ตอนที่ 10 ชื่อตอน ไปเมืองหลวง

1451 Words
บุรุษชั้นสูงที่ปกป้องเมืองฝูหลิงทั้งหลาย ต่างมาจากเมืองหลวงและหน้าด่านทางเหนือทั้งหมด ยามนี้สงครามสงบลงแล้ว ผู้คนที่มิมีถิ่นกำเนิดในเมืองฝูหลิง จึงทยอยเดินทางกลับสู่บ้านเรือนของตนเองเสีย เล่อหานเสวี่ยและเมิ่งฉีเซิงเป็นคนในเมืองหลวง เช่นนั้นยามที่กองทัพเคลื่อนไปที่เมืองหลวง ทั้งสองจึงมิต้องเอ่ยลาผู้ใดนัก ในสงครามนั้นสูญเสียทหารกล้าไปมากมาย ในศึกคราหลัง นายกองชุนมิได้กลับมาอีก มีเพียงเถ้าถ่านของนายกองชุน ที่ผู้คนนั้นรวบรวมกลับมาได้ ด้วยนายกองชุนนั้นเสียสละไประเบิดค่ายของข้าศึกด้วยตนเอง เปิดทางให้กองทัพของเทียนหลิงนั้นได้ตีฝ่าออกไป จนสามารถทะลวงกลยุทธการศึก ทำลายรถศึกและเครื่องกลของฉีอันไปจนหมดสิ้น หวงเกาเทียนมิได้บอกกล่าวสาวน้อยในยามแรก แต่ยามที่ทหารนั้นเอ่ยรายนามสดุดีผู้กล้าขึ้นมา ทหารเฒ่าหลายนายนำผืนธงห่มเถ้าถ่านของนายกองชุนมาให้เสี่ยวโซ่ว ก่อนจะมอบป้ายหยกและสิ่งของดูต่างหน้าไว้ให้นาง เอ่ยขึ้นมาทั้งน้ำตาในทันใด “เสี่ยวโซ่วเอ๊ย ก่อนที่นายกองชุนจะจากไปนั้น ในใจของนายกองชุนห่วงใยแต่เพียงเจ้า กลัวว่าเจ้านั้นจะถูกข้าศึกทำร้ายเพราะเป็นสตรีผู้เดียวในกองทัพ ยามที่นายกองชุนตัดสินใจออกไปพลีชีพในสงครามกับชาวฉีอัน ตัดสินใจฝากของดูต่างหน้าเอาไว้ให้เจ้า และขอให้เจ้านั้นเป็นตัวแทนนำเถ้ากระดูกของตนเองกลับไปที่เมืองหลวง ไปสู่ชุนฝุเหริน นายกองชุนกล่าวว่า แม้เจ้าจะมิใช่บุตรสาวที่หายไปจริงๆ แต่ทว่านายกองชุนอยากได้เจ้าเป็นบุตรสาวเสียเหลือเกิน เช่นนั้นจึงขอวอนให้พวกเรานั้น นำเจ้าไปพบชุนฝุเหรินให้ได้ ให้เจ้าไปปลอบใจนางแทนตนเอง นี่เป็นคำสั่งสุดท้ายของนายกองชุนนะเสี่ยวโ๋ซ่ว” เสี่ยวโซ่วตื่นตะลึงหลังจากที่ฟังจนจบสิ้นแล้ว น้ำตาของนางไหลออกมาช้าๆ นางเบะปากร่ำไห้ขึ้นมาท่ามกลางทหารทั้งหลายที่ดวงตาแดงฉานมิต่างกัน การศึกยาวนานเพื่อนทหารต่างพลีชีพเพื่อแคว้นฝูหลิงไปมากมาย ทุกผู้คนเจ็บร้าวมิต่างกัน เสี่ยวโซ่วรับของดูต่างหน้าของนายกองชุนมากอดไว้ และมีมือหนาดึงนางเข้าในเสื้อคลุมลายพยัคฆ์เหยียบเมฆของตนเอง เอ่ยสดุดีทหารและต่างจุดพลุไฟขึ้นฟ้า เป็นการส่งผู้คนในคราสุดท้ายของกองทัพ “อย่าเสียใจไปเลยเสี่ยวโซ่ว พวกเราทั้งหมดนั้นคือคนกล้า ที่เสียสละเพื่อปกป้องผืนดินนี้เพื่อประชาชน นายกองชุนเองก็เสียสละตนเพื่อปกป้องคนที่ตนรักเฉกเช่นกัน พวกเรานั้นต่างมิอาจเสียน้ำตาได้มากมายนัก มีแต่ต้องแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น เข้าใจหรือไม่เล่าสาวน้อยของข้า” เสี่ยวโซ่วพยักหน้าน้อยๆอยู่ในอกแกร่ง ยามทรงสั่งทหารเลิกกองไปแล้ว หานไท่เวยเดินนำผู้คนมาใกล้ๆ และวางฝ่ามือหนาหนักลงบนเรือนผมของนาง ก่อนจะขยี้ผมของนางเบาๆ เป็นการปลุกปลอบใจนางอีกครั้ง “สงครามยาวนานผู้คนล้วนแยกจากกันทั้งสิ้น หากว่ากลับเมืองหลวงในครานี้ มิรู้ว่าจะเสื่อมโทรมลงเพียงใด และจะพบผู้ใดยังมีชีวิตอยู่บ้างก็มิรู้ พวกเราทั้งหมดนั้นต่างต้องเตรียมใจมิต่างกัน เร่งทำใจเสียเถิดเสี่ยวโซ่ว เจ้ายังเด็กนักมิควรใคร่ครวญถึงตาแก่ที่จากไปมากมาย แก่ชราเช่นพวกข้า มินานก็ต้องจากไปอยู่แล้วในมิช้าก็เร็ว” เสี่ยวโซ่วพยักหน้าเบาๆ นางมีร่างแกร่งโอบกอดไปตลอดจนถึงเรือนพัก ยามถึงเรือนพักก็ให้คนนำน้ำร้อนเข้ามาและบิดผ้าเช็ดใบหน้าให้นางเบาๆ กอดรัดนางในอกตึงแน่น และกอดนางไปตลอดจนรุ่งเช้าในอีกวัน มินานเจ็ดวันหลังจากนั้น เสี่ยวโซ่วก็วิ่งวุ่น เพราะเล่อเกอกับเมิ่งเกอนั้นมีสิ่งของมากมายให้ต้องนำกลับไป โดยเฉพาะปีกเหล็ก ทั้งหมดช่วยกันเก็บสิ่งของลงในหีบไม้และตระกร้าสาน จัดเก็บของผูกลงในรถม้า ก่อนที่จะวิ่งเก็บสิ่งของส่วนตนของตนเองกันอีกครา เสี่ยวโซ่วนั้นจากที่มีสมบัติติดกายนัก แต่ยามที่ผู้คนนำสิ่งของที่ยึดมาจากสงครามมาแบ่งปันให้นาง ลงท้ายนางก็ต้องหอบหิ้วสิ่งของไปเมืองหลวงด้วยมากมาย เพราะนางงกและหวงแหนสิ่งต่างๆจากผู้คนไปเสียแล้ว เสี่ยวโซ่วได้ม้าศึกตัวหนึ่งมาคู่กาย ยามที่ผู้คนเคลื่อนไปกับกองทัพ นางขี่ม้าตามหวงต้าเกอและชนชั้นสูงไปด้วยกัน ยามได้พักเหนื่อยหนึ่งครา นางก็วิ่งวุ่นไปจนทั่ว ด้วยมิคิดว่าโลกภายนอกนั้นสวยงามมากจริงๆ หวงเกาเทียนยิ้มจางๆและเอนกายลงนอนกับผืนดินผู้อื่นก็มิต่างกัน ยามเสี่ยวโซ่ววิ่งจนเหนื่อย นางก็เผลอหลับไปในที่สุด ร่างหนาอุ้มนางขึ้นม้าและกอดรัดนางไว้ในอกตนไปตลอดทาง ตื่นมาอีกคราเสี่ยวโซ่วก็หน้าแดง ที่มาถึงจุดพักแห่งถัดไปแล้ว ยามได้พักม้าเล็กน้อย ขบวนทหารก็ควบม้าเร็วต่อไปอีก วิ่งรวดเร็วจนฝุ่นตลบจนมาถึงค่ายทหารที่เมืองลั่ว หานไท่เวยจึงได้พบกับครอบครัวและบุตรชายของตนเอง ทั้งหมดโผกอดกันแน่นด้วยความดีใจ หานฝุเหรินในชุดบุรุษคารวะหานไท่เวย และให้หานไท่เวยชมบุตรที่หลงมาอีกคนหนึ่งในยามชราแล้ว หานไท่เวยหัวเราะร่า และอุ้มมากอดมาหอม โอ้อวดคนไปทั่วทั้งกองทัพเลย แล้วราตรีนั้นหานไท่เวยก็มิดื่มสุราเฉกเช่นเคย แต่กลับสนใจแต่อุ้มทารกเดินไปมาและหยอกล้อบุตรคนเล็กของตนเองอย่างสนุกสนาน เสี่ยวโซ่วตาโตเสมือนเห็นผี นางคิดว่าหานไท่เวยผู้นี้ยิ้มมิเป็นเสียอีกนะ ผู้คนมองนางแล้วก็หัวเราะนางกันทั้งสิ้น ในท่าทางแปลกพิลึกของนาง “เสี่ยวโซ่วมานั่งนี่เถิด อย่าได้เดินไปทั่ว ยามนี้ผู้คนมากนักทั้งยังมีข้าทาสจากฉีอันอยู่มิน้อย อย่าห่างกายข้า หากว่าเกิดสิ่งใดขึ้นมา ข้าจะได้ช่วยเจ้าได้ทันอย่างไรเล่า” เสี่ยวโซ่วพยักหน้าหงึกๆ นางถอนหายใจออกมาเบาๆ และมานั่งพิงอกแกร่งกอดรัดบุรุษคลายหนาวไปเสียเลย นางมุดในเสื้อคลุมผืนโตใต้รักแร้อุ่นๆ และโผล่หัวออกมาน้อยๆ มองหลุกหลิกไปมาและเงยหน้าขึ้นไปมองผืนฟ้าในคราหนึ่ง ก่อนจะร้องอย่างชอบใจขึ้นมา “ฮร้า หวงต้าเกอท่านดูซิ ที่นี่นั้นดวงจันทร์สวยงามกว่าที่ข้าเคยมองตั้งมากมาย ทั้งยังมีหมู่ดวงดาวเกลื่อนฟ้า คล้ายว่าข้านั้นจะได้คว้ามันเอาไว้ในมือเสียแล้วเจ้าค่ะ” ได้ฟังเช่นนั้นทุกผู้คนรายรอบต่างหัวเราะลั่น ทั้งหมดนั้นนั่งเอนกายมองท้องฟ้า และแย้มรอยยิ้มขึ้นมาพลัน “นั่นซินะ ที่นี่นั้นคล้ายอยู่ใกล้ดวงดาวเสียจริง สงครามจบสิ้นแล้ว พวกเราจะได้กลับเรือนแล้ว แม้ว่าจะยังมิรู้อนาคตใดๆในภายหน้า แต่อย่างน้อยในวันนี้ ข้าผู้นี้ก็ได้มาชมดวงดาวกับสหายเดนตายจากสงครามแล้ว ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ท่านลุงฉู่หัวเราะขึ้นมา และหรี่ตามองไปยังเสี่ยวโซ่วแกมล้อเลียนเบาๆ นางยิ้มตอบกลับไปและมุดหัวลงไปในเสื้อคลุมของบุรุษด้วยความหนาว หวงเกาเทียนหัวเราะหึ หึ และยกแขนกอดนางหนีบไว้ในอกตนจนแน่น “กลับถึงเมืองหลวง ข้าจะหาชุดเจ้าสาวที่สวยที่สุดมาให้เจ้า สิ่งที่ดีที่สุดในยามนี้คืองานมงคล หากว่าเราแต่งงานกันแล้ว ต่อไปย่อมมีแต่เรื่องดีๆเกิดขึ้นมาแน่ๆ” ฟังหวงเกาเทียนซื่อจื่อเอ่ยขึ้นมาเช่นนั้น ทุกผู้คนก็เป่าปากลั่นหัวเราะขึ้นมากันทั้งสิ้น เสี่ยวโซ่วร้อนไปทั้งหน้า นางแก้มแดงไปหมดแล้วในยามนี้
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD