วันรุ่งขึ้น ลั่วเฟยเซียนออกจากจวนสกุลหวังไปตั้งแต่ยามเฉิน(7.00น.-8.59น.) นางตรงไปยังร้านจี๋เสียงของนายท่านจาง โดยมีเสี่ยวฝานเป็นผู้นำทาง
“ที่นี่รึ” ถามเสียงเรียบเมื่อยืนอยู่หน้าร้านแพรพรรณขนาดใหญ่
“ใช่เจ้าค่ะ เราเข้าไปข้างในกันเถิดเจ้าค่ะ บ่าวได้แจ้งแก่นายท่านจางไว้แล้ว” กล่าวจบก็เดินไปหาหลงจู๊ของร้านจี๋เสียง แล้วเอ่ยความด้วยเล็กน้อย
ผ่านไปชั่วครู่ หลงจู๊ผู้นั้นก็เชิญหญิงสาวทั้งสองเข้าไปด้านหลังร้าน เมื่อมาถึงโถงรับรอง ลั่วเฟยเซียนก็เห็นชายหนุ่มอายุราวสามสิบหนาวผู้หนึ่งกำลังนั่งจิบชาอย่างสบายอารมณ์ นางหันไปเอ่ยถามเสี่ยวฝาน ก่อนจะได้คำตอบกลับมาว่าคนผู้นี้คือ ‘จางหมิ่น’ นั่นเอง
“คารวะนายท่านจางเจ้าค่ะ” สตรีทั้งสองต่างยอบกายทำความเคารพผู้เป็นเจ้าของเรือน
“ตามสบายเถิดหวังฮูหยิน ไม่ใช่สิ ขออภัยที่ข้ากล่าวผิดไป ตอนนี้ท่านหย่ากับหวังเหยียนเหว่ยแล้ว เช่นนั้นจะให้ข้าเรียกขานท่านว่าเช่นไรดี” จางหมิ่นเอ่ยอย่างเป็นมิตร เขาพอจะรู้เรื่องของหญิงผู้นี้มาบ้างจึงอดที่จะสงสารมิได้
“เรียกข้าว่า ‘เฟยเซียน’ ก็ได้เจ้าค่ะ” นางส่งยิ้มบางไปให้เขา
“แม่นางเฟยเซียนมีสิ่งใดให้ข้ารับใช้รึ”
“มิได้เจ้าค่ะ ข้าไหนเลยจะกล้ารบกวนนายท่านจางไปมากกว่านี้ แค่ท่านให้พวกข้าติดตามไปด้วยก็ถือว่าเป็นการช่วยข้ามากแล้ว” ลั่วเฟยเซียนหยุดวาจาไปชั่วครู่
“ข้าเพียงแต่อยากสอบถามท่านว่า หากข้าต้องการเปลี่ยนแซ่สกุลใหม่ต้องทำเช่นไรบ้างเจ้าคะ” นางไม่รู้จริงๆ ว่าการเปลี่ยนชื่อแซ่ของคนที่นี่เขาทำกันอย่างไร เสี่ยวฝานเองก็ไม่รู้เช่นกัน ครั้นจะเอ่ยถามฮูหยินผู้เฒ่าหวังก็กลัวว่าอีกฝ่ายจะตกใจ ที่พึ่งเดียวที่พอจะสอบถามได้ก็เห็นจะมีเพียงนายท่านจางผู้นี้เท่านั้น
จางหมิ่นเลิกคิ้วอย่างแปลกใจในคำถามของคนเบื้องหน้า “อย่าบอกนะว่าท่านถูกขับออกจากตระกูลลั่วแล้ว”
เมื่อเห็นร่างบางพยักหน้ารับ ชายหนุ่มจึงหันไปสั่งงานกับหลงจู๊ แล้วพาสตรีทั้งสองไปจัดการเปลี่ยนแซ่และขอหนังสือรับรองจากทางการ กว่าจะจัดการทุกอย่างเรียบร้อยเวลาก็ล่วงเข้ายามอุ้ย(13.00น.-14.59น.)เสียแล้ว
ลั่วเฟยเซียนยอบกายขอบคุณนายท่านจางอีกครั้งที่ช่วยเป็นธุระให้ ก่อนจะแยกย้ายกันกลับจวนของตนไป ทันทีที่กลับมาถึงเรือนอิ๋งชุน ก็เห็นฮูหยินผู้เฒ่าหวังมารอนางอยู่ที่เรือนแล้ว
“กลับมาแล้วรึเซียนเอ๋อร์ เจ้าออกไปที่ใดมา” ฟางเลี่ยงหรงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเอ็นดู พร้อมกับกวักมือเรียก
ลั่วเฟยเซียนเข้าไปนั่งลงข้างอีกฝ่ายอย่างไม่อิดออด “เซียนเอ๋อร์แค่ออกไปเดินชมตลาดเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะไปจากเมืองหลวงเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นรึ” ฟางเลี่ยงหรงครางรับเสียงแผ่ว “เจ้าต้องดูแลตัวเองดีๆ เข้าใจหรือไม่ ไปอยู่ต่างเมืองเช่นนั้นคงลำบากไม่น้อย ให้แม่ส่งบ่าวไพร่ไปคอยรับใช้ด้วยดีหรือไม่”
“ไม่ต้องเจ้าค่ะ! เอ่อคือ..เซียนเอ๋อร์คิดว่าคงไม่ลำบากอันใด มีแค่เสี่ยวฝานก็พอแล้ว อย่าให้ผู้อื่นต้องเดือดร้อนเพราะเซียนเอ๋อร์เลยนะเจ้าคะ” ลั่วเฟยเซียนปฏิเสธทันควัน พร้อมกับส่งสายตาอ้อนวอนไปให้
ฟางเลี่ยงหรงลูบศีรษะร่างบอบบางเบาๆ แล้วยัดบางอย่างใส่มือให้หญิงสาว “หากเจ้าไม่รับบ่าวไพร่ เช่นนั้นก็รับสิ่งนี้ไปแทนแล้วกัน และห้ามปฏิเสธด้วย”
นางก้มมองกระดาษแผ่นน้อยในมือ แล้วก็ต้องเบิกตากว้าง เมื่อพบว่ามันคือตั๋วเงินสามพันตำลึงทอง “ท่านแม่... คือว่า... ”
“อย่าขัดใจแม่ คิดเสียว่าเก็บไว้ใช้ซื้อจวนสักหลังก็แล้วกัน เจ้าคงไม่คิดจะอยู่ที่วัดไปตลอดชีวิตหรอกนะ” ฟางเลี่ยงหรงแสร้งเอ่ยเสียงดุ
ลั่วเฟยเซียนหลบตาฮูหยินผู้เฒ่าโดยพลัน ส่งยิ้มแหยไปให้ พร้อมกับเก็บตั๋วเงินใส่อกเสื้ออย่างรวดเร็ว “ขอบคุณท่านแม่ที่เมตตาเซียนเอ๋อร์เจ้าค่ะ”
“ท่านแม่ เซียนเอ๋อร์ขอถามบางอย่างจะได้หรือไม่เจ้าคะ” เลียบเคียงถามเสียงอ้อมแอ้ม
“มีสิ่งใดรึ เจ้าสงสัยอันใด” ฟางเลี่ยงหรงยิ้มบางพลางกุมมืออีกฝ่ายไว้
ลั่วเฟยเซียนช้อนสายตามองฮูหยินผู้เฒ่าเล็กน้อย “ท่านแม่ได้หนังสือหย่ามาได้อย่างไรเจ้าคะ ท่านพี่เหว่ยยอมเขียนเองเลยหรือ”
“ทำไมรึ หรือเจ้าเปลี่ยนใจไม่อยากไปจากที่นี่แล้ว”
นางส่ายหน้าปฏิเสธทันใด จนอดที่จะรู้สึกผิดมิได้ ยามเห็นแววตาของฮูหยินผู้เฒ่าหวังสลดลง
“อาเหว่ยไม่ได้เป็นคนเขียนหรอก เป็นแม่เองที่ริเริ่มเรื่องราวยุ่งๆ เหล่านี้ ดังนั้นแม่ก็ควรเป็นผู้แก้ไขมันด้วยตัวเอง”
“ท่านแม่เขียนเองหรือเจ้าคะ แล้วตราประทับในหนังสือหย่า” ลั่วเฟยเซียนรีบถามด้วยความร้อนใจ
“แม่ก็ขโมยของอาเหว่ยมาอย่างไรเล่า เจ้าไม่ต้องกลัว หนังสือหย่าฉบับนี้ใช้ได้แน่นอน ไม่มีทางที่การหย่าครั้งนี้จะเป็นโมฆะเด็ดขาด” ฟางเลี่ยงหรงเอ่ยให้หญิงสาวคลายความกังวลใจลง เหตุใดนางจะไม่รู้ว่าลั่วเฟยเซียนกำลังกังวลเรื่องใดอยู่
“หากท่านแม่ยืนยันเช่นนั้น เซียนเอ๋อร์ก็เบาใจเจ้าค่ะ” นางแย้มยิ้มบางเบา
“พรุ่งนี้แม่จะต้องไปจัดการปัญหาของโรงเตี๊ยมด้วยตัวเอง เพราะอาเหว่ยไม่อยู่ แล้วคงค้างที่นั่นสักสามวัน แม่อาจมิได้อยู่ส่งเจ้าแต่แม่จ้างคนของสำนักคุ้มภัยให้เดินทางไปส่งเจ้าแล้ว แม่หวังว่าต่อแต่นี้ไป เซียนเอ๋อร์จะมีชีวิตที่ดีและมีความสุขเสียที” ฟางเลี่ยงหรงตบหลังมือของอีกฝ่ายเล็กน้อย
หญิงสาวน้ำตารื้นขึ้นมา นางยิ้มให้ฮูหยินผู้เฒ่าหวังอย่างจริงใจ “ท่านแม่ไม่ต้องห่วงนะเจ้าคะ เซียนเอ๋อร์จะมีความสุขแน่นอนเจ้าค่ะ”
สตรีต่างวัยทั้งสองสนทนากันต่ออีกพักใหญ่ เมื่อเห็นว่าเวลาล่วงเลยมาพอสมควรแล้ว ฟางเลี่ยงหรงจึงกลับเรือนของตน เพื่อเตรียมตัวไปตรวจกิจการของตระกูลแทนบุตรชายที่ยังไม่กลับมาจากต่างเมือง
สามวันถัดมา ลั่วเฟยเซียนตื่นตั้งแต่ยามอิ๋น(03.00น.-04.59น.) เพื่อเตรียมตัวให้ทันกำหนดการเดินทางของนายท่านจาง นางเรียกเสี่ยวฝานเข้ามาช่วยตนแต่งกาย
“คุณหนู เอี๊ยมอันใดของท่านกันเจ้าคะ เหตุใดจึงมีถุงอยู่ตรงหน้าท้องเช่นนั้น” เสี่ยวฝานถามอย่างอดไม่ได้ นางจำได้ว่ามิเคยเย็บเอี๊ยมอัปลักษณ์ตัวนี้ให้คุณหนูแน่ๆ
“คิกคิก ทำไมรึ เอี๊ยมที่ข้าเย็บเองกับมือไม่งามหรืออย่างไร” ลั่วเฟยเซียนขบขันเบาๆ เมื่ออีกฝ่ายเอาแต่มองเอี๊ยมตัวนี้ด้วยสายตาแปลกๆ “เจ้าสงสัยรึว่าถุงด้านหน้าเอี๊ยมเอาไว้ทำสิ่งใด”
ครั้นเห็นสาวใช้พยักหน้าหงึกหงัก จึงหยิบตั๋วเงินหกพันตำลึงทองใส่ลงไปในถุงนั่น ก่อนจะผูกเชือกไว้อย่างแน่นหนา “ก็เอาไว้เก็บตั๋วเงินอย่างไรเล่า หากข้าเก็บไว้ในอกเสื้อ เกิดโชคร้ายถูกโจรฉกชิง เราจะไม่สูญเงินเหล่านั้นไปหมดหรือ เก็บไว้ตรงนี้แหละปลอดภัย คงไม่มีโจรที่ไหนล้วงถุงเงินลงมาถึงหน้าท้องของข้าหรอก”
เสี่ยวฝานได้แต่อ้าปากค้างให้กับความคิดของผู้เป็นนาย
‘นี่คุณหนูคิดเรื่องเช่นนี้ได้เยี่ยงไร เห็นทีข้าคงต้องเย็บเอี๊ยมแบบนี้มาใส่บ้างเสียแล้ว แต่ว่านะ... ฝีมือของคุณหนูนี่ช่างน่ากลัวยิ่งนัก ต่อไปข้าจะไม่ให้นางปักผ้าอีกแน่ ดูเอาเถิด ฝีเย็บที่ไร้ระเบียบนั่นคือสิ่งใดกัน’
ลั่วเฟยเซียนยิ้มอย่างขัดเขินยามเห็นเสี่ยวฝานมองเอี๊ยมของตนอย่างอนาถใจ ก็แน่ล่ะ นางมีฝีมือการเย็บปักเสียเมื่อใดกัน ได้แค่นี้ก็ถือว่าดีนักหนาแล้ว
เมื่อจัดการกับตัวเองเรียบร้อยแล้ว จึงเรียกบ่าวชายมายกหีบใบใหญ่สามใบออกไปใส่รถม้าที่จอดรออยู่หน้าจวน บ่าวไพร่ในเรือนต่างงุนงงว่านางจะไปไหน แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยถามออกมา
การหย่าร้างของนางและหวังเหยียนเหว่ยยังมิได้ถูกประกาศออกไป ผู้คนในจวนจึงยังไม่มีใครทราบเรื่องนี้ รถม้าขนาดกลางที่พอให้สองคนนั่งโดยไม่เบียดเสียดกัน เคลื่อนตัวออกจากหน้าจวนสกุลหวังไปยังร้านจี๋เสียง ทันทีที่ประตูเมืองเปิด ขบวนสินค้าจากร้านจี๋เสียงก็เดินทางออกจากเมืองหลวงแคว้นต้าเซินทันใด ขบวนรถม้าซึ่งขนสินค้าราวเจ็ดคัน และรถม้าขนาดกลางอีกสองคันเคลื่อนตัวไปอย่างไม่ช้าไม่เร็ว
คนคุ้มกันที่จางหมิ่นจ้างมาคุ้มครองการเดินทางครั้งนี้ ก็มาจากสำนักคุ้มภัยเดียวกันกับที่ฮูหยินผู้เฒ่าหวังจ้างมาให้ลั่วเฟยเซียน ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องไล่พวกเขากลับไป เพียงแต่จ่ายเงินเพิ่มเล็กน้อยเพื่อให้พวกเขาเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ
การนั่งรถม้าครั้งแรกของลั่วเฟยเซียนสร้างความลำบากให้แก่นางไม่น้อย แต่โชคดีที่เสี่ยวฝานหาเบาะนวมมาให้รองนั่ง หาไม่แล้ว ก้นของนางคงได้ระบมไปหมดแน่
“เสี่ยวฝาน เจ้าตามข้าไปเช่นนี้ไม่เป็นห่วงบิดามารดาของเจ้าบ้างรึ” เอ่ยถามอย่างเป็นกังวล เพราะรู้มาว่าครอบครัวของอีกฝ่ายยังอยู่ครบ
“คุณหนูไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นหรอกเจ้าค่ะ ท่านพ่อท่านแม่ของบ่าวย้ายไปทำไร่ทำสวนอยู่ที่บ้านเกิดนานแล้ว ทั้งหมดนี่เป็นเพราะความเมตตาจากมารดาของท่าน ที่ยอมไถ่ตัวท่านแม่ของบ่าวออกมา ซ้ำยังมอบอิสระให้พวกเราไม่ต้องเป็นทาสอีกต่อไปเจ้าค่ะ” เสี่ยวฝานมองหญิงสาวด้วยสายตาเทิดทูน
“และทางนี้ท่านพ่อท่านแม่ก็มีน้องชายของบ่าวคอยดูแลอยู่ เจ้าค่ะ แต่คุณหนูไม่มีผู้ใดเลย แล้วเช่นนี้จะให้บ่าวปล่อยท่านไปอยู่เพียงลำพังได้อย่างไรเจ้าคะ สำหรับบ่าวแล้ว คุณหนูคือผู้มีพระคุณอีกคนของบ่าวเจ้าค่ะ” เอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
เมื่อเห็นนายหญิงขมวดคิ้วสงสัย จึงกล่าวคำต่อทันใด “คุณหนูคงจำไม่ได้ ตอนเด็กๆ บ่าวถูกคุณหนูรองใส่ร้ายว่าขโมยของ เกือบถูกสั่งให้ตัดมือทิ้ง แต่คุณหนูเข้ามาช่วยเหลือไว้ทัน บ่าวจึงรอดพ้นมาได้ และท่านก็ไม่เคยรังแกบ่าวเลย ยามใดที่ได้ขนมอร่อยๆ มา คุณหนูก็จะชอบแอบนำมาให้บ่าวทานด้วยเสมอเจ้าค่ะ”
“คงเพราะข้าแย่งนมเจ้าดื่มตอนเด็กๆ กระมัง ข้าเลยเอาขนมมาให้เป็นการชดเชย คิกคิก” ลั่วเฟยเซียนเอ่ยอย่างติดตลกเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ หาไม่แล้ว เสี่ยวฝานคงได้ร่ำไห้เพราะเรื่องในอดีตเป็นแน่ ดูเอาเถิด เพียงแค่นี้ดวงตาของอีกฝ่ายก็คลอไปด้วยหยาดน้ำตาแล้ว
“คงใช่เจ้าค่ะ ตอนยังเด็กบ่าวโกรธท่านแม่บ่อยๆ ที่สนใจคุณหนูมากกว่าบ่าว” เสี่ยวฝานขบขันแผ่วเบาเมื่อคิดถึงเรื่องราวในวัยเยาว์
“ต้องใช้เวลานานเท่าใดจึงจะถึงเมืองจี้เกา” ลั่วเฟยเซียนถามเสียงแผ่วเบา นิ้วเรียวแง้มม่านหน้าต่างรถม้าออกดูบรรยากาศสองข้างทาง
“นายท่านจางบอกว่าราวหนึ่งเดือนเจ้าค่ะ แต่เพราะสงครามระหว่างแคว้นต้าเซินและแคว้นหลินเมื่อแปดปีก่อน จึงทำให้การข้ามแดนลำบากเล็กน้อย”
หญิงสาวเลิกคิ้วอย่างฉงนใจ “มิใช่ว่าเมืองจี้เกาเป็นของแคว้นซานหรอกหรือ แล้วเกี่ยวอันใดกับสงครามครั้งนั้นด้วย”
“เพราะแคว้นซานกับแคว้นหลินเป็นพันธมิตรกันอย่างไรเล่าเจ้าคะ นี่ทางเมืองจี้เกาก็เพิ่งจะยอมเปิดให้พ่อค้าจากแคว้นต้าเซินเข้าไปแลกเปลี่ยนค้าขายกันได้เพียงไม่นานมานี้เอง”
“เหตุใดเจ้าจึงรู้เรื่องเหล่านี้ได้ล่ะ”
“ก็บ่าวชอบไปสนทนากับฮูหยินของนายท่านจางบ่อยๆ นางจึงเล่าให้ฟังเจ้าค่ะ” เสี่ยวฝานยิ้มแหย
“หึหึ ข้าก็ว่าแล้วเชียว เหตุใดยามที่เจ้าออกไปสืบข่าวจึงได้หายไปนานนัก ที่แท้ก็แอบไปสนทนากับจางฮูหยินนี่เอง” ลั่วเฟยเซียนเอ่ยอย่างล้อเลียน
“โธ่คุณหนู บ่าวไม่ได้เถลไถลนะเจ้าคะ นี่ก็เป็นการไปหาข่าวอย่างหนึ่งเหมือนกันเจ้าค่ะ” เสี่ยวฝานยิ้มประจบทันที
นางส่ายศีรษะอย่างอ่อนใจ “เสี่ยวฝาน ข้าไม่รู้ว่าหนทางข้างหน้าจะเป็นเช่นไร แต่เจ้าจะไม่ทิ้งข้าไปใช่หรือไม่”
“เจ้าค่ะ บ่าวจะอยู่รับใช้คุณหนูไปตลอดชีวิต” เสี่ยวฝานกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจริงจัง
“ต่อแต่นี้ไปข้าจะเป็น ‘ฉิงเฟยเซียน’ นางฟ้าผู้โบยบินในวันที่ฟ้าสดใส ข้าจะไม่เป็นลั่วเฟยเซียนคนเดิมที่อ่อนแออีกแล้ว ชีวิตพวกเราจะต้องสดใสเหมือนดั่งแซ่ฉิงนี้” เอ่ยอย่างมาดหมาย ไม่รู้ว่าเป็นความบังเอิญหรือโชคชะตา ที่แซ่สกุลมารดาเจ้าของร่างมีความหมายเดียวกันกับนามของตนเมื่อภพชาติที่แล้ว
สองนายบ่าวยังคงพูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติ สตรีทั้งสองต่างช่วยกันวางแผนการที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ในต่างแดน ซึ่งกำลังจะเป็นบ้านหลังใหม่ของพวกนางในอีกไม่ช้านี้