ทางด้านขบวนเดินทางของร้านจี๋เสียง ตลอดห้าวันมานี้ฉิงเฟยเซียนต้องรอนแรมอยู่กลางป่า เพราะเส้นทางที่ใช้ในการสัญจรครั้งนี้ไม่ค่อยมีตัวเมืองสักเท่าใด การนั่งอยู่แต่ในรถม้าตลอดหลายวันสร้างความเหนื่อยล้าให้แก่หญิงสาวยิ่งนัก มือบางบีบนวดขาของตนเป็นระยะเพื่อบรรเทาอาการปวดเมื่อย
“คุณหนู ไหวหรือไม่เจ้าคะ” เสี่ยวฝานถามยามเห็นอีกฝ่ายเอาแต่ขยับตัวยุกยิก เดี๋ยวบีบเดี๋ยวจับขาอยู่เช่นนั้น
“เสี่ยวฝาน เจ้าไม่เมื่อยบ้างรึ เหตุใดจึงได้สงบนิ่งเช่นนี้ ดูข้าสิ เมื่อยก้นเมื่อยขาไปหมดแล้ว” นางบ่นอุบอิบ
“บ่าวชินแล้วเจ้าค่ะ บ่าวทำงานหนักมาตลอด เดินบ่อยวิ่งบ่อยแค่นี้ไม่นับเป็นอันใดไปได้หรอกเจ้าค่ะ อดทนอีกสักนิดนะเจ้าคะ อีกเดี๋ยวก็ถึงตัวเมืองแล้ว นายท่านจางแจ้งว่าคืนนี้เราจะพักที่เมืองต๋าผิงเจ้าค่ะ” หญิงสาวเข้าไปบีบนวดขาให้ผู้เป็นนายทันที
“อืม” ฉิงเฟยเซียนพยักหน้ารับเล็กน้อย แต่ปากจิ้มลิ้มก็ยังบ่นขมุบขมิบอยู่ผู้เดียวเช่นนั้นต่อไปอีกพักใหญ่
ยามเซิน ขบวนสินค้าจากร้านจี๋เสียงก็ผ่านประตูเมืองต๋าผิงเข้ามาได้อย่างง่ายดาย จางหมิ่นเลือกโรงเตี๊ยมขนาดกลางสำหรับเข้าพักในค่ำคืนนี้ ฉิงเฟยเซียนก้าวลงจากรถม้าด้วยการจับประคองจากเสี่ยวฝาน พลางกวาดสายตามองไปรอบๆ นางอยากจะบิดขี้เกียจไล่ความปวดเมื่อยเสียเดี๋ยวนี้ แต่ก็ต้องสงวนท่าทีไว้ก่อน
“แม่นางฉิง คืนนี้ก็พักผ่อนตามสบายเถิด ข้าจะไปเตรียมเสบียงสำหรับการเดินทางอีกยี่สิบกว่าวันที่เหลือ พรุ่งนี้ยามเฉินเราจะออกเดินทางต่อ ท่านก็มาเจอกันที่ตรงนี้ได้เลย” จางหมิ่นสั่งความกับหญิงสาวเล็กน้อย ก่อนจะขอตัวไปทำธุระของตน
“เข้าไปข้างในกันเถอะ ข้าอยากนอนบนเตียงจะแย่อยู่แล้ว” เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง ไม่คิดว่าการเดินทางของที่นี่จะลำบากขนาดนี้ เหลือเวลาอีกตั้งหลายวันไม่รู้ว่านางจะมีชีวิตรอดไปถึงเมืองจี้เกาได้หรือไม่ ช่างเป็นการเดินทางที่บั่นทอนกำลังกายยิ่งนัก
เสี่ยวฝานขบขันให้กับท่าทางงอแงราวเด็กน้อยของคุณหนู “ไปกันเถิดเจ้าค่ะ เดี๋ยวบ่าวจะสั่งเสี่ยวเอ่อร์เตรียมน้ำมาไว้ให้ท่านได้อาบด้วย”
ทันทีที่เข้ามาในห้อง ฉิงเฟยเซียนก็ทิ้งกายลงบนเตียงโดยไม่ได้สนใจสิ่งใดอีก นางฉีกแข้งฉีกขาเพื่อคลายความเมื่อยขบที่เกาะกินมาหลายวัน
“ว้าย! คุณหนู ท่านทำอันใดกันเจ้าคะ นอนเช่นนี้มันไม่งามนะเจ้าคะ” เสี่ยวฝานร้องเสียงหลงเมื่อเห็นท่านอนของนายหญิง
หญิงสาวผงกศีรษะขึ้นมองสาวใช้เล็กน้อย พร้อมกับส่งยิ้มหวานไปให้ “ไม่งามอันใด ในนี้ไม่มีผู้ใดเสียหน่อย มีเพียงเจ้ากับข้ายังต้องกลัวอันใดอีก มาเร็วเสี่ยวฝานมานวดหลังให้ข้าที”
เสี่ยวฝานได้แต่ปลงกับนิสัยแปลกประหลาดของคุณหนู เห็นทีนางคงต้องทำใจให้ชินกับมันเสียแล้ว ร่างระหงนั่งลงบนเตียงแล้วบีบนวดแผ่นหลังบอบบางให้ผู้เป็นนาย “คุณหนูจะทานอาหารเลยหรือไม่เจ้าคะ บ่าวจะได้สั่งให้คนยกขึ้นมาเลย”
“ยังก่อน ข้าเหนื่อยมากกินอะไรยังไม่ลงหรอก หากเจ้าหิวก็กินไปก่อนได้เลย” ฉิงเฟยเซียนตอบด้วยน้ำเสียงอู้อี้เพราะนอนคว่ำหน้าอยู่
“เช่นนั้นบ่าวก็จะรอทานพร้อมคุณหนูเจ้าค่ะ”
กว่าฉิงเฟยเซียนจะลุกมาทานมื้อเย็นเวลาก็ล่วงเข้าปลายยามอิ่ว(17.00น.-18.59น.)เสียแล้ว นางอาบน้ำผลัดเปลี่ยนอาภรณ์เตรียมเข้านอนทันที เพราะเหนื่อยล้าจากการเดินทางที่ไม่ได้หยุดพักมาหลายวัน
ตลอดหลายวันมานี้ หญิงสาวได้ลงจากรถม้าแค่ตอนที่หยุดให้ม้าดื่มน้ำเพียงสองเค่อเท่านั้น แม้แต่ตอนค้างแรมกลางป่ายังต้องนอนบนรถม้าแคบๆ นางไม่กล้าดื่มน้ำหรือกินอาหารเยอะ ด้วยกลัวว่าหากปวดหนักปวดเบาขึ้นมาระหว่างเดินทางจะเป็นการรบกวนนายท่านจาง และทำให้การเดินทางหยุดชะงัก พวกนางเป็นฝ่ายมารบกวนจางหมิ่นจึงมิอาจเป็นภาระให้เขาไปมากกว่านี้
ในห้าวันนี้พวกนางไม่ได้อาบน้ำเลย ทำได้เพียงแค่ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวเท่านั้น เพราะในขบวนเดินทางครั้งนี้มีนางและเสี่ยวฝานเท่านั้นที่เป็นสตรี จึงไม่สะดวกที่จะไปอาบน้ำในลำธารเช่นบุรุษเหล่านั้น เมื่อได้พักที่โรงเตี๊ยมพวกนางจึงมีความสุขกับการอาบน้ำมาก
“เสี่ยวฝาน ขึ้นมานอนบนเตียงกับข้านี่มา” ร่างอรชรซึ่งนอนอยู่บนเตียงเหลือบสายตามองสาวใช้ที่นอนอยู่บนพื้น
“มันไม่เหมาะเจ้าค่ะคุณหนู ท่านจะลดตัวมานอนกับบ่าวได้เยี่ยงไรกันเจ้าคะ”
“ทำไมจะไม่ได้ ตอนอยู่ในรถม้าเจ้ายังนอนกับข้าเลย”
“ก็ตอนนั้นมันจำเป็นนี่เจ้าคะ แต่ตอนนี้สถานการณ์มันต่างกัน” เสี่ยงฝานพยายามเอ่ยอย่างใจเย็น รู้สึกว่าตั้งแต่คุณหนูฟื้นขึ้นมาจะดื้อรั้นมากกว่าเมื่อก่อนเสียอีก ซ้ำยังเด็ดขาดจนบางครั้งนางยังแอบกลัว
ฉิงเฟยเซียนดีดตัวลุกขึ้นนั่ง แอบยิ้มเจ้าเล่ห์ในความมืด ก่อนจะคว้าหมอนแล้วลงไปนอนข้างๆ สาวใช้ “หากเจ้าไม่ขึ้นไปนอนบนเตียงด้วยกัน เช่นนั้นข้าก็จะนอนตรงนี้ด้วย”
“คุณหนู... บ่าวยอมแล้วเจ้าค่ะ ลุกขึ้นเถิด ไปนอนบนเตียงกันนะเจ้าคะ”
“ก็แค่เนี่ย ทำเป็นเล่นตัวไปได้” นางยิ้มกว้างแล้วกลับขึ้นเตียงไปอย่างรวดเร็ว
“เหตุใดคุณหนูต้องทำเช่นนี้เจ้าคะ” เสี่ยวฝานถามด้วยไม่เข้าใจในความคิดของผู้เป็นนาย
“ฟังข้านะเสี่ยวฝาน ตอนนี้เรามีกันแค่สองคนเท่านั้น และข้าก็เห็นเจ้าเป็นดั่งสหาย เจ้าคิดว่าข้าจะปล่อยให้คนที่ยอมมาตกระกำลำบากกับข้าต้องลำบากไปมากกว่านี้รึ เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้เวลาข้าสั่งอันใดเจ้าห้ามปฏิเสธอีก เข้าใจหรือไม่” ฉิงเฟยเซียนแสร้งเอ่ยเสียงดุ
“เจ้าค่ะ” เสี่ยวฝานรับคำเสียงสั่นเครือ
“เอาล่ะ นอนเถอะ พรุ่งนี้เรายังต้องเดินทางกันต่ออีก” กล่าวจบก็ปิดเปลือกตาลง เพียงไม่นานเสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอของสองนายบ่าวก็ดังประสานกัน
วันถัดมา หลังจากรับมื้อเช้าเสร็จขบวนสินค้าของจางหมิ่นก็เดินทางออกจากเมืองต๋าผิง ฉิงเฟยเซียนเปลี่ยนจากการสวมใส่อาภรณ์สตรีที่รุ่มร่ามมาสวมอาภรณ์บุรุษแทน เพราะสะดวกต่อการเดินทางมากกว่า เสี่ยวฝานก็เปลี่ยนมาใส่ชุดบุรุษเช่นเดียวกัน
“อีกไกลเพียงใดจึงจะถึงเมืองจี้เกานะ” พึมพำออกมายามมองสองข้างทางซึ่งมีแต่ต้นไม้ รถม้าก็โยกเยกไปมาตามพื้นถนนที่ขรุขระ
เสี่ยวฝานมองนายหญิงอย่างเห็นใจ คุณหนูของนางไม่เคยต้องพบเจอกับความลำบากเช่นนี้มาก่อน แต่ดูเอาเถิด แม้จะเหนื่อยล้าสักเพียงใด ก็ไม่เคยแสดงออกให้นายท่านจางเห็น เพราะกลัวว่าจะเป็นภาระให้ผู้อื่น
“อีกไม่นานก็ถึงแล้วเจ้าค่ะ อดทนอีกสักหน่อยนะเจ้าคะ หากคุณหนูเบื่อเรามาลองต่อกลอนกันดีหรือไม่เจ้าคะ”
แววตาของฉิงเฟยเซียนเปล่งประกายขึ้นมาทันใด “เอาสิ ข้าอยากลองเช่นกัน แต่เอาคำง่ายๆ นะ เพราะข้ายังเรียนไม่ถึงไหนเลย”
ครู่ต่อมาเสียงต่อกลอนของสตรีทั้งสองก็ดังออกมานอกรถม้าเป็นระยะ ผู้คุ้มกันต่างขบขันในบทกลอนแปลกประหลาดของหญิงสาวสองนางนี้ แต่นี่ก็ทำให้การเดินทางครั้งนี้ไม่น่าเบื่อจนเกินไป
การเดินทางสู่เมืองจี้เกาของฉิงเฟยเซียนเป็นไปอย่างราบรื่น อาจจะมีบ้างบางครั้งที่ลำบากเรื่องอาหารการกิน แรกๆ นางไม่กล้าทานกระต่ายป่าที่ผู้คุ้มกันจับมาถลกหนังต่อหน้าตน แต่เมื่อต้องทานแต่แผ่นแป้งแข็งๆ กับเนื้อแห้งมากๆ เข้า ก็ทำให้เบื่อหน่ายอาหารจนต้องยอมกินเนื้อกระต่ายป่าในที่สุด ด้วยเพราะพวกนางเป็นสตรี นายท่านจางจึงสั่งห้ามผู้ติดตามของเขาเข้ามาวุ่นวายกับนางและเสี่ยวฝาน โชคดีที่มีผู้คุ้มกันเหล่านี้คอยช่วยเหลืออีกแรง จึงทำให้การเดินทางในครั้งนี้มิได้ลำบากเท่าใดนัก หลังจากเดินทางรอนแรมกลางป่าเขามากว่ายี่สิบวัน ในที่สุดนางก็เข้าใกล้ชายแดนแคว้นซานเสียที
“คืนนี้เราจะพักที่นี่ก่อน หากเดินทางต่อข้าเกรงว่าจะเป็นอันตราย ตอนนี้ฟ้าก็ใกล้มืดแล้ว” จางหมิ่นบอกกล่าวหญิงสาวทั้งสองทันทีที่ขบวนเดินทางหยุดลง อีกเพียงยี่สิบลี้เท่านั้นก็จะถึงเมืองจี้เกาแล้ว ถึงจะเร่งเดินทางอย่างไรก็คงไปไม่ถึงก่อนประตูเมืองปิดอยู่ดี ซ้ำอาจจะเจอเหตุไม่คาดฝันเข้าระหว่างทางอีก จึงเลือกที่จะหยุดพักก่อน
“เจ้าค่ะ” สตรีทั้งสองขานรับอย่างพร้อมเพรียง
“ข้าให้คนไปสำรวจบริเวณโดยรอบมาแล้ว ห่างจากตรงนี้ไปทางทิศอุดรราวสองลี้จะมีลำธารเล็กๆ หากแม่นางฉิงอยากไปล้างเนื้อล้างตัวก็ตามสบายนะ แต่นำผู้คุ้มกันไปด้วยแล้วกัน ในป่าเขาเช่นนี้มันอันตราย” จางหมิ่นเอ่ยพร้อมกับส่งยิ้มบางเบาไปให้ จากนั้นจึงเดินกลับไปสั่งงานคนของตนต่อ
“คุณหนูเจ้าขา” เสี่ยวฝานเรียกด้วยน้ำเสียงออดอ้อน พลางส่งสายตาราวกับลูกหมาน้อยไปให้
ฉิงเฟยเซียนส่ายศีรษะอย่างอ่อนใจ “ไปกันเถอะ ข้าเองก็อยากล้างหน้าล้างตาเช่นกัน”
“เจ้าค่ะ” สิ้นคำก็เข้าไปในรถม้าแล้วกลับออกมาพร้อมห่อผ้า
“พี่ชาย พวกข้าจะไปทางลำธารด้านโน้นเสียหน่อย ท่านตามไปคุ้มครองข้าได้หรือไม่” ฉิงเฟยเซียนถามหนึ่งในผู้คุ้มกันที่ฟางเลี่ยงหรงจ้างมาให้ เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มพยักหน้าตอบรับ สตรีทั้งสองก็เดินลิ่วไปยังทิศทางที่จางหมิ่นบอกทันที ใช้เวลาราวหนึ่งเค่อฉิงเฟยเซียนก็มาถึงที่หมาย ดวงตากลมโตเปล่งประกายขึ้นมายามเห็นธารน้ำใสอยู่เบื้องหน้า นางไม่รอช้าวิ่งลงธารน้ำทันใด โดยไม่สนใจเสียงห้ามปรามของเสี่ยวฝานเลยแม้แต่น้อย
สองนายบ่าวเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน โดยมีผู้คุ้มกันคอยดูต้นทางมิให้ผู้ใดเข้ามาใกล้บริเวณนี้ ครั้นเห็นว่าตะวันเริ่มคล้อยแล้วสตรีทั้งสองจึงขึ้นจากน้ำ
คืนนี้ก็เป็นอีกคืนที่หญิงสาวต้องนอนบนรถม้า หลังจากทานมื้อเย็นเสร็จทุกคนต่างก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน ผู้ที่ทำหน้าที่เป็นเวรยามก็เป็นต่อไป ส่วนผู้ที่ไม่มีหน้าที่อันใดก็พักเอาแรงเพื่อเดินทางต่อ ผ่านไปราวค่อนคืน ฉิงเฟยเซียนก็รู้สึกปวดท้องเบาขึ้นมา นางหันไปหาเสี่ยวฝานซึ่งหลับใหลอยู่ เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังหลับสนิทจึงไม่อยากรบกวน
ร่างแน่งน้อยลงจากรถม้าอย่างแผ่วเบาด้วยกลัวว่าจะทำให้สาวใช้ตื่น นางมองซ้ายมองขวาเพื่อหาที่เหมาะๆ สำหรับการปลดทุกข์ เมื่อเห็นว่าเวรยามก็ยังเดินตรวจตราเป็นอย่างดีและตนก็ไม่ได้ออกไปไกลเท่าใดนัก ฉิงเฟยเซียนจึงมิได้แจ้งผู้ใด อย่างไรเสียก็ไปแค่ครู่เดียวเท่านั้น
หญิงสาววิ่งไปยังพุ่มไม้ใหญ่ซึ่งอยู่ห่างจากจุดพักแรมราว 1 ลี้(500 เมตร) ก่อนจะจัดการธุระของตน ครั้นทำทุกอย่างเสร็จสิ้นก็กลับไปยังรถม้า ทว่าเดินไปได้ไม่ถึงสามสิบก้าวเลยด้วยซ้ำกลับถูกมือของผู้ใดมิรู้ปิดปากไว้ จากนั้นคนผู้นี้ก็ลากนางเข้าไปหลังต้นไม้ใหญ่ นัยน์ตากลมโตเบิกกว้างด้วยความตกใจ พยายามดิ้นให้หลุด แต่แขนแข็งแกร่งนี้กลับโอบรัดนางไว้แน่น “อือๆ อ่อยอาอ่ะ”
“เงียบ! หากเจ้ายังไม่หยุดดิ้นอย่าหาว่าข้าไม่เตือน ” เสียงตอบกลับมาแผ่วเบาราวกระซิบ ทว่าเจือไปด้วยความหงุดหงิด
ฉิงเฟยเซียนหยุดดิ้นโดยพลันยามได้รับจิตสังหารที่ส่งมาข่มขู่ เป็นความประมาทของนางเองที่ออกมาโดยไม่เรียกผู้ใดมาด้วย ดวงตากลมโตคลอไปด้วยหยาดน้ำตา ในใจหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ‘ข้าจะต้องมาตายอยู่กลางป่าเช่นนี้น่ะหรือ ไม่นะ! ข้าไม่ยอม ผู้ใดก็ได้ รีบมาช่วยข้าที’