบก็เข้าไปหาสตรีผู้นั้นทันที “พี่สาว ในเมื่อท่านไม่คิดกลับไปในที่ที่ท่านจากมา ถ้าเช่นนั้น ท่านก็อยู่ที่นี่แทนข้าก็แล้วกัน”
สิ้นคำก็ผลักร่างบางลงไปยังกายเนื้อของตนซึ่งบัดนี้นอนอยู่ในโลง “ฝากร่างของข้าด้วยนะพี่สาว หากจะตายอีกรอบก็ให้ข้าเสียบริสุทธิ์ก่อนตายด้วยล่ะ”
“ข้าพร้อมแล้ว ไปกันเถอะเจ้าค่ะ” หันไปเอ่ยความกับบุรุษทั้งสองก่อนจะตามพวกเขาไป
อัจฉราที่ยังมึนงงจากการถูกผลักเมื่อครู่ก็ได้สติทันที ตอนนี้วิญญาณของเธอได้เข้ามาอยู่ในร่างของเด็กสาวผู้นั้นเสียแล้ว
ผู้คนภายในห้องยังคงส่งเสียงดังเอะอะวุ่นวาย หญิงสาวในโลงลืมตาขึ้นมา เมื่อเห็นว่าฝาโลงกำลังจะเลื่อนมาปิดไว้จนมิด มือเรียวจึงยกขึ้นจับฝาโลงไว้โดยพลัน
หมับ! ครืน! กรี๊ดด!
เสียงกรีดร้องดังมาจากบ่าวไพร่ที่อยู่บริเวณนั้น ยามเห็นว่าฝาโลงถูกดันให้เปิดออก “ผะ ผะ... ผีหลอก ผีฮูหยินใหญ่เจ้าค่ะ”
ความโกลาหลวุ่นวายเกิดขึ้นอีกครั้ง พ่อบ้านของจวนรีบวิ่งเข้ามาดูแล้วก็ต้องเข่าอ่อนล้มลงไป เมื่อเห็นร่างที่เคยสิ้นลมไปแล้วลุกขึ้นนั่งอยู่ในโลง “ฮุ ฮุ ฮูหยิน ช่วยด้วยผีหลอก”
อัจฉรามองความวุ่นวายเบื้องหน้าด้วยแววตางุนงง “นี่ฉันเข้ามาอยู่ในร่างของเด็กคนนั้นหรือนี่ แบบนี้สินะที่เขาเรียกว่าถูกผีผลัก”
“นี่พวกคุณ ช่วยฉันออกไปจากโลงก่อน อย่าเพิ่งวิ่งหนีสิ” หญิงสาวตะโกนเรียกผู้คนที่กำลังวิ่งหนีออกไปจากเรือน แล้วจึงก้มมองสภาพของตัวเองซึ่งอยู่ในชุดจีนโบราณ เธอพยายามผลักวิญญาณของตนออกจากร่างนี้ แต่ก็ไม่เป็นผล
“นี่สวรรค์กลั่นแกล้งกันหรืออย่างไรนะ แล้วฉันจะเอาชีวิตรอดจากที่นี่ได้ไหมล่ะเนี่ย รู้อย่างนี้กลับไปเข้าร่างเดิมดีกว่า ต่อไปฉันต้องเป็นเด็กคนนี้ใช่ไหม เฮ้อ!”
บ่นพึมพำกับตัวเองก่อนจะลุกขึ้นจากโลงศพอย่างทุลักทุเล พลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ด้วยไม่รู้ว่าต่อแต่นี้ไปตนจะต้องเผชิญกับสิ่งใดบ้างในมิติคู่ขนานแห่งนี้