คล้ายได้ยินเสียงลมหายใจหอบสั่นเล็ดลอดออกมาจากเรือนพักชั้นใน คนยืนเฝ้าประตูด้านนอกอย่างมู่ห้าวชงพลันขยับเท้าห่างไปอีกหลายก้าว จนกระทั่งไม่ได้ยินเสียงผิดปกติใดอีกถึงได้เอาแต่เงยหน้ามองท้องฟ้าดำมืด ปรายตาไปยังด้านข้างก็เห็นสาวใช้ของพระชายากำลังก้มหน้างุด ดวงตาของแม่นางผู้นี้ไม่ได้ละไปจากพื้นดินตรงหน้าเลย ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วแม่นางเป่าหลิงกำลังครุ่นคิดหรือรู้สึกเช่นไรกันแน่ แต่ดูเหมือนค่ำคืนนี้สำหรับเขาและนางคงเรียกได้ว่ายืนยาว
คนเฝ้าด้านนอกรู้สึกอึดอัด พูดไม่ออกเพียงนั้น แต่สภาพของคนในห้องหับชั้นในแตกต่างยิ่งนัก โดยเฉพาะเสียงลมหายใจคล้ายจะหอบสะท้านรุนแรงมากกว่าที่คนด้านนอกได้ยินหลายสิบเท่า
เพราะหลังจากเห็นเรือนร่างเปล่าเปลือยของคนงาม อู่ซีเจิ้งก็แทบรั้งรอไม่ไหว
เขากระโจนเข้าหา ขบบ่าข้างหนึ่งของนางอย่างมันเขี้ยว สิ่งที่ก้องอยู่ในหูคือเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บและตกใจในคราแรก แต่ในยามที่องค์ชายห้าเปลี่ยนจากการขบกัดเป็นไล้เลีย ใบหน้าเล็กเท่าฝ่ามือพลันแดงซ่านและสิ่งที่นางเปล่งเสียงออกมาหลังจากนั้นหาใช่การกรีดร้องแต่เป็นเสียงลมหายใจหอบสั่นที่เกิดจากความเสียวซ่าน
ทั้งๆ ที่คิดไว้ว่าสัมพันธ์ทางกายของเขาและนางในค่ำคืนนี้คงเป็นเพียงการจำยอมที่ไร้อารมณ์
เหมือนก้อนไม้ทุบลงบนโขดหิน แม้หินจะเจ็บแต่ไม่มีทางแตกสลายลงง่ายๆ ทว่าเพียงถูกเขากระโจนเข้าหาด้วยปากและมือ เฉินหว่านอิงที่คิดว่าจะตั้งตนเป็นดังก้อนหินกลับรู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งเนื้อทั้งตัว
นางคล้ายเป็นหินที่ถูกหลอมละลายด้วยเปลวไฟร้อนแรง แผดเผาเสียจนร่างกายตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอาบไปด้วยเม็ดเหงื่อ ความรู้สึกเช่นนี้แม้จะทรมานอยู่บ้างแต่กลับไม่อาจห้ามใจมิให้ดำดิ่งลงไป
โดยเฉพาะในยามที่ฝ่ามือร้อนผ่าวของเขาลูบคลึงทั่วกายบาง แผ่นหลังบ้าง หน้าท้องบ้าง ที่น่าตื่นตะลึงคือนางไม่รู้สึกรังเกียจสัมผัสของบุรุษผู้นี้เลยแม้แต่น้อย ราวกับยอมรับและเต็มใจให้เขาสัมผัสทั้งตัว
เฉินหว่านอิงเงยหน้าขึ้นในยามที่อู่ซีเจิ้งหันมาลากลิ้นตามลำคอ การรุกล้ำของเขาไม่ได้รีบร้อนครอบครองนางในจุดบอบบางแต่กลับค่อยๆ สัมผัสเรือนร่างเล็กบางด้วยมือและปลายลิ้น
ความรู้สึกวาบหวามค่อยๆ ลามเลียร่างกายของนางช้าๆ แต่ทุกๆ จังหวะจะโคนที่องค์ชายผู้นี้แตะต้องร่างกายล้วนชวนเสียวซ่านยิ่งนัก โดยเฉพาะในยามที่ปากหยักอุ่นร้อนครอบครองหน้าอกกลมโตทั้งสองข้าง ปากที่แนบสนิทกับลิ้นที่ลูบไล้หน้าอกกลมโต ไม่ว่าจะปาดไล้คราวใดล้วนทำให้นางต้องขบปากกลั้นเสียงครางกระเส่าเอาไว้
แต่ถึงกระนั้นก็ยังหลุดเรียกเขาออกมาคำหนึ่ง “องค์ชาย”
อู่ซีเจิ้งละปากจากเนินอกนุ่มของคนในอ้อมแขน สั่งการด้วยเสียงทุ้มที่ชวนลุ่มหลงนัก “เรียกข้าว่าซีเจิ้งเถิด”
คำสั่งนี้ทำเอาเฉินหว่านอิงนิ่งงันอยู่บ้างแต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่ยอมเรียกออกมาแม้แต่คำเดียว ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าองค์ชายห้าจึงเป็นภาพหญิงงามเม้มปากอิ่มเรื่อเสียจนแทบบวมช้ำ
เขาเงยหน้าขึ้น ดวงตาสีดำล้ำลึกราวกับบ่อน้ำไร้ก้นนั้นจับจ้องใบหน้าที่อาบไปด้วยเหงื่อพลางขยับปลายนิ้วไร้ริมฝีปากนุ่มชื้นที่ถูกขบกัดจนแดงเรื่อ
“ถึงแม้ไม่อยากเรียกชื่อข้า แต่เจ้ามิควรทำร้ายปากตัวเองเช่นนี้”
เฉินหว่านอิงส่ายหน้า อยากจะโพล่งออกมาเหลือเกินว่านางไม่อาจเรียกเขาอย่างสนิทสนม เพราะตั้งใจไว้ว่าความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นเป็นเพียงการร่วมมือระหว่างมิตรสหาย หาใช่เกิดจากความรู้สึกที่แท้จริงของนางกับเขาแม้แต่น้อย
ในเมื่อภายภาคหน้าไม่อาจรักใคร่กลมเกลียว อยู่ร่วมกันเฉกเช่นสามีภรรยาชาวบ้าน การแสดงท่าทางห่างเหินเช่นนี้มิใช่เป็นเรื่องสมควรหรอกหรือ
เขาไม่คิดจะมอบความรักให้ ก็อย่าถลำลึกจนต้องเจ็บทั้งใจทั้งกายดีกว่า
“องค์ชายทรงทำต่อเถิด” ข่มอารมณ์เอ่ยปากออกมา
“เจ้าต้องการหรือ”
“ต้องการเพคะ”
ตอบเช่นนั้นเพราะปรารถนาให้สิ่งที่ทำร่วมกันจบสิ้นอย่างรวดเร็วเสียที แต่ดูเหมือนองค์ชายห้าแห่งแคว้นเหลียงผู้นี้จะไร้ความเมตตาต่อสตรีบอบบางอย่างนางยิ่งนัก
เพียงชั่วลมหายใจ ปากอุ่นร้อนของพระองค์พลันโน้มเข้ามาใกล้ริมฝีปากบางเรื่อจนได้ยินเสียงลมหายใจกระเส่าของเขาชัดเจน และหลังจากนั้นก็ถูกลิ้นของเขาแทะเล็มลากไล้ไปตามกลีบปากนุ่มทั้งบนและล่าง
การขบเม้มนี้มาพร้อมกับการฝ่ามือของเขาเคล้นคลึงไปตามแผ่นหลัง
ยิ่งแรงดึงดูดจากปากมีมากเท่าไหร่ ร่างเล็กบางของนางก็ยิ่งถูกเขาดึงรั้งเข้าหาแนบชิดจนไร้ช่องว่าง
เฉินหว่านอิงทำได้เพียงครางอื้ออึงประท้วงในคราวแรก หลังจากลิ้นถูกดูดกลืนเกี่ยวพันเรี่ยวแรงต่อต้านพลันถดถอยลงแล้วแปรเปลี่ยนเป็นการตอบสนองต่อทุกสัมผัสของเขาอย่างยินยอม
เมื่อองค์ชายละปากไปดูดยอดทรวง นางทำได้เพียงแอ่นหยัดเข้าหา ให้ปากและลิ้นร้อนๆ นั้นพันเกี่ยวกับอกสล้างทั้งสองข้าง หนำซ้ำยังเรียกร้องให้องค์ชายปลดปล่อยออกจากห้วงความทรมานเสียที
“องค์ชาย ได้โปรด...” เสียงหวานพร่าร่ำร้องออกมา
เขามองอยู่ชั่วกะพริบตาจึงลากฝ่ามือลงด้านล่าง สัมผัสหน้าท้องเล็กบางไม่ถึงอึดใจก็ขยับฝ่ามือลง
มือหนาใหญ่ขององค์ชายห้าที่วางอยู่กับต้นขานั้นชวนให้ร่างกายของเฉินหว่านอิงสั่นเทายิ่งนัก และนางตระหนักรู้ทันทีเลยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้าเป็นเพียงเรื่องธรรมดาเมื่อเทียบเท่ากับสัมผัสของเขายามนี้
มือข้างนั้นมิเพียงลูบไล้หน้าขา แต่ยังบังคับให้เรียวขาของนางแยกออกจากกัน
พอวางทาบระหว่างขาทั้งสองข้าง แม้เพียงชั่วขณะเดียวก็ทำเอานางขยับหนี แต่น่าเสียดายที่เพียงคิดดิ้นรนปลายนิ้วจากมือข้างนั้นก็กดคลึงลงบนจุดบอบบางกลางเรือนร่างเสียแล้ว
ทำได้เพียงร้องประท้วง แต่เสียงของนางไม่ต่างจากแรงดึงดูดเชิญชวนให้เขารุกล้ำมากขึ้น
องค์ชายกดนิ้วคลึงลงไปพร้อมกับบังคับให้นอนราบ ยังไม่ทันขัดขืนพระองค์ก็ลดใบหน้าลงต่ำเสียแล้ว
เฉินหว่านอิงได้ยินเสียงร้องครางกระเส่าของตนในยามที่ตรงนั้นของร่างกายถูกรุกล้ำด้วยปลายนิ้ว
ความรู้สึกเจ็บ ไม่สบายตัวในคราวแรกหายไปทันทีที่ถูกสัมผัสด้วยปลายลิ้น
นางไม่เจ็บ ไม่อึดอัด แต่กลับรู้สึกชื่นชอบสัมผัสของเขายิ่งนัก ดังนั้นจึงได้แต่ตอบสนองด้วยการเรียกร้องมากขึ้น
“องค์ชาย...องค์ชายเพคะ”
“หว่านอิงเรียกข้าว่าซีเจิ้งเถิด” เขายังละปากละปลายลิ้นตอบคำ
น่าเสียดายที่คุณหนูสามตระกูลเฉินดื้อรั้น นางเอาแต่ส่ายหน้าไม่ยอมเรียกพระองค์ด้วยพระนามนั้น
แน่นอนว่าเฉินหว่านอิงต้องยอมรับโทษทัณฑ์จากการต่อต้าน
ไม่ถึงครึ่งถ้วยชาหลังจากนั้น อู่ซีเจิ้งพลันดันร่างกายสูงใหญ่ขึ้น ดวงตาคมกล้าจ้องใบหน้างดงามของเฉินหว่านอิงเพียงเล็กน้อยถึงได้ใช้มือจับขาข้างหนึ่งของนางขึ้น
เขาค่อยๆ ดันตัวตนแข็งแกร่งเข้าหา
และปิดเสียงกรีดร้องของนางด้วยปากและลิ้นของตน
เดิมทีเขาอยากนุ่มนวลกับนางมากกว่านี้ แต่น่าเสียดายที่คุณหนูสามตระกูลเฉินดื้อรั้นจนเกินไป นางจึงต้องรับความเจ็บปวดจากโทษทัณฑ์ครั้งนี้
การถูกกายแกร่งกระโจนจ้วงเข้าหาแม้จะชวนเจ็บปวดจนเจียนขาดใจ แต่พอปากและลิ้นถูกดูดดึงอีกคราเฉินหว่านอิงก็รู้สึกว่านางไม่ได้เจ็บปวดถึงเพียงนั้น
ก็แค่รู้สึกไม่คุ้นเคย แต่พอผ่านพ้นไปชั่วขณะหนึ่งทุกอย่างพลันเริ่มดีขึ้น
นางไม่เจ็บปวด แต่รู้สึกเสียวซ่าน ร่างกายคล้ายถูกห้อมล้อมด้วยความร้อนและความหนาวเหน็บในคราวเดียวกัน แน่นอนว่าลึกๆ ในใจไม่ได้รังเกียจสัมผัสนี้ และลึกๆ อาจจะชอบการถูกผู้เป็นสามีสัมผัสด้วยซ้ำ
แรงกระโจนจ้วงเบาบ้างหนักบ้างมาพร้อมกับเสียงทุ้มหอบสั่นช่างเป็นช่วงเวลาที่น่าลุ่มหลงยิ่งนัก
นางพลั้งเผลอใจเผลอกายจนถึงขั้นตอบสนองด้วยการแนบปากแนบจมูกกับลำคอของเขา
ปล่อยทั้งเสียงร้องครวญและเสียงลมหายใจ แน่นอนว่าการสัมผัสนี้นางได้กลิ่นเหงื่อจากร่างกายของเขา
บุรุษผู้นี้ช่างดึงดูดนางยิ่งนัก ดึงดูดเสียจนไม่อาจหักห้ามมือทั้งสองข้างเอาไว้ได้ และเพียงได้ลูบคลำ เฉินหว่านอิ่งก็ไม่อาจห้ามมือห้ามปากของตนได้อีก
นางสัมผัสเขาเฉกเช่นที่ถูกเขาสัมผัส มือบางทั้งสองข้างลูบไล้ไปตามแผ่นหลัง ส่ายสะเปะสะปะจนถ้วนทั่ว และในยามที่เขาโถมตัวเข้าหารุนแรงพลันอ้าปากและกัดลงบนบ่าข้างหนึ่งบ้าง
ดูเหมือนอู่ซีเจิ้งจะเจ็บ แต่กลับไม่ยอมปล่อยร่างเล็กบางออกห่าง เขาทำเพียงจับร่างกายของนางพลิกให้แผ่นหลังเปล่าเปลือยอยู่ตรงหน้า
และหลังจากนั้นก็กลับเข้ามาหานางอีกครั้ง การสัมผัสครั้งนี้แนบแน่นไร้ช่องว่าง
มิเพียงตรงนั้นแต่ร่างกายส่วนหน้าก็ยังแนบติดกับแผ่นหลังนาง ปากที่เคยจูบตามหน้าอกหันมาขบกัดหลังใบหู
ความซ่านเสียวที่ไม่เคยพานพบแล่นพล่านไปทั่วร่าง
เสียงกระทบกระแทกดังเนิ่นนาน เหงื่อจากใบหน้าและเรือนร่างร่วงหล่นเปื้อนบนที่นอน
หนึ่งหยด สองหยด ไม่นานก็เปียกชื้น แต่องค์ชายผู้นี้เขามีพละกำลังมากล้นยิ่งนัก
ผ่านไปนับครึ่งชั่วยามร่างกายของนางก็ยังโก้งโค้งอยู่ตรงหน้าเขา เสียงกระแทก เสียงลมหายใจเหนื่อยเหน็ดยังดังขึ้นต่อเนื่อง
มองไปตรงผนังห้องเห็นเพียงเงาร่างสองสายที่ถอยห่างและขยับเข้าหากัน จนกระทั่งแสงเทียนในห้องเริ่มอ่อนแสงถึงมองไม่เห็นภาพใดอีก ทว่าแม้จะไร้ภาพแต่เสียงครวญครางก็คงดังต่อเนื่อง
และแน่นอนไม่มีผู้ใดรู้ว่าเสียงนี้จะสิ้นสุดลงเมื่อใด อาจเป็นยามที่เฉินหว่านอิงหลับไปแล้ว หรือไม่ก็เป็นยามที่อู่ซีเจิ้งปลดปล่อยความต้องการดิบเถื่อนของตนเป็นครั้งที่สองที่สามก็เป็นได้
เรื่องราวที่เกิดในห้องหับชั้นในจะสิ้นสุดยามใดนั้นคงมีเพียงองค์ชายห้าที่รู้ดีที่สุดกระมัง
และดูเหมือนว่า องค์ชายผู้นี้มีความปรารถนาหนึ่ง นั่นคือ ไม่อยากให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับนางจบลงเพียงครั้งนี้เป็นแน่ เพราะก่อนจะปิดพระเนตรลง พระองค์ยังรั้งร่างเล็กบางของเฉินหว่านอิงเข้าหา ปากและจมูกแนบกับแก้มคนงามจนกระทั่งทนต่อความเหนื่อยเพลียไม่ไหวถึงได้หลับไป ทว่าช่วงเช้าก็ยังมีเสียงหอบกระเส่าแว่วออกมาอีกครั้งอยู่ดี