ร่างบอบบางเดินเรื่อยเปื่อยไปรอบๆ เรือนอิ๋งชุนเพื่อสำรวจเรือนพัก ลั่วเฟยเซียนอยู่ที่มิติคู่ขนานแห่งนี้มาได้ครึ่งเดือนแล้ว แต่ว่าไม่เคยได้ออกไปไหนเลย นางเริ่มคุ้นชินกับการใช้ชีวิตในต่างภพบ้างแล้ว ซ้ำยังสามารถทำตัวกลมกลืนกับคนที่นี่ได้อย่างแนบเนียน
นางเดินนวยนาดไปอย่างแช่มช้า มือบางระกับบุปผาที่ออกดอกบานสะพรั่งอยู่ในสวน ใบหน้าหวานเผยยิ้มออกมาเมื่อได้กลิ่นหอมของไป๋ฉานฮวา(ดอกพุดซ้อน) ลั่วเฟยเซียนโน้มใบหน้าลงไปสูดดมกลิ่นหอมจากบุปผาสีขาวดอกนั้น เด็ดมันขึ้นมาก่อนจะใช้ผ้าเช็ดหน้าห่อไว้
“คุณหนูจะเก็บไป๋ฉานฮวาไปทำไมหรือเจ้าคะ” เสี่ยวฝานถามด้วยความสงสัย นางเห็นนายหญิงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียวยามได้เห็นเจ้าดอกไม้นี่
“ข้าจะเก็บไปใช้แทนกำยานหอมน่ะสิ เจ้ามาช่วยข้าหน่อยเถิด” ตอบพลางหันไปยิ้มให้สาวใช้
“มันใช้แทนกันได้ด้วยหรือเจ้าคะ บ่าวไม่เห็นเคยได้ยินมาก่อนเลยเจ้าค่ะ” เสี่ยวฝานแสดงสีหน้างุนงงหนักกว่าเดิม
“ได้สิ ก็ตัดตรงฐานดอกของมัน จากนั้นก็นำไปลอยในอ่างน้ำ ไป๋ฉานฮวาก็จะส่งกลิ่นหอมรัญจวนชื่นใจ ทำให้นอนหลับสบายด้วยนะ” หญิงสาวอมยิ้มบาง นางรู้เรื่องนี้มาจากมารดาในภพชาติที่แล้ว ยามใดที่นอนไม่หลับ มารดาก็จะใช้วิธีนี้และได้ผลดีเสียด้วย
“จริงหรือเจ้าคะ แล้วคุณหนูทราบได้อย่างไรเจ้าคะ”
“ข้าฝันน่ะ เลยว่าจะลองทำดู ไม่รู้ว่าจะเหมือนกับที่ข้าฝันเห็นหรือไม่” ลั่วเฟยเซียนโป้ปดด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“เช่นนั้นประเดี๋ยวบ่าวช่วยเก็บนะเจ้าคะ” เสี่ยวฝานกุลีกุจอไปหาตะกร้ามาให้ผู้เป็นนายทันใด
“คิกคิก” ร่างบอบบางขบขันออกมาเมื่อเห็นอีกฝ่ายเร่งรีบเข้าไปในเรือน ราวกับกลัวว่านางจะไม่ให้ช่วยอย่างนั้นแหละ
เพียงไม่นาน เสี่ยวฝานก็กลับมาพร้อมมีดสั้นและตะกร้า “มาแล้วเจ้าค่ะคุณหนู”
“ตัดแบบนี้ใช่หรือไม่เจ้าคะ” ถามพลางยื่นไป๋ฉานฮวาไปให้นายหญิงดู
“ใช่แล้ว แบบนี้แหละ ไม่ต้องเก็บไปเยอะนักหรอก หากหมดกลิ่นวันหลังเราค่อยมาเก็บใหม่ก็ได้”
“เจ้าค่ะ แต่ว่าไป๋ฉานฮวาหอมขนาดนี้ นำมาลอยในอ่างอาบน้ำแทนเหมยกุ้ยฮวา(ดอกกุหลาบ)จะได้หรือไม่เจ้าคะ”
“ข้าว่าน่าจะได้นะ เรามาลองดูกันดีกว่า” แววตาของหญิงสาวเปล่งประกายขึ้นมาโดยพลัน
สองนายบ่าวต่างช่วยกันเก็บไป๋ฉานฮวาอย่างสนุกสนานเสียงหัวเราะหวานใสดังไปทั่วบริเวณนั้น ลั่วเฟยเซียนยังคงสนใจอยู่กับบุปผางาม โดยไม่ได้รับรู้เลยว่ามีสายตาคู่หนึ่งกำลังจับจ้องตนอยู่
ร่างสูงในอาภรณ์สีน้ำเงินเข้ม มองผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาเอกแค่ในนามด้วยแววตาสับสน
‘หวังเหยียนเหว่ย’ เหม่อมองรอยยิ้มนั้นอย่างโง่งม เขาถูกมารดาไล่ให้มาเยี่ยมลั่วเฟยเซียน หลังจากที่หาเรื่องบ่ายเบี่ยงมาแล้วหลายครั้ง วันนี้จึงมิอาจหลบเลี่ยงได้อีก เขาจำต้องมายังเรือนอิ๋งชุนอย่างขัดมารดาไม่ได้
หวังเหยียนเหว่ยทราบมาว่าหญิงสาวจมน้ำตายตอนที่ตนออกไปตรวจกิจการของตระกูล และเป็นตัวเขาเองที่สั่งให้พ่อบ้านจัดเตรียมพิธีศพให้นาง แต่ไม่คิดเลยว่าลั่วเฟยเซียนจะสามารถฟื้นขึ้นมาจากความตายได้ ในเมื่อหมอยืนยันว่านางสิ้นลมไปแล้วจริงๆ เรื่องนี้สร้างความหวาดกลัวให้แก่บ่าวไพร่ในจวนไม่น้อย
เมื่อรู้ว่านางรอดตายมาได้ เขาก็ไม่ได้สนใจสิ่งใดอีก เพราะอย่างไรก็ไม่คิดจะไยดีต่อสตรีที่เกลียดชังอยู่แล้ว แต่แล้วเหตุใดนางจึงได้ดูเปลี่ยนไปเยี่ยงนี้ หากเป็นลั่วเฟยเซียนคนเก่าไม่มีทางที่จะออกมาเก็บดอกไม้แล้วหัวเราะอยู่เช่นนี้แน่นอน แม้ได้ยินมาบ้างว่านางความจำเลอะเลือน ทว่าคนเราจะเปลี่ยนนิสัยกันได้ง่ายดายปานนั้นเชียวหรือ
แต่ก่อนที่ชายหนุ่มจะได้คิดสิ่งใดไปมากกว่านี้ กลับได้ยินเสียงหวีดร้องดังมาจากหน้าเรือนอิ๋งชุน เขาก้าวเท้าออกไปอย่างรวดเร็วโดยที่เจ้าตัวก็คิดไม่ถึงเช่นกัน มือหนาคว้าเอวบางไว้ก่อนที่อีกฝ่ายจะล้มหน้าทิ่มพื้น
ลั่วเฟยเซียนยังมึนงงไม่หาย เมื่อครู่นางเดินเล่นอยู่ดีๆ กลับลื่นล้มเสียอย่างนั้น ทั้งๆ ที่ก็ดูแล้วว่าพื้นตรงนี้ไม่ได้เฉอะแฉะอันใด ทันทีที่ตั้งสติได้กลับตระหนกกว่าเดิม ยามรู้ว่าตนเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของผู้ใดก็มิรู้
“เป็นอันใดหรือไม่” หวังเหยียนเหว่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ทว่ามือหนากลับไม่ยอมปล่อยออกจากเอวคอดกิ่วนั้น
เมื่อยืนได้อย่างมั่นคงแล้ว ลั่วเฟยเซียนก็แกะมือของเขาออกจากเอว นางถอยไปยืนห่างจากชายหนุ่มถึงห้าก้าว แววตาที่มองตอบกลับไปมีเพียงความเฉยชา
“คุณหนู เป็นเช่นไรบ้างเจ้าคะ เจ็บที่ใดหรือไม่” เสี่ยวฝานกระวีกระวาดเข้ามาหา นางเห็นนายหญิงกำลังจะล้ม แต่ด้วยความที่ตนอยู่ไกลจึงเข้าไปช่วยไม่ทัน เพราะเพิ่งกลับมาจากนำตะกร้าไปเก็บในเรือน
ลั่วเฟยเซียนตบบ่าสาวใช้เบาๆ พร้อมกับยกยิ้มบางเบา “ข้าไม่เป็นไร เพียงแค่ตกใจเท่านั้น”
หวังเหยียนเหว่ยมองกิริยาท่าทางของร่างอรชรตาไม่กะพริบ พลางพินิจดวงหน้าที่ไร้เครื่องประทินโฉมของอีกฝ่ายอย่างช้าๆ ‘นางเปลี่ยนไปมากเสียจริง ไม่ได้ผัดแป้งจนหน้าวอกเช่นเมื่อก่อน ซ้ำยังไม่ส่งสายตาหยาดเยิ้มมาให้ข้าอีกแล้ว นางดูเหมือนจะไม่ร้ายกาจดังเดิมแล้ว’
“คารวะนายท่านหวังเจ้าค่ะ” เสี่ยวฝานยอบกายทำความเคารพชายหนุ่มอย่างเลี่ยงไม่ได้ นางไม่ได้ชอบขี้หน้าคนผู้นี้เลยสักนิด แต่ด้วยความที่อีกฝ่ายเป็นเจ้าของจวน และตนเป็นเพียงบ่าวไพร่ จึงจำต้องทักทายถึงแม้จะไม่เต็มใจก็ตาม
คิ้วสวยเลิกขึ้นเล็กน้อยยามได้ยินวาจาของเสี่ยวฝาน นางกวาดสายตามองบุรุษเบื้องหน้าตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ‘อ๋อ รูปงามเช่นนี้นี่เองลั่วเฟยเซียนคนเก่าจึงได้หลงใหลคนผู้นี้นัก แต่ว่า... รูปร่างดูผอมบางไปหน่อย คล้ายพวกบัณฑิตขี้โรคอย่างไรก็ไม่รู้’
หวังเหยียนเหว่ยรู้สึกคันยุบยิบในใจ ยามเห็นลั่วเฟยเซียนมองตนด้วยสายตาเช่นนั้น สายตาที่มองมาราวกับเขาเป็นธาตุอากาศ “ท่านแม่ให้ข้ามาเยี่ยมเจ้า แต่ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่เป็นไรแล้ว เช่นนั้นข้าคงต้องขอตัวไปตรวจกิจการของตระกูลต่อก่อน”
“เชิญเจ้าค่ะ ไม่ส่งนะเจ้าคะ” กล่าวจบก็หันหลังให้แล้วเดินกลับเข้าเรือนทันที
“นี่เสี่ยวฝาน เมื่อก่อนตอนที่อยู่ใกล้คนผู้นั้นข้ามีท่าทีเช่นใดรึ เหตุใดเขาจึงมองข้าด้วยสายตาแปลกๆ ” ครั้นเดินมาไกลพอสมควร ลั่วเฟยเซียนจึงกระซิบถามสาวใช้
“คุณหนูจะให้พูดจริงๆ หรือเจ้าคะ บ่าวว่าท่านจำไม่ได้เช่นนี้ก็ดีแล้วเจ้าค่ะ”
“เล่ามาเถอะน่า ข้าอยากฟัง”
เสี่ยวฝานยิ้มแหย “ก็เมื่อก่อนคุณหนูชอบวิ่งไล่ตามนายท่านหวังน่ะสิเจ้าคะ พอรู้ว่านายท่านหวังเป็นคู่หมั้น ท่านก็แสดงออกชัดเจนว่ารู้สึกเช่นไรกับคนผู้นั้น แต่ว่า... ”
“แต่ว่าอันใด เล่าต่อสิ”
“หากบ่าวเล่าไป คุณหนูจะไม่โกรธบ่าวนะเจ้าคะ”
ลั่วเฟยเซียนพยักหน้าหงึกหงักอย่างต้องการบอกว่านางไม่โกรธ “อืม เล่ามาเถอะน่า”
“แต่ว่าคนผู้นั้นหาได้สนใจคุณหนูไม่ เพราะเห็นท่านร้ายกาจใส่คุณหนูรองบ่อยๆ เจ้าค่ะ”
“ฮะ! ข้าเนี่ยนะร้ายกาจ ยังไง” ลั่วเฟยเซียนหยุดเท้าที่กำลังก้าวเดินทันควัน หันกลับไปมองข้างหลังอีกครั้ง พบว่า เขายังยืนอยู่ที่เดิมไม่ได้จากไปไหน แล้วเมื่อครู่ผู้ใดกันบอกว่ารีบไปดูแลกิจการ แต่เหตุใดยังยืนบื้ออยู่ตรงนั้นอีก
ร่างอรชรละความสนใจจากเขา แล้วลากเสี่ยวฝานเข้าไปในเรือนอย่างรวดเร็ว เพราะต้องการฟังเรื่องราวทั้งหมด
หวังเหยียนเหว่ยเมื่อเห็นว่าหญิงสาวเดินเข้าเรือนไปแล้ว จึงละสายตาจากนาง เขาเดินออกไปจากบริเวณเรือนอิ๋งชุนด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ก่อเกิดขึ้นมาในใจ
คล้อยหลังผู้เป็นเจ้าของจวน ผู้ที่แอบซ่อนอยู่บริเวณนั้นก็เผยตัวออกมา ดวงตาเรียวเล็กตวัดมองสาวใช้ข้างกายอย่างไม่พอใจ
“ไหนเจ้าว่ามันจะล้มหัวฟาดพื้นไปอีกทีไง แต่ดูสิ มันยังหน้าระรื่นใส่ท่านพี่ได้เช่นนั้นอยู่อีก” ลั่วเจียวเหม่ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด
“หากนายท่านไม่รับนางไว้ ป่านนี้แผนของฮูหยินรองก็สำเร็จไปแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้วัยสิบหกหนาวรีบหาทางรอดให้แก่ตนเอง
“อย่ามาเรียกเช่นนั้น ข้าไม่ชอบ! ข้าต้องได้เป็นฮูหยินใหญ่ของที่นี่เท่านั้น” ลั่วเจียวเหม่ยเอ่ยอย่างมาดหมาย
“แล้วคุณหนูจะทำเช่นไรต่อไปเจ้าคะ ใต้เท้าลั่วก็ไม่ยอมขับนางออกจากตระกูลเสียด้วย”
“ข้าคงต้องไปปรึกษาเรื่องนี้กับท่านแม่” สิ้นคำก็เดินจากไปด้วยอารมณ์หงุดหงิด