ตอนที่ 1 ชื่อตอน เสี่ยวโซ่ว
เสี่ยวโซ่วเป็นขอทานน้อยในเมืองฝูหลิง ที่ใกล้กับเขตชายแดน ยามเมืองฝูหลิงเป็นทางผ่านที่กองทัพจะส่งกองหนุนออกไปทางอู่ตง ในเมืองฝูหลิงจึงมีค่ายทัพมาพักแรมอยู่เพื่อรอคอยการเคลื่อนกำลังเสริม เสี่ยวโซ่วนางมักจะขอทานอยู่ใกล้ๆกับกองทัพ ยามที่เหล่าทหารนั้นได้รับอาหารอย่างดี ก็แบ่งปันลงมาให้นางอยู่เสมอ นายกองผู้หนึ่งนามว่า นายกองชุนมักจะเทข้าวและน่องไก่ให้นางและนั่งมองนางกินข้าวอยู่เสมอ ร่างใหญ่โตยิ้มให้นางและลูบหัวของนางเบาๆ
“เสี่ยวโซ่วเจ้าหน่ะมิมีที่ไปหรือ เมืองนี้เป็นทางผ่านของสงคราม หากว่าเมืองนี้แตกข้าศึกจะเข้ามายึดเมืองนี้และทารุณเจ้า พวกเราเป็นกองหนุนจึงได้มาอยู่ในเมืองนี้ หากว่ากองทหารของเราต้องเคลื่อนไปแล้วเมืองนี้อาจมิมีหวังก็เป็นได้ ข้าเห็นเจ้าแล้วคิดถึงบุตรสาวที่หายไปนัก นางถูกลักพาไปตั้งแต่เกิด หากโตแล้วนางลำบากเช่นเจ้า คงตัวเล็กๆเท่านี้เป็นแน่ ข้าจึงมิอยากให้เจ้าตายหรือถูกทารุณ เจ้าอพยพไปขอทานที่เมืองถัดไปก่อนมิได้หรือเสี่ยวโซ่ว”
นายกองชุนทำดวงตารื้นๆใส่ แต่เสี่ยวโซ่วกัดน่องไก่กระชากอย่างเอร็ดอร่อย และยกมือตีอกของนางเองขึ้นมา และชูกำปั้นขึ้นอย่างคนกล้าขึ้นมาทันใด หัวเราะยกยิ้มร่าเริง
“ข้าหน่ะติดหนี้น่องไก่ของพวกท่านอยู่ทุกวัน ตั้งแต่พวกท่านมาที่นี่ข้ามีกินอิ่มทุกมื้อ พวกท่านเป็นนักรบป้องกันเมืองหากว่าเมืองนี้แตก ก็แปลว่าพวกท่านก็ตายไปแล้วเฉกเช่นกัน ท่านมิหนีทั้งยังออกไปรบกัน ขอทานน้อยเช่นข้าจะหนีทำไมกัน ตายก็แค่ตายข้าเป็นขอทานน้อยผู้หนึ่งมิใช่สาวงาม ทหารเลวทั้งหลายจะมาสนใจมากมายอันใดกัน หรือหากว่าความหวังสุดท้ายนั้นมีอยู่ ท่านใช้ข้าจุดพลุ ตีกลองศึก โบกธงหรือช่วยเปิดประตูเมืองก็ยังได้”
เหล่าทหารเลวฟังนางแล้วถูกใจหัวเราะลั่นกันขึ้นมา ชายชราหน้าบากผู้หนึ่งถึงกับยื่นหน้าไม้ให้นางอันหนึ่ง และสอนนางยิงหน้าไม้อย่างจริงจัง ก่อนจะมีคนให้แส้ และอาวุธลับมากมาย
“เจ้าหน่ะยังเล็ก หากว่าเมืองนี้แตกคงมิมีเสบียงใดๆให้อยู่รอดแน่ หลังจากมิมีผู้ใดอยู่คงมีหนทางเดียวคือล่าสัตว์เล็กหรือล่านก ล่าหนูกินไป คงมิมีน่องไก่ตุ่นน้ำแกงเช่นนี้แล้ว เช่นนี้มานี่เถิด ข้าจะสอนเจ้าใช้หน้าไม้ และสอนหลบซ่อนกายในพุ่มไม้ ยามที่จวนตัวต่อไปจะได้มีหนทางรอดบ้างนะ เจ้าขอทานน้อย”
ท่านลุงทหารหน้าบาก นามว่าท่านลุงฉู ขยับมาสอนเสี่ยวโซ่วให้ดักซุ่มมองคน และสอนคลานให้ไร้เสียงเช่นทหารพลธนู และสอนนางยิงหน้าไม้ให้แม่นยำ ทั้งยังสอนให้ขี่ลูกม้าตัวน้อยที่คลอดในกองทัพ และมอบให้เสี่ยวโซ่วไปเพราะในเมืองนี้ผู้คนอพยพไปหมดแล้ว อย่างไรนางก็ต้องใช้มัน ยามได้หน้าไม้มาใหม่ๆ คนว่างงานเช่นขอทานน้อยก็ขึ้นไปยิงหนูบนป้อมกำแพงเมืองให้นายกองชุน จนฝีมือของเสี่ยวโซ่วนั้นพัฒนาขึ้นในเจ็ดวัน นางยิงนกอินทรีย์ของข้าศึกตกลงมาได้ และนำไปให้นายกองชุน เหล่าทหารตื่นตกใจยามเมื่อได้อ่านสาส์นนั้น และเร่งเป่าแตรยกพลเคลื่อนทัพอย่างเร่งรีบจนฟ้าสะเทือน นายกองชุนเร่งสวมชุดเกราะ เสี่ยวโซ่วนั้นเกิดห่วงใยขึ้นมา นางวิ่งไปหานายกองชุนและช่วยสวมรองเท้าให้ นางร้องไห้ขึ้นมายามได้ยินเสียงกลองศึก และเสียงเป่าแตรดังจนฟ้าสะเทือน
“นายกองชุนท่านต้องกลับมานะ หากท่านกลับมา ให้ข้าล้างถังปลดทุกข์ของท่านข้าก็จะทำให้ ขออย่างเดียวพวกท่านห้ามตายนะ มิว่าอย่างไรท่านต้องกลับมาที่เมืองนี้ มิมีพวกท่านอยู่ข้าก็มิมีน่องไก่กินแล้ว มีมีคนคุยกับข้า ในโลกนี้มีเพียงพวกท่านที่ดีกับข้ามาก ขออย่างเดียวอย่าตายนะนายกองชุน”
นายกองชุนหัวเราะฮ่า ฮ่า และนึกขึ้นได้จึงถอดสร้อยประจำกายตนเองมอบให้นาง เป็นแหวนสลักคำว่าชุน และแย้มรอยยิ้มขึ้นมาพลัน
“เจ้าเก็บสิ่งนี้ไว้ถ้าข้ารอดมาได้ ข้าจะนำเจ้ากลับไปให้ฝุเหรินของข้าดู นางนั้นคิดถึงบุตรสาวของเราอยู่ตลอด แต่ถ้ามิมีกองทหารกลับมาและมีเสียงเป่าแตรดังเป็นเสียงคล้ายนกขมิ้น จงเร่งทิ้งเมืองนี้ไป โดยใช้ลูกม้าตัวนั้นแล้วตรงไปตามแผนที่นี้ จะมีค่ายทัพอยู่อีก บอกว่านายกองชุนฝากนำเจ้าไปหาชุนฝุเหรินด้วย เข้าใจหรือไม่ เสี่ยวโซ่ว”
“ไม่ ข้าจะมิไปที่ใดจะรอพวกท่านที่นี่ ข้าถูกทิ้งที่เมืองนี้ ที่นี่คือบ้านของข้า ป้อมกำแพงนี้ข้าจะปกป้องมัน”
นายกองชุนหัวเราะฮ่าๆ และเจ็บในใจตน เพราะว่าทหารกองหนุนแม้จะมีมาก แต่ข้าศึกนั้นลวงทหารมากมายไปตายที่อื่นแล้ว กองของพวกตนก็ต้องไปช่วยองค์รัชทายาทและบุตรของขุนนางที่ถูกปล้นไปจากขบวนอย่างเป็นความลับ ยามคิดสิ่งใดมิออก จึงหันมองไปที่เจ้าตัวน้อยและดึงนางขึ้นไปบนหลังม้า พานางไปที่บนป้อมกำแพงและสอนนางใช้คันกลไกที่จะเปิดประตูเมือง มันเป็นคันโยกเล็กๆที่เด็กก็โยกได้ ฟันเฟืองตัวหนึ่งจะไปหมุนอีกตัวหนึ่ง หมุนไปมาจนประตูเมืองเปิดปิดได้ นายกองชุนยิ้มให้เด็กน้อยเบาๆ และกอดรัดนางในอกอีกคราหนึ่ง แย้มรอยยิ้มขึ้นมา
“ข้าต้องไปแล้วเจ้าเด็กน้อย ต่อไปป้อมนี้จะมีเพียงคนเจ็บหรือคนตายที่ถอยเข้ามา หรือหากมิมีผู้ใดมาแล้วเจ้าจำสิ่งที่ข้าบอกให้ดี หากมีเสียงเป่าแตรคล้ายนกขมิ้น เร่งควบม้าน้อยๆออกไปเสีย เมืองนี้จะถูกโจมตีอย่างรุนแรง และมิมีกองทัพหลิงเทียนอีกต่อไป ชาวฉีอันจะบุกรุกเข้ามาและทำลายประตูเมืองนี้ลงไป เจ้ามิควรอยู่ที่นี่เข้าใจหรือไม่”
เด็กน้อยยิ้มร่าและส่ายหัวอย่างดื้อรั้นขึ้นมาทันที
“ฮ่า ฮ่า ข้าเปิดและปิดประตูเมืองได้ ข้าจะรอเปิดประตูเมืองให้ชาวแคว้นหลิง และปิดประตูเมืองยิงก้นชาวฉีอันให้จงได้ ท่านมิต้องห่วงมิต้องห่วง ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
นานกองชุนถอนหายใจออกมาเบา ๆ และฟัดแก้มของขอทานน้อย ที่บวมขึ้นเพราะมีทหารให้น่องไก่ขุนนางมาเป็นอย่างดีมาตลอดหลายวัน นายกองชุนคล้ายมีกำลังใจในการมีชีวิตขึ้นมา วางนางให้นั่งกอดเสาธงบนกำแพงป้อม และชักม้าลงไปจากป้อม นำขบวนไปออกรบทันที มีสาวน้อยโบกมืออยู่บนกำแพงป้อม เอ่ยอวยพรกองทัพหลิงเทียนเสียงดังลั่น
“แคว้นหลิงจะต้องมีชัยชนะ แคว้นหลิงจะต้องมีชัยชนะ”
ทหารทั้งกองเฮลั่นตอบรับนางในทันที แม่ทัพนายกองทั้งหลายชูดาบขึ้นและตะโกนตามนางในทันที
“แคว้นหลิงจะต้องมีชัยชนะ ปกป้องแผ่นดินของเราให้จงได้ เฮ”
เสียงม้าศึกวิ่งออกไปจนฟ้าสะเทือน ในเมืองมีเพียงทหารยามหยิบมือหนึ่ง กับชายสองคนที่วุ่นอยู่กับกลไกกับดักบนประตูเมือง เสี่ยวโซ่วสนใจจึงเดินไปหาชายสองคนนั้น และไต่ถามในทันใด