ณ จวนสกุลลั่ว... ภายในเรือนฮุ่ยจื่อ สตรีต่างวัยสองนางกำลังสนทนากันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ท่านแม่ เหตุใดท่านจึงไร้ความสามารถเช่นนี้ แค่พูดให้ท่านพ่อไล่นางเฟยเซียนออกจากตระกูลแค่นี้ก็ทำไม่ได้” ลั่วเจียวเหม่ยกล่าวด้วยความไม่พอใจ
“แม่ก็พยายามแล้ว แต่บิดาของเจ้าน่ะสิมัวแต่ห่วงหน้าตาวงศ์ตระกูล บิดาเจ้ากล่าวว่า หากนางไม่ได้ทำให้ตระกูลลั่วอับอายหรือเสื่อมเสีย ก็ขับนางออกจากตระกูลไม่ได้ มิเช่นนั้นจะกลายเป็นที่ครหาของผู้คน” มี่เหม่ยเอินตบหลังมือบุตรสาวเบาๆ เพื่อให้ใจเย็นลง
“แล้วเราจะทำเช่นไรเจ้าคะ ข้ารึอุตส่าห์วางแผนตั้งนาน คิดว่ามันจะตายไปแล้วเสียอีก ไม่คิดว่าแม้แต่ปรโลกก็ยังรังเกียจนาง จึงได้ถีบส่งวิญญาณของมันให้กลับมาเข้าร่างอีกครั้ง” นางเอ่ยอย่างเกรี้ยวกราด ใบหน้าบิดเบี้ยวเพราะความโกรธแค้น
“หากมันไม่ได้ทำให้ตระกูลลั่วขายหน้า เราก็ทำให้มันเป็นตัวกาลกิณีของตระกูลไปเสียเลยสิ ถ้ามีข่าวลือแพร่สะพัดออกไปรับรองว่าท่านพี่ต้องไม่อยู่เฉยแน่” สายตาของมี่เหม่ยเอินมีประกายมาดร้ายขึ้นมาทันใด
“อย่างไรเจ้าคะ ข้าอยากกำจัดมันไปให้พ้นๆ ไม่ใช่แค่ที่จวนสกุลลั่ว แต่ให้มันตายไปเลยได้ยิ่งดี ข้าต้องเหนื่อยยากมากมายกว่าจะทำให้หวังเหยียนเหว่ยมาหลงรักเช่นนี้ได้ ข้าต้องหาเรื่องใส่ร้ายนางเฟยเซียนสารพัดกว่าจะสำเร็จ” นางจิกเล็บลงบนผ้าเช็ดหน้าแล้วฉีกทึ้งผ้าผืนเล็กนั้นจนขาด
“แต่วันนี้ข้าเห็นท่านพี่มองมันด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป ไม่ได้รังเกียจนางนั่นเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ท่านแม่ ท่านต้องช่วยข้านะเจ้าคะ ข้าจะแย่งทุกอย่างมาจากมัน เหมือนที่มารดาของมันแย่งท่านพ่อไปจากท่านแม่อย่างไรเล่าเจ้าคะ” ลั่วเจียวเหม่ยกุมมือมารดาไว้มั่น พร้อมกับส่งสายตาอ้อนวอนไปให้
มี่เหม่ยเอินเห็นประกายความอำมหิตจากแววตาของบุตรสาวอย่างชัดเจน นางเองก็ไม่อยากให้บุตรีของศัตรูหัวใจมีความสุขเช่นกัน “ไม่ต้องห่วง แม่ก็จะไม่ปล่อยให้มันมีความสุขแน่”
ลั่วเจียวเหม่ยยิ้มออกมาเมื่อท่านแม่รับปากว่าจะช่วย นางอยู่ปรึกษาหารือกับมารดาอีกครู่ใหญ่ ก่อนจะขอตัวกลับจวนสกุลหวังไป
ช่วงสายของวันถัดมา ภายในจวนสกุลหวังก็เกิดความวุ่นวายเมื่อฮูหยินผู้เฒ่าหกล้ม ลั่วเฟยเซียนเร่งรุดไปดูฟางเลี่ยงหรงเช่นกัน ในจวนแห่งนี้นอกจากแม่สามีแล้วก็ไม่มีผู้ใดดีต่อนางอีก ตนจึงต้องไปดูเพื่อให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้เป็นอันใดร้ายแรง
เมื่อมาถึงเรือนเหลียนเฉียวก็เห็นหวังเหยียนเหว่ยยืนอยู่หน้าเรือนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ข้างกายมีสตรีรูปร่างยั่วยวนนางหนึ่งยืนอยู่เคียงข้าง ทว่าสายตาที่หญิงผู้นั้นส่งมาให้นางมีเพียงความชิงชัง
ลั่วเฟยเซียนเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ นางอยู่ที่นี่มาได้สักพักแล้วแต่ไม่เคยเห็นสตรีนางนี้มาก่อน เหมือนเสี่ยวฝานจะเข้าใจในสายตาของผู้เป็นนาย จึงแถลงไขข้อสงสัยให้ทันที
“ฮูหยินรองเจ้าค่ะ น้องสาวต่างมารดาของคุณหนู นามว่า ‘ลั่วเจียวเหม่ย’ เจ้าค่ะ”
พยักหน้ารับเบาๆ แล้วกระซิบถามความ “คนผู้นี้รึที่ทำให้ข้าดูเป็นสตรีร้ายกาจ”
“เจ้าค่ะ”
ร่างอรชรหรี่ตามองลั่วเจียวเหม่ยอย่างต้องการประเมินอีกฝ่าย จากที่เสี่ยวฝานเล่าให้ฟัง พอหญิงผู้นี้รู้ว่าหวังเหยียนเหว่ยเป็นคู่หมั้นของลั่วเฟยเซียน น้องสาวผู้น่ารักก็วางแผนใส่ร้ายกันสารพัด และทุกอย่างช่างประจวบเหมาะ เมื่อนายท่านหวังมาเห็นตอนที่กำลังจะเอาคืนอีกฝ่ายทุกครั้งไป ช่างเป็นความบังเอิญที่บัดซบยิ่งนัก
แต่ช่างเถิด นั่นมันเรื่องในอดีตหาได้เกี่ยวอันใดกับนางไม่
“คารวะนายท่านหวังเจ้าค่ะ” ลั่วเฟยเซียนยอบกายทำความเคารพหวังเหยียนเหว่ยตามที่เสี่ยวฝานสอนมา
ชายหนุ่มคิ้วกระตุกทันใด เมื่อได้ฟังสรรพนามที่เปลี่ยนไปของตนยามที่หญิงสาวเอื้อนเอ่ยออกมา ทุกครั้งนางจะเรียกเขาว่า ‘ท่านพี่’ แล้วไยครานี้จึงได้เอ่ยวาจาห่างเหินเช่นนี้
ลั่วเฟยเซียนหาได้สนใจสายตาของบุรุษผู้นี้ไม่ นางเดินไปยืนรออยู่อีกข้างของบานประตูพร้อมกับเสี่ยวฝาน
ผ่านไปราวครึ่งเค่อ ประตูบานใหญ่ก็ถูกเปิดออก หมอชราผู้หนึ่งก้าวออกมา พร้อมกับทำความเคารพหวังเหยียนเหว่ย
“ท่านแม่เป็นเช่นไรบ้าง” เขาถามด้วยความร้อนใจ
“ฮูหยินผู้เฒ่าปลอดภัยดีขอรับ เพียงแต่ช่วงนี้ต้องงดเดินสักพัก เพราะข้อเท้าอักเสบ ข้าได้จัดเทียบยาให้แล้ว หมดธุระของข้าแล้วเช่นนั้นขอตัวนะขอรับ” หมอชราค้อมกายลงอีกครั้งเพื่อกล่าวลาแล้วเดินจากไป
หวังเหยียนเหว่ยกำลังจะเข้าไปในห้องของมารดา แต่พ่อบ้านกลับวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาหาเสียก่อน
“ยะ แย่แล้วขอรับนายท่าน” พ่อบ้านเอ่ยทั้งที่ยังเหนื่อยหอบ
“มีอันใด” ถามเสียงเรียบ
“ที่โกดังหลังเก่าเกิดเพลิงไหม้ขอรับ โชคดีที่เราส่งธัญพืชไปหมดแล้ว มิเช่นนั้นคงได้เสียหายร้ายแรงแน่ขอรับ”
“บัดซบ!” หวังเหยียนเหว่ยสบถออกมาอย่างหัวเสีย ก่อนจะเร่งรุดไปยังโกดังเก็บของ
ลั่วเฟยเซียนมองเหตุการณ์ทุกอย่างด้วยท่าทีเรียบเฉย นางละความสนใจจากเรื่องตรงหน้า แล้วเดินเข้าไปดูอาการของฮูหยินผู้เฒ่าหวัง
สามวันถัดมา... อาการของฟางเลี่ยงหรงก็ดีขึ้น ลั่วเฟยเซียนยังไม่ได้พูดคุยเรื่องที่นางต้องการไปจากที่นี่กับอีกฝ่าย ดูเหมือนว่าหลายวันมานี้จวนสกุลหวังจะเกิดเรื่องไม่ดีบ่อยครั้ง เมื่อวานก็เป็นลั่วเจียวเหม่ยที่อยู่ๆ ก็เกิดหกล้มขึ้นมาอีกคน
“เสี่ยวฝาน จัดการขายสินเจ้าสาวของข้าหมดแล้วใช่หรือไม่” เอ่ยถามทั้งที่ยังสนใจตำราอักษรในมือ
“บ่าวเก็บปิ่นหยกไว้ให้คุณหนูห้าอันเจ้าค่ะ หากขายหมดเกรงว่าคุณหนูจะไม่มีเครื่องประดับใช้น่ะเจ้าค่ะ” เสี่ยวฝานตอบพร้อมกับยื่นตั๋วเงินทั้งหมดไปให้
“ค่าของเงินข้าก็จำไม่ได้ เจ้าพอจะบอกได้หรือไม่ว่าแต่ละตำลึงสามารถซื้อหาสิ่งใดได้บ้าง” กล่าวจบก็เตรียมพู่กันและกระดาษขึ้นมาจด
เสี่ยวฝานก็ร่ายยาวถึงค่าของเงิน นางไล่ตั้งแต่หนึ่งก้วนไปจนถึงหนึ่งตำลึงทอง
ลั่วเฟยเซียนตั้งใจฟังสิ่งที่เสี่ยวฝานกำลังสอน แต่แล้วก็ต้องขมวดคิ้วยุ่งเหยิง เมื่อหน้าเรือนมีเสียงเอะอะดังมาขัดจังหวะการเรียนของนาง
“ที่นี่ใช่หรือไม่ที่มีวิญญาณร้ายสิงสู่อยู่” ชายในชุดนักพรตถามสตรีข้างๆ ตน
“ใช่เจ้าค่ะ ตั้งแต่นางฟื้นจากความตายมาได้ ในจวนก็มีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย เมื่อวานอยู่ดีๆ ข้าก็หกล้ม ท่านพี่ก็มาล้มป่วยไปอีกคน นางต้องเป็นวิญญาณชั่วร้ายที่มาพร้อมกับหายนะแน่นอนเจ้าค่ะ” ลั่วเจียวเหม่ยจีบปากจีบคอเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหลมเล็ก
“พวกเจ้ามาทำอันใดที่เรือนอิ๋งชุน เหตุใดมาวุ่นวายกับคนป่วยเช่นนี้” ฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลหวังตำหนิสะใภ้รอง นางไม่ชอบใจคนผู้นี้เลยสักนิด แต่บุตรชายของนางช่างตาบอดยิ่งนักที่หลงใหลสตรีร้ายกาจเช่นนี้ได้
“คารวะท่านแม่เจ้าค่ะ” ลั่วเจียวเหม่ยยอบกายทำความเคารพแม่สามี หากมิใช่เพราะหญิงผู้นี้นางคงได้แต่งเป็นภริยาเอกไปแล้ว
“เหม่ยเอ๋อร์มิได้ตั้งใจจะมารบกวนพี่สาวนะเจ้าคะ เพียงแต่ว่าช่วงนี้ในจวนมีแต่เรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นหลังจากที่พี่สาวฟื้นจากความตาย เหม่ยเอ๋อร์จึงเชิญท่านนักพรตมาปัดเป่าตัวกาลกิณีออกไปจากจวนเท่านั้นเองเจ้าค่ะ” นางตอบฮูหยินผู้เฒ่าด้วยน้ำเสียงนอบน้อม ทว่าแววตากลับมีประกายเกลียดชังพาดผ่านก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว
ลั่วเฟยเซียนที่ได้ยินทุกอย่างชัดเจนถึงกับคิ้วกระตุกทันใด ‘นี่นางว่าข้าเป็นตัวกาลกิณีเช่นนั้นรึ มันน่าจับมาฉีกปากจริงๆ ’
ร่างแน่งน้อยเดินนวยนาดออกมาหน้าเรือนด้วยการจับประคองจากเสี่ยวฝาน “มีเรื่องอันใดกันหรือเจ้าคะท่านแม่”
“เซียนเอ๋อร์ ร่างกายเจ้ายังอ่อนแออยู่ อย่าออกมาโดนลมนอกเรือนสิ ประเดี๋ยวจะไม่สบายเอาได้” ฟางเลี่ยงหรงเข้าไปกุมมืออีกฝ่ายไว้ทันที นางละอายแก่ใจยิ่งนัก หากมิใช่เพราะตนหญิงสาวผู้นี้คงไม่ต้องมาทนเจ็บกายเจ็บใจเช่นนี้
“เซียนเอ๋อร์ได้ยินเสียงเอะอะจึงออกมาดูเจ้าค่ะ ตอนนี้ร่างกายของเซียนเอ๋อร์ก็ดีขึ้นมากแล้ว ท่านแม่อย่ากังวลไปเลยนะเจ้าคะ” ลั่วเฟยเซียนเอ่ยอย่างนอบน้อม ในจวนแห่งนี้คงมีเพียงฮูหยินผู้เฒ่าหวังเท่านั้นที่ดีต่อนางด้วยใจจริง แต่ต่อให้ดีแล้วอย่างไร นางก็คิดจะไปจากที่นี่อยู่ดี เพราะนางไม่ใช่ลั่วเฟยเซียนคนเก่าที่หลงรักหวังเหยียนเหว่ยจนสุดหัวใจ นางเป็นวิญญาณจากต่างภพ จะให้มาใช้ชีวิตอยู่หลังเรือนโดยที่สามีไม่ไยดีเช่นนี้น่ะหรือ นางไม่ยอมหรอก บุรุษไม่ว่าจะภพนี้หรือภพก่อนก็ไม่ต่างกันเลยสักนิด
“มีวิญญาณร้ายสิงสู่อยู่ที่เรือนหลังนี้จริง เหตุร้ายต่างๆ ในจวนล้วนเกิดมาจากนาง” นักพรตผู้นั้นชี้มายังลั่วเฟยเซียน
วาจาของนักพรตส่งผลให้ฟางเลี่ยงหรงและลั่วเฟยเซียนต่างหันไปมองเขาเป็นตาเดียวกัน
“เห็นหรือไม่เจ้าคะท่านแม่ เหม่ยเอ๋อร์บอกแล้วว่าที่นี่มีตัวโชคร้ายอยู่ ที่ท่านแม่และท่านพี่เจ็บตัวก็เพราะสิ่งชั่วร้ายเหล่านี้” ลั่วเจียวเหม่ยรีบเอ่ยสนับสนุนวาจาของนักพรตผู้นั้น
“เพ้อเจ้ออันใดของพวกเจ้ากัน ที่ข้าหกล้มเพราะข้าแก่แล้วซ้ำยังไม่ระวังเอง และที่อาเหว่ยเจ็บตัวเพราะอุบัติเหตุต่างหาก เรื่องเหล่านี้ไม่ได้เกี่ยวอันใดกับเซียนเอ๋อร์เลยสักนิด” ฮูหยินผู้เฒ่าหวังสาดสายตาไม่พอใจใส่ลั่วเจียวเหม่ย
“ฮูหยินผู้เฒ่าหวัง หากท่านไม่เชื่อก็อย่ามาลบหลู่ข้า นางผู้นี้มิใช่ลั่วเฟยเซียนตัวจริง ถ้านางยังอยู่ในจวนนี้ต่อไปรับรองว่าพวกเจ้าต้องพบเจอกับหายนะแน่นอน” นักพรตชราเอ่ยด้วยน้ำเสียงกราดเกรี้ยว
ลั่วเฟยเซียนมองเหตุการณ์วุ่นวายเหล่านี้ด้วยสายตาเรียบเฉย ถูกว่านางเป็นวิญญาณจากต่างภพ แต่ที่กล่าวหากันว่าเป็นวิญญาณร้ายนี่คืออันใดกัน?
“ท่านแม่ หยุดทะเลาะกันเพราะข้าเถิดเจ้าค่ะ หากข้าอยู่ที่นี่แล้วทำให้ทุกคนต้องผิดใจกัน เช่นนั้นเซียนเอ๋อร์จะไปเองเจ้าค่ะ” ลั่วเฟยเซียนแสร้งบีบน้ำตาออกมา นางอยากจะไปจากสถานการณ์บ้าๆ นี่ใจจะขาด แต่ฮูหยินผู้เฒ่าหวังไม่ยอมปล่อยนางไปเสียที
“เซียนเอ๋อร์ แม่ว่าเจ้ายังอ่อนเพลียมากนัก เข้าไปพักผ่อนก่อนเถิด” ฟางเลี่ยงหรงเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ก่อนจะหันไปมองลั่วเจียวเหม่ยด้วยสายตาชิงชัง
ลั่วเจียวเหม่ยกัดฟันแน่นเพื่อข่มกลั้นโทสะเมื่อถูกแม่สามีมองมาด้วยสายตารังเกียจ ‘คอยดูเถอะนางแก่ ข้าจะกำจัดนางเฟยเซียนให้ได้’
นางมองสองร่างที่เดินหายลับเข้าไปในเรือนด้วยสายตามาดร้าย แล้วกระซิบบางอย่างกับสาวใช้คนสนิท จากนั้นจึงเดินกลับเรือนของตนไป