ลั่วเฟยเซียนได้แต่ส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปยังเสี่ยวฝาน ด้วยไม่คุ้นชินกับสถานการณ์เช่นนี้ อ้อมกอดที่อบอุ่นเฉกเช่นมารดาเยี่ยงนี้นางไม่ได้สัมผัสมานานแล้ว อาจเป็นเพราะเมื่อภพชาติที่แล้วหลังจากที่สูญเสียมารดาไป นางต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวในบ้านของผู้อื่น แม้จะมีบิดาอยู่ด้วยแต่คนผู้นั้นก็ไม่เคยไยดีต่อกันเลยสักนิด
“ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าคะ ปล่อยคุณหนูของบ่าวก่อนเถิด ท่านกำลังทำให้นางตกใจเจ้าค่ะ” เสี่ยวฝานเอ่ยความทันทีที่เห็นสีหน้าคล้ายกับจะร้องไห้ของผู้เป็นนาย
“เซียนเอ๋อร์ เจ้าจำแม่ไม่ได้จริงหรือ” ฟางเลี่ยงหรงถามอย่างมีความหวัง
ลั่วเฟยเซียนส่ายหน้าแทนคำตอบ เพียงเท่านั้นหญิงร่างอวบเบื้องหน้านางก็ปล่อยโฮออกมา
“เป็นเพราะข้าดูแลเจ้าไม่ดีจึงทำให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ข้าละอายใจต่อมารดาผู้ล่วงลับของเจ้ายิ่งนัก สหายผู้นั้นคงไม่ให้อภัยข้าเป็นแน่”
ลั่วเฟยเซียนมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะไม่รู้จะจัดการอย่างไรกับเรื่องนี้ดี ‘ชาติที่แล้วข้าเคยแต่ปลอบเด็กไม่ให้ร้องไห้ ไม่เคยต้องปลอบใจสตรีคราวแม่เสียด้วยสิ การปลอบคนแก่นี่เขาทำเช่นไรกันนะ’
“เอ่อคือ... ข้าไม่เป็นอันใดแล้ว ขอฮูหยินผู้เฒ่าหวังโปรดอย่าร้องเลยเจ้าค่ะ”
“เซียนเอ๋อร์ เจ้าไม่เรียกข้าว่าท่านแม่แล้วรึ” ฟางเลี่ยงหรงร่ำไห้ออกมาหนักกว่าเดิม เมื่อหญิงสาวที่ชอบเข้ามาเรียกขานนางว่า ‘ท่านแม่’ กลับทำเหมือนไม่รู้จักกันเช่นนี้
ร่างแน่งน้อยหันไปขอความช่วยเหลือจากสาวใช้อีกครั้ง
“คุณหนูก็เรียกฮูหยินผู้เฒ่าว่าท่านแม่ตามเดิมเถิดเจ้าค่ะ หาไม่แล้ว บ่าวเกรงว่านางคงจะไม่หยุดร่ำไห้ง่ายๆ เป็นแน่” เสี่ยวฝานป้องปากกระซิบ
ลั่วเฟยเซียนพยักหน้าตอบรับเล็กน้อย “ท่านแม่ ท่านเพิ่งกลับมาถึงจวน ข้าว่าท่านไปพักผ่อนก่อนเถิดเจ้าค่ะ ตอนนี้ข้าปลอดภัยแล้ว แม้จะยังจำสิ่งใดไม่ได้ก็ตาม”
ฟางเลี่ยงหรงมองด้วยสายตาอาทร พร้อมกับกุมมือบางไว้มั่น “ก็ได้ แม่จะกลับไปพัก เซียนเอ๋อร์ก็ไม่ต้องกดดันตัวเองไปนะ ต่อให้เจ้าความจำเสื่อมแม่ก็จะไม่ให้ผู้ใดมารังแกเจ้าอีก”
นางยิ้มบางตอบรับวาจาของสตรีร่างอวบเบื้องหน้าตน เมื่อคล้อยหลังฮูหยินผู้เฒ่าหวัง จึงเอ่ยถามในสิ่งที่สงสัยทันที “เสี่ยวฝาน เหตุใดท่านแม่สามีจึงได้เอ็นดูข้าถึงเพียงนี้”
“เพราะฮูหยินผู้เฒ่าเป็นสหายรักกับมารดาของคุณหนูอย่างไรเล่าเจ้าคะ และเพราะเป็นสหายกันนี่แหละ จึงได้มีสัญญาหมั้นหมายระหว่างคุณหนูกับนายท่านหวัง”
“เจ้ากับข้าก็อายุเท่ากัน ไฉนเจ้าจึงรู้เรื่องเหล่านี้ได้”
“ก็ท่านแม่ของบ่าวเป็นแม่นมของท่าน และยังเป็นบ่าวรับใช้ของมารดาคุณหนูด้วย บ่าวเลยรู้เรื่องเหล่านี้มาจากท่านแม่เจ้าค่ะ”
“เสี่ยวฝาน หากข้าต้องการเรียนอ่านเขียนอักษร ผู้ใดพอจะสอนข้าได้บ้าง” ถามอย่างกระตือรือร้น ถึงแม้จะเคยศึกษามาบ้าง แต่ว่าภาษาของที่นี่กับที่ภพเดิมเหมือนกันเสียเมื่อใดเล่า นางคงต้องเรียนรู้ทุกอย่างใหม่หมด
“แม้แต่การอ่านเขียนอักษรคุณหนูก็จำไม่ได้หรือเจ้าคะ โธ่ๆ คุณหนูของบ่าว” เสี่ยวฝานร่ำไห้ออกมาอีกครั้งด้วยความสงสารผู้เป็นนาย
ลั่วเฟยเซียนกลอกตาอย่างเบื่อหน่าย เมื่อสาวใช้บ่อน้ำตาตื้นผู้นี้ร้องไห้ฟูมฟายออกมาอีกแล้ว
เสี่ยวฝานเองเมื่อร่ำไห้จนพอใจแล้ว ก็เข้าไปกุมมือนายหญิงไว้มั่น “บ่าวสอนให้เองเจ้าค่ะ หากเป็นคำง่ายๆ บ่าวสามารถสอนคุณหนูได้”
หญิงสาวเลิกคิ้วด้วยความฉงนใจ มิใช่ว่านอกจากคุณหนูตระกูลใหญ่เท่านั้นหรอกหรือจึงสามารถร่ำเรียนตำราได้ แล้วเสี่ยวฝานเป็นเพียงสาวใช้จะรู้หนังสือได้เยี่ยงไร “เจ้าอ่านเขียนออกด้วยรึ”
เสี่ยวฝานยิ้มอย่างเขินอาย เรื่องนี้นางไม่เคยบอกให้ผู้ใดรู้มาก่อน “เป็นเจ้าค่ะ แต่ได้แค่คำง่าย ๆ เท่านั้น บิดาของบ่าวเป็นบัณฑิตตกยากจึงเคยสอนบ่าวอ่านเขียนตำรามาบ้างเจ้าค่ะ”
“ดียิ่ง! เช่นนั้นเจ้ามาสอนข้าเลย แค่คำง่ายๆ ก็ไม่เป็นไร ข้าจะได้ค่อยๆ เรียนรู้ไป” ให้เสี่ยวฝานสอนก็ดีเหมือนกัน หากให้ผู้อื่นสอนเกรงว่าจะถูกจับได้ว่านางไม่ใช่ลั่วเฟยเซียนตัวจริง
เจ็ดวันถัดมา ทุกวันของหญิงสาวยังคงผ่านไปอย่างเชื่องช้า ในแต่ละวันนางอยู่แต่ในเรือนเพื่อหัดอ่านเขียนอักษร จะมีเพียงฮูหยินผู้เฒ่าเท่านั้นที่แวะเวียนมาหา ลั่วเฟยเซียนก้มหน้าก้มตาหัดคัดอักษรอย่างขะมักเขม้น ฉับพลันที่เห็นเสี่ยวฝานเดินเข้ามาจึงเอ่ยถามอย่างร้อนใจ “เป็นเช่นไรบ้าง ทางสกุลลั่วมีความเคลื่อนไหวใดหรือไม่”
“คุณหนูรองกลับไปฟ้องใต้เท้าลั่วว่าคุณหนูสติเลอะเลือนไปแล้วเจ้าค่ะ หนำซ้ำยังให้ใต้เท้าขับคุณหนูออกจากตระกูลด้วยนะเจ้าคะ” เสี่ยวฝานรีบรายงานข่าวที่ได้ไปสืบมา นางคิดไว้แล้วเชียว ลั่วเจียวเหม่ยต้องหาทางเล่นงานคุณหนูของนางแน่นอน
“เอาอย่างไรดีเจ้าคะ คุณหนูจะปล่อยไปเช่นนี้หรือเจ้าคะ”
“ปล่อยไปเถอะ อยากจะตัดก็ตัดไป ข้าไม่ได้มีความผูกพันอันใดกับตระกูลนี้อยู่แล้ว ดีเสียอีก เราจะได้จากไปอย่างอิสระ” หญิงสาวกล่าวอย่างไม่นำพาต่อสิ่งใด นางไม่ใช่ลูกหลานตระกูลลั่วตัวจริงเสียหน่อย แล้วจากที่รู้มา คนเหล่านั้นก็ไม่ได้ดีต่อลั่วเฟยเซียนสักนิด
“แล้วเจ้าพอจะรู้หรือยังว่าเราควรไปอยู่ที่ใด หากไปจากที่นี่แล้ว ข้าว่าไปอยู่ต่างแคว้นต่างเมืองเลยก็ดีนะ จะได้ไม่มีใครรู้จักพวกเราอย่างไรเล่า”
“บ่าวไปถามนายท่านจางมาแล้วเจ้าค่ะ อีกหนึ่งเดือนข้างหน้า นายท่านจางจะเดินทางไปค้าขายที่แคว้นซาน พวกเราสามารถติดตามไปกับขบวนสินค้าของร้านจี๋เสียงได้เจ้าค่ะ” เสี่ยวฝานเอ่ยตอบอย่างกระตือรือร้น
“นี่เจ้าไปสนิทกับพ่อค้าร้านขายผ้าตั้งแต่เมื่อใดรึ ดูนายท่านจางผู้นี้จะเมตตาเจ้าไม่น้อย” ลั่วเฟยเซียนหยอกเย้าอีกฝ่ายทันที ตั้งแต่นางบอกว่าจะไปจากตระกูลหวัง เสี่ยวฝานก็กระตือรือร้นออกไปสืบข่าวให้ตลอด ซ้ำยังไปติดต่อหาลู่ทางไปจากเมืองนี้ไว้อีกด้วย
“เมตตาอันใดกันเจ้าคะคุณหนู บ่าวแค่บังเอิญเคยช่วยฮูหยิน ของนายท่านจางไว้ก็เท่านั้นเอง พอบ่าวไปขอความช่วยเหลือบ้าง นายท่านจางเลยช่วยกลับเพื่อเป็นการตอบแทนเจ้าค่ะ” เสี่ยวฝานรีบแก้ไขความเข้าใจผิดของนายหญิง
“แล้วพวกเราจะไปอยู่ที่ใดกันรึ” เอ่ยถามอย่างใคร่รู้ นางมาอยู่แปลกที่แปลกทาง หากไม่มีสาวใช้ผู้นี้ชีวิตคงลำบากไม่น้อย
“เมืองจี้เกาแคว้นซานเจ้าค่ะ” เสี่ยวฝานเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นจนปิดไม่มิด “นายท่านจางเล่าให้บ่าวฟังว่า เมืองจี้เกาเป็นเมืองที่สงบสุข และยังเป็นเมืองสำหรับการค้าขายด้วยนะเจ้าคะ หากเราไปอยู่ที่นั่นคงไม่อดตายแน่นอน บ่าวจะเปิดร้านข้าวต้มหาเลี้ยงคุณหนูเองเจ้าค่ะ”
“คิกคิก” ลั่วเฟยเซียนขบขันในวาจาของสาวใช้ ดูเอาเถิด คนผู้นี้ทำตัวเป็นพี่สาวผู้ต้องเลี้ยงดูน้องสาวเสียอย่างนั้น หากนับอายุของนางจริงๆ ในภพชาติที่แล้ว ต้องเป็นนางสิที่ได้เป็นพี่สาว
“เจ้าจะเปิดร้านข้าวต้ม มีทุนแล้วรึ”
“บ่าวขอยืมคุณหนูก่อนได้หรือไม่เจ้าคะ” เสี่ยวฝานหัวเราะแห้งเกาต้นคออย่างเก้อกระดากอาย
ลั่วเฟยเซียนส่ายศีรษะอย่างอ่อนใจให้กับอีกฝ่าย ตลอดหลายวันมานี้ ทำให้รู้ว่าเสี่ยวฝานเป็นห่วงและภักดีต่อนางมากเพียงใด “เอาเช่นนี้แล้วกัน เจ้าเอาสินเจ้าสาวของข้าไปขาย แล้วเปลี่ยนเป็นตั๋วแลกเงินมา หากเราย้ายไปอยู่ต่างแคว้นคงต้องใช้เงินจำนวนมาก”
“ทั้งหมดเลยหรือไม่เจ้าคะ”
“ทั้งหมดนั่นแหละ ของเหล่านั้นเป็นของนอกกายไม่ตายก็หาใหม่ได้ ตอนนี้เราจำเป็นต้องใช้เงินขายไปให้หมดเลย” คงได้แต่หวังว่าดวงวิญญาณของลั่วเฟยเซียนตัวจริงจะเข้าใจนางนะ ที่ขายทรัพย์สมบัติของอีกฝ่ายจนหมดสิ้น
เสี่ยวฝานพยักหน้าเบาๆ อย่างเห็นด้วยในความคิดของผู้เป็นนาย แล้วจึงผละออกไปจัดการทุกอย่างตามที่นายหญิงสั่งทันที
‘เฮ้อ! แล้วข้าจะทำเยี่ยงไรให้ฮูหยินผู้เฒ่าหวังยอมปล่อยข้าไปล่ะ หวังเหยียนเหว่ยก็อีกคน ข้าฟื้นมาหลายวันแล้วแต่ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของคนผู้นั้นเลย หากจะไปจากที่นี่ข้าคงต้องเจรจากับเขาสินะ’
ลั่วเฟยเซียนยังคงจมดิ่งอยู่ในภวังค์ความคิด ทว่าเพียงชั่วครู่ก็ปัดความคิดฟุ้งซ่านในหัวทิ้ง ก่อนจะหันมาสนใจการอ่านเขียนอักษรต่อ อย่างน้อยนางต้องอ่านเขียนได้ เมื่อออกไปจากจวนสกุลหวังแล้วจะได้ไม่ถูกผู้อื่นหลอกเอาง่ายๆ อีก