รถม้าคันใหญ่เข้ามาจอดเทียบหน้าจวนสกุลหวัง ร่างสูงก้าวลงจากรถม้าด้วยความเหนื่อยล้า กว่าครึ่งเดือนที่หวังเหยียนเหว่ยต้องเดินทางไปดูกิจการยังต่างเมือง ทันทีที่ย่างเท้าเข้าจวนก็รับรู้ถึงสิ่งผิดปกติบางอย่าง
พ่อบ้านวัยกลางคนเห็นผู้เป็นนายกลับมาก็เข้าไปทักทายทันใด “คารวะนายท่านขอรับ”
ชายหนุ่มปรายตามองพ่อบ้านเล็กน้อย “วันนี้ท่านแม่ไม่อยู่รึ เหตุใดจวนจึงได้เงียบเหงาเช่นนี้”
‘เจียงเฉิน’ หลุบตามองพื้นอย่างต้องการหลบเลี่ยงสายตาคาดคั้นของนายท่าน “เอ่อคือ... ฮูหยินผู้เฒ่าอยู่ที่เรือนเหลียนเฉียวขอรับ”
“แล้วเหม่ยเอ๋อร์ล่ะ เหตุใดนางไม่มาต้อนรับข้า มิใช่ว่าข้าส่งจดหมายมาแจ้งล่วงหน้าแล้วมิใช่รึ” หวังเหยียนเหว่ยกล่าวอย่างหงุดหงิด ทุกทีที่เขากลับมาจากทำงานลั่วเจียวเหม่ยจะออกมาต้อนรับตลอด แต่ครั้งนี้แปลกยิ่งนัก
“คะ คือว่า” พ่อบ้านเจียงยังคงอ้ำอึ้งอยู่เช่นนั้น
“คือว่าอันใด มีสิ่งใดก็รีบๆ พูดมา ข้าจะได้ไปพักเสียที”
“ฮูหยินรองถูกกักตัวไว้ที่ศาลบรรพชนขอรับ อีกสิบห้าวันจึงจะสิ้นกำหนดการลงโทษ” เจียงเฉินกลั้นใจกล่าวออกไปในที่สุด
“เกิดเรื่องอันใดตอนที่ข้าไม่อยู่กัน!” เขาชะงักเท้าที่กำลังก้าวเดินทันใด หันไปมองพ่อบ้านเจียงแล้วสั่งความด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “ตามข้ามา แล้วเจ้าก็เล่ามาให้หมด อย่าได้หมกเม็ดเชียว”
กล่าวจบก็ตรงไปยังห้องหนังสือทันที ตอนแรกคิดว่าจะกลับไปพักที่เรือนเสียหน่อย แต่ดูเหมือนว่าช่วงที่ตนไม่อยู่ ในจวนคงจะมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นเป็นแน่
“เล่ามา” สั่งคนทันทีที่นั่งลงบนเก้าอี้แปดเซียนหลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่
เจียงเฉินช้อนสายตามองอีกฝ่ายเล็กน้อย ก่อนจะเล่าเรื่องราวทุกอย่าง “ฮูหยินรองพานักพรตปลอมมาที่เรือนอิ๋งชุนแล้วทำพิธีขับไล่ผี นักพรตผู้นั้นกล่าวว่าฮูหยินใหญ่เป็นวิญญาณชั่วร้าย ซ้ำยังว่านางเป็นตัวกาลกิณีขอรับ แต่ฮูหยินใหญ่ก็ไล่ตะเพิดนักพรตนั่นออกจากจวนไปได้ และฮูหยินรองก็ถูกฮูหยินผู้เฒ่าลงโทษที่ก่อความวุ่นวายขึ้นขอรับ”
หวังเหยียนเหว่ยขมวดคิ้วเป็นปมเมื่อได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด “เป็นคำสั่งท่านแม่เช่นนั้นรึ แล้วตอนนี้ลั่วเฟยเซียนเป็นอย่างไรบ้าง”
พ่อบ้านเจียงให้แปลกใจไม่น้อยที่นายท่านถามถึงฮูหยินใหญ่แทนที่จะเป็นฮูหยินรอง “เอ่อคือ... ”
“มีสิ่งใดก็กล่าวออกมา มัวแต่อมพะนำอยู่นั่นแหละ” เอ่ยอย่างหมดความอดทน
“เมื่อห้าวันก่อนฮูหยินใหญ่เก็บของออกไปจากจวนแล้วขอรับ” เจียงเฉินรีบกล่าวอย่างรัวเร็วด้วยกลัวโทสะของผู้เป็นนาย
“ไปที่ใด แล้วผู้ใดอนุญาตให้นางไป” เขาลุกขึ้นพรวดแล้วเดินไปหาพ่อบ้านเจียง “ข้าถามว่านางไปไหน เหตุใดจึงยังไม่ตอบ!”
เจียงเฉินคุกเข่าลงพร้อมกับตอบอย่างลนลาน “บ่าวไม่ทราบขอรับ เรื่องนี้มีเพียงฮูหยินผู้เฒ่าเท่านั้นที่รู้ขอรับ”
สิ้นคำของพ่อบ้าน หวังเหยียนเหว่ยก็เดินลิ่วออกไปจากห้องหนังสือ แล้วตรงไปยังเรือนพักของมารดาทันที
ภายในเรือนเหลียนเฉียว ร่างอวบของสตรีวัยกลางคนเอนกายอยู่บนตั่งอย่างเกียจคร้าน มือที่เริ่มเหี่ยวย่นตามวัยถือตำราไว้ ใบหน้าซึ่งถูกแต่งแต้มมาเป็นอย่างดีก้มลงสนใจตำราในมือ ฟางเลี่ยงหรงเงยหน้าขึ้นจากตำราเล็กน้อยยามได้ยินเสียงเอะอะดังมาจากหน้าเรือน เพียงชั่วอึดใจ ร่างสูงของผู้เป็นบุตรชายก็พรวดพราดเข้ามาด้านใน
ฮูหยินผู้เฒ่าหวังละสายตาจากบุตรแล้วหันมาสนใจตำราในมือต่อ โดยมิได้นำพาต่ออาการฉุนเฉียวของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย “หากเจ้าจะมาขอร้องให้ปล่อยลั่วเจียวเหม่ยล่ะก็ กลับไปเสียเถอะ ถ้ายังไม่ครบกำหนดวันลงโทษแม่จะไม่ปล่อยนางออกมาเด็ดขาด”
“ท่านแม่ เซียนเอ๋อร์อยู่ที่ใดขอรับ” เขาถามอย่างร้อนใจโดยไม่ได้สนใจวาจาเมื่อครู่ของมารดา
ฟางเลี่ยงหรงเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ ร่างอวบลุกขึ้นนั่งตัวตรง มองบุตรชายนิ่งงัน “แม่คิดว่าเจ้ารีบมาช่วยลั่วเจียวเหม่ยเสียอีก ทำไมรึ? เจ้าถามหาเซียนเอ๋อร์ด้วยเหตุอันใด”
หวังเหยียนเหว่ยหลบสายตาคาดคั้นของมารดา “ท่านแม่ลูกได้ยินเรื่องทั้งหมดมาจากพ่อบ้านเจียงแล้ว ลูกแค่เกรงว่านางจะตกใจก็เท่านั้นเองขอรับ”
“เช่นนั้นรึ” ฟางเลี่ยงหรงพยักหน้าเบาๆ เป็นเชิงรับรู้ แต่ก็ยังมิวายเอ่ยวาจาให้อีกฝ่ายร้อนรนยิ่งกว่าเดิม “เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก เซียนเอ๋อร์ไม่ได้หวาดกลัวอันใดกับเหตุการณ์นั้น ตอนนี้นางเข้มแข็งขึ้นมากแล้ว และนี่ หนังสือหย่าของเจ้ากับนาง”
ชายหนุ่มฉวยเอากระดาษที่มารดายื่นให้มาเปิดดูทันที คิ้วเข้มขมวดจนแทบจะผูกกันเป็นปม หวังเหยียนเหว่ยฉีกกระดาษแผ่นนั้นทิ้งพลางมองมารดาอย่างต้องการคำอธิบาย “ท่านแม่ นี่มันคือสิ่งใดกันขอรับ หนังสือหย่าอันใดข้าไม่เคยเขียนมันเลย และข้าจะไม่ยอมรับการหย่าครั้งนี้แน่นอน”
ฟางเลี่ยงหรงหรี่ตามอง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ถึงเจ้าจะฉีกหนังสือหย่าฉบับนั้นทิ้งไป แต่แม่ก็มีเก็บไว้อีกสามฉบับ”
“ท่านแม่ เหตุใดท่านต้องทำเช่นนี้” มองมารดาอย่างไม่เข้าใจในความคิดของอีกฝ่าย
“ก็เป็นเจ้าเองมิใช่รึที่ไม่ได้ต้องการเซียนเอ๋อร์ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว หนำซ้ำบัดนี้นางยังความจำเลอะเลือนอีก การที่นางจำไม่ได้ว่ารักเจ้าแล้ว แม่ว่ามันเป็นสิ่งที่ดีสำหรับนาง” ฟางเลี่ยงหรงหยุดกล่าวไปชั่วครู่เพื่อดูท่าทีของบุตรชาย
“นางต้องเสียใจและทุกข์ใจเพราะเจ้าไม่เคยเหลียวแลมามากแล้ว ในเมื่อนางเอ่ยปากเองว่าต้องการอยู่อย่างสงบ ไม่อยากขัดขวางเจ้ากับลั่วเจียวเหม่ยอีก แม่ก็เลยสนับสนุน ส่วนหนึ่งก็เป็นความผิดของแม่เช่นกัน ที่ทำให้เซียนเอ๋อร์ต้องมาทุกข์ทนอยู่เช่นนี้”
“แต่ท่านทำเยี่ยงนี้ก็ไม่ถูก เหตุใดไม่รอข้ากลับมาก่อนแล้วค่อยคุยเรื่องนี้กันอีกทีล่ะขอรับ” หวังเหยียนเหว่ยเอ่ยเสียงดังอย่างลืมตัว
“เจ้าเป็นเดือดเป็นร้อนขนาดนี้ มิใช่ว่ากำลังมีใจให้เซียนเอ๋อร์แล้วใช่หรือไม่” ฟางเลี่ยงหรงหรี่ตามองอย่างจับผิด
หวังเหยียนเหว่ยหาเสียงตัวเองไม่เจอทันทีที่มารดาถามเช่นนั้น เดิมทีเขาก็ไม่ได้เกลียดชังอันใดลั่วเฟยเซียนมากมายนัก แต่เป็นเพราะเมื่อทราบว่านางคือคู่หมั้นของตน เขาผู้ไม่ชอบให้ใครมาบังคับจึงเกิดการต่อต้านมารดาขึ้นมา และแสดงออกว่าไม่อยากรับนางมาเป็นฮูหยิน สำหรับลั่วเจียวเหม่ยนั้นมิอาจเรียกว่าความรักได้ กับภรรยาผู้นี้เขามีให้นางแค่ความหลงใหลเท่านั้น หาใช่ความรักไม่
“หากหมดธุระแล้วก็กลับไปพักเสียเถิด เจ้าเองเพิ่งเดินทางกลับมาถึงจวนมิใช่รึ แม่เองก็ต้องการพักผ่อนเช่นกัน” สิ้นคำก็เอนกายลงบนตั่งอีกครั้ง
ชายหนุ่มยังคงนิ่งเฉยคล้ายไม่ได้ยินถ้อยคำมารดา คิ้วเข้มเดี๋ยวขมวดเดี๋ยวคลายอยู่เช่นนั้นอย่างกำลังสับสนในความรู้สึกของตน “ท่านแม่ แล้วเซียนเอ๋อร์ไปอยู่ที่ใดหรือขอรับ”
“แม่ไม่รู้ นางไม่ได้บอกว่าจะไปอยู่ที่ใด บอกเพียงว่าอยากไปต่างเมืองเพื่อหาวัดสงบๆ สักแห่งรักษาตัวเอง” ฟางเลี่ยงหรงตอบทั้งที่ยังหลับตาอยู่
ครั้นได้ยินฝีเท้าก้าวย่างออกไปจากเรือนร่างอวบจึงลืมตาขึ้น ก่อนจะทอดถอนใจออกมาแผ่วเบา “เฮ้อ! ตอนบุปผามีใจแต่ธาราก็ไร้น้ำใจ แต่ดูตอนนี้เถิด พอธารามีใจบุปผากลับไร้ใจเสียอย่างนั้น แล้วแต่วาสนาของพวกเจ้าเถิดข้าจะไม่ยุ่งด้วยแล้ว”
หวังเหยียนเหว่ยเองเมื่อออกมาจากเรือนมารดาก็ตรงไปยังเรือนอิ๋งชุนทันที นัยน์ตาคมมองไป๋ฉานฮวาที่ส่งกลิ่นหอมฟุ้งอยู่หน้าเรือนด้วยแววตาสับสน เขายืนอยู่ตรงนั้นอีกครู่ใหญ่อย่างตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเข้าไปในเรือนดีหรือไม่ เพราะตั้งแต่แต่งลั่วเฟยเซียนเข้ามา ก็ไม่เคยเข้าไปเหยียบในเรือนหลังนี้เลยสักครั้ง
ร่างสูงย่างเท้าเข้าไปในเรือนทันทีที่ตัดสินใจได้ พลางกวาดสายตาไปรอบห้อง ในนี้ยังคงมีกลิ่นหอมของไป๋ฉานฮวาลอยคละคลุ้งอยู่เช่นกัน หวังเหยียนเหว่ยเดินสำรวจภายในห้องอย่างช้าๆ พลันสายตาก็สะดุดเข้ากับหีบใบใหญ่ที่วางไว้อยู่ตรงมุมห้อง เขาเดินตรงไปที่หีบใบนั้นทันใด มือหนาเอื้อมไปเปิดหีบออกดู
ชายหนุ่มหยิบสิ่งของที่อยู่ในหีบขึ้นมา มือคลี่อาภรณ์บุรุษสีม่วงเข้มปักลายกระเรียนออกดู สายตากวาดมองไปตามรอยฝีปักที่ประณีตงดงามนี้..นี่มันเป็นแบบอาภรณ์อย่างที่เขาชื่นชอบ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อผ้าหรือลวดลาย หวังเหยียนเหว่ยรีบสำรวจของในหีบต่อ ก่อนจะพบเข้ากับกระดาษแผ่นหนึ่งซึ่งมีบทกลอนร่ายไว้
ยามมีรักไยจึงต้องปักจิต
มิรู้คิดหักห้ามปรามใจตน
แม้ว่าต้องเจ็บซ้ำก็มิสน
ขอได้ยลโฉมท่านทุกวันไป
อันตัวข้านั้นไม่ดีที่ตรงไหน
เพราะเหตุใดตัวท่านนี้จึงผลักไส
หรือผิดที่ข้ารักท่านจนหมดใจ
เหตุไฉนจึงปล่อยข้าให้ตรอมตรม...
เขาอ่านบทกลอนนั้นซ้ำไปซ้ำมา เหมือนกับว่ากลอนบทนี้ยังแต่งไม่เสร็จสิ้นดี บนกระดาษมีรอยจางๆ คล้ายคราบน้ำตาเปื้อนอยู่ แต่แล้วจู่ๆ ใจก็ปวดแปลบขึ้นมาอย่างหาสาเหตุไม่ได้ ชายหนุ่มเก็บกระดาษแผ่นนั้นเข้าอกเสื้อ ก่อนจะเรียกบ่าวไพร่ให้มายกหีบกลับไปยังเรือนพักของตน
นายท่านหวังหยุดยืนอยู่หน้าเรือนอิ๋งชุนชั่วครู่ เขาเด็ดไป๋ฉานฮวามาถือไว้อย่างทะนุถนอม แล้วจึงหันไปสั่งความเจียงเฉิน “พ่อบ้านเจียง ให้คนมาดูแลเรือนหลังนี้ให้ดี ห้ามผู้ใดเคลื่อนย้ายสิ่งของใดๆ ในเรือนทั้งสิ้น และห้ามมิให้ใครหน้าไหนเข้ามาวุ่นวายในเรือนอิ๋งชุนหากข้าไม่อนุญาต เข้าใจหรือไม่”
“ขอรับ” เจียงเฉินรับคำด้วยความมึนงง เหตุใดนายท่านจึงได้ดูแปลกไป หรือเป็นเพราะอดีตฮูหยินใหญ่กันนะ พ่อบ้านเจียงได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจมิกล้าเอ่ยถามผู้เป็นนาย
หวังเหยียนเหว่ยยกไป๋ฉานฮวาขึ้นมาจรดปลายจมูกอย่างแผ่วเบา แล้วสูดดมกลิ่นหอมชื่นใจนี้เข้าไปจนฉ่ำปอด กลิ่นนี้ กลิ่นเดียวกันกับที่เขาได้สูดดมมาจากกายของนางในวันนั้น กลิ่นหอมรัญจวนและร่างนุ่มนิ่มนั้นเขายังคงจำได้ไม่ลืม แม้ว่าจะได้สัมผัสเพียงชั่วครู่ก็ตาม
“เซียนเอ๋อร์ ข้าจะตามเจ้ากลับมาเป็นของข้าอีกครั้งให้ได้” เอ่ยอย่างมาดหมาย ประกายตามีเพียงความมาดมั่นว่าจะต้องนำนางกลับมาให้จงได้