ในเมื่อรู้แล้วว่าเส้นทางนับจากนี้ต้องเดินเช่นไร
เฉินหว่านอิงปล่อยให้องค์ชายห้าแห่งแคว้นเหลียงทำลายบ่อปลากับแปลงปลูกผักไปจนหมดสิ้น เมื่อไม่เหลือสิ่งใดให้เสียดายอีกจึงพาคนสนิทกลับเรือนพักแล้วใช้ช่วงเวลาเหล่านั้นทบทวนสิ่งที่ตนต้องกระทำเงียบๆ กระทั่งมองเห็นแววตารื้นแดงของเป่าหลิงถึงได้ดึงมายืนตรงหน้า มือข้างหนึ่งเช็ดน้ำตาบนแก้มให้อย่างอ่อนโยน
“เสี่ยวหลิงอย่าเสียใจไปเลย ภายภาคหน้าข้าจะให้คนผู้นั้นชดใช้ในสิ่งที่ทำลงไป”
เป่าหลิงปาดน้ำตาทิ้งลวกๆ “บ่าวเพียงแค่เสียดายปลา หากนำไปขายให้ยายสี่คงได้เงินอีกหลายตำลึง อีกอย่างแม่ไก่เหล่านั้นเพิ่งออกไข่ได้ไม่กี่สิบใบเอง”
“องค์ชายให้ทองมาก้อนหนึ่ง ถือว่าเป็นค่าชดใช้รายได้ที่สูญเสียไปก็แล้วกัน”
แม้ทองคำจะมีมูลค่ามาก สามารถซื้อเรือนพักดีๆ ได้ แต่เสี่ยวหลิงยังรู้สึกว่าการได้ค้าขายทำอะไรด้วยตนเองกลับมีความสุขมากกว่า
อีกอย่างคุณหนูเองก็คงรู้สึกแบบนั้น หาไม่คงละทิ้งการเลี้ยงปลาเลี้ยงไก่ไปนานแล้ว ทว่าเมื่อนึกถึงฐานะของคุณหนูก็รู้ว่าการกระทำที่แล้วมาล้วนไม่เหมาะสม หากมีข่าวลือแพร่ออกไปว่าพระชายาเอกขององค์ชายห้าทำตัวเป็นหญิงชาวบ้าน ไม่รู้จะถูกผู้คนด้านนอกวิพากษ์วิจารณ์เช่นไร คิดได้แบบนั้นก็รีบข่มความรู้สึกเอาไว้
“ยามนี้ไม่มีปลามีไก่ให้เลี้ยง ต่อไปคุณหนูจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ”
คนต้องตอบคำทอดสายตามองออกไปด้านนอก แม้มุมปากจะยกยิ้มแต่แววตากลับหมองหม่นนัก “มิใช่ว่าข้าคือพระชายาเอกขององค์ชายห้าหรอกหรือ สิ่งที่ต้องทำนับจากนี้คงมีเพียงทำหน้าที่ของตนให้ดี”
“คุณหนูหมายถึง?”
“เสี่ยวหลิง...ทั้งเจ้าและข้า คงไม่อาจใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้อีกแล้ว”
“คุณหนู”
ยามหมุนกายมาเผชิญหน้ากับสาวใช้คนสนิทอีกครั้ง สีหน้าแววตาของคุณหนูสามตระกูลเฉินช่างเรียบเฉยนัก ท่าทีเช่นนี้ทำเอาเป่าหลิงต้องกัดปากสั่นระริกไว้แน่น
“คุณหนู เราหนีออกจากที่นี่ดีหรือไม่” จู่ๆ ก็ฉุกคิดขึ้นมา
“เราสองคนจะหนีไปไหนได้เล่า”
“แผ่นดินกว้างใหญ่ คงมีสักแห่งที่เราสามารถพักอาศัยได้”
“ถ้าข้าหนีไปจากฐานะนี้ ท่านพ่อท่านแม่ ท่านลุงกับท่านป้าที่อยู่แคว้นหาน...จะเป็นอย่างไร” เฉินหว่านอิงฝืนยิ้ม มองห้องหับเรียบง่ายที่ตนพำนักมาหนึ่งปีกว่าด้วยตาแดงๆ “เตรียมทุกอย่างให้พร้อมเถิด”
“คุณหนู”
ได้ยินเสียงสั่นเครือของสาวใช้พลันรีบบีบมือข้างหนึ่งไว้แน่น หลังจากนั้นจึงหมุนกลับไปเอนกายนอนบนตั่งตัวยาว เปิดตำราหน้าหนึ่งได้ก็ปล่อยให้ทุกความรู้สึกจมลึกเข้าไปในนั้น ละสายตาอีกครั้งก็ถึงเวลาต้องอาบน้ำล้างเนื้อตัวเพื่อทำหน้าที่ พระชายาเอก เมื่อร่างกายเปล่าเปลือยอยู่ในถังน้ำเฉินหว่านอิงตระหนักรู้แล้วว่า ทุกความฝัน ทุกความรู้สึกของตนได้ถูกชะล้างไปจนหมดสิ้น
ดูเหมือนวันนี้จะเป็นวันแรกที่นางละทิ้งฐานะของคุณหนูสามแห่งตระกูลเฉินก้าวเข้าสู่ตำแหน่งพระชายาเอกขององค์ชายห้าแห่งแคว้นเหลียงอย่างแท้จริง
ย่างเข้ายามซวีสองเค่อ เรือนพำนักชั้นในคล้ายวางเชิงเทียนไว้ในห้องเพียงจุดเดียวเท่านั้น
เพราะที่นี่คือตำหนักพำนักนอกเมือง สถานที่ห่างไกลร้างไร้ผู้คนพำนักอาศัยมาหลายปี แม้การมาเยือนขององค์ชายห้าจะทำให้โคมตามทางเดินต่างๆ ถูกจุดมากขึ้น แต่ไม่ได้มากเทียบเท่ากับจวนจิ้นฝูในเมืองหลวง มองไปถ้วนทั่วเรือนกี่ครั้งก็ยังเห็นความมืดมิดปกคลุมอยู่ ไม่ได้ดูแตกต่างจากวันวานเท่าใดนัก ที่แตกต่างคงมีเพียงเจ้าของร่างบอบบางราวกับกิ่งหลิวผู้นั้น แต่เดิมนางยิ้มแย้มแววตาที่มองรอบตำหนักลืมเลือนคล้ายมีความสุขอยู่บ้าง ทว่ายามนี้กลับเหลือเพียงความราบเรียบ หาได้หลงเหลือความรู้สึกในกาลก่อนแม้แต่น้อย
เสียงฝีเท้าแผ่วเบาเล็ดลอดเข้าสู่ด้านใน ยิ่งทำให้แววตากับสีหน้าของหญิงงามผู้เอนกายอยู่บนตั่งเฉยชาขึ้นมาก ในมือยังมีตำราที่อ่านค้างไว้เมื่อกลางวัน พอสัมผัสถึงเงาร่างสูงใหญ่ของ องค์ชายห้านางถึงได้วางตำราเล่มนั้นลง ดวงตาที่สบสายตาล้ำลึกดุจบ่อน้ำไร้ก้นบึ้งคู่นั้นสงบไม่น้อย หารู้ไม่ว่าอู่ซีเจิ้งยังมองเห็นปลายนิ้วมือสั่นเทาของนาง
เขารู้ว่าสตรีงดงามผู้นี้หวาดกลัว แต่ในเมื่อเลือกเดินเส้นทางนี้แล้วทั้งนางและเขาไม่อาจหันหลังกลับ สิ่งที่ทำได้คงมีเพียงการร่วมมือกันเป็นอย่างดี
“คืนนี้ คงต้องลำบากคุณหนูเฉินแล้ว”
เฉินหว่านอิงข่มกลั้นทุกความรู้สึกเอาไว้ ลุกจากตั่งได้พลันยอบกายลง “คืนนี้ องค์ชายต้องทรงเหน็ดเหนื่อยมากนัก”
อู่ซีเจิ้งไม่พูดสิ่งใด พยักหน้าเพียงเล็กน้อย หลังจากนั้นคนงามตรงหน้าก็ก้าวมาปลดเสื้อคลุมตัวนอกให้ ระหว่างนั้นเขานึกว่านางจะหวาดหวั่นจนถอยหนี แต่น่าประหลาดเพราะสิ่งที่ได้ยินคือคำถามชวนหงุดหงิด
“องค์ชายพอจะบอกหม่อมฉันได้หรือไม่ ว่าหม่อมฉันต้องปรนนิบัติองค์ชายกี่ค่ำคืน”
เขาเหลือบตามองเงาร่างเล็กผู้กำลังทำหน้าที่พระชายาเอกเป็นครั้งแรก เห็นท่าทีนิ่งสงบไม่รู้ทำไมในใจถึงมีโทสะผุดขึ้นมา
“เห็นทีชายารักต้องลำบากไปจนกว่าจะให้กำเนิดบุตรธิดากับข้าสักสองสามคนกระมัง”
“เป็นเวลาสองถึงสามปีสินะ”
“อาจนานกว่านั้น”
“ระหว่างนี้ องค์ชายอยากมีสัมพันธ์กับหญิงอื่นหรือไม่ หม่อมฉันจะได้ให้คนจัดเตรียมรายชื่อคุณหนูในห้องหับจากตระกูลชั้นสูง เพราะอีกไม่กี่วันองค์ชายต้องเสด็จกลับเมืองหลวงแล้ว”
“กลับเมืองหลวงหรือ”
อู่ซีเจิ้งหรี่ตาลง คล้ายลืมไปแล้วว่าตนต้องกลับเมืองหลวง ไม่รู้ว่าความคิดเช่นนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไร
“แน่นอนว่าหม่อมฉันไม่กลับไปด้วย”
“เจ้าหมายความว่า หลังจากข้าถึงเมืองหลวง จะให้ข้ารับชายารองใช่หรือไม่”
“เพคะ” ปากนางยิ้มแย้ม ขณะเบี่ยงกายให้เขาก้าวขึ้นเตียง เมื่อปลดม่านมุกหน้าเตียงนอนเรียบร้อยถึงได้สอดกายขึ้นมานอนใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน
“องค์ชายอยู่ที่นี่อีกสองสามวันก็เสด็จกลับเมืองหลวงเถิด สักเจ็ดวันข้างหน้าค่อยกลับมาใหม่”
“เจ้าหมายถึง?”
“กำหนดสามเว้นเจ็ด องค์ชายทรงพอพระทัยหรือไม่ ทำเช่นไปจนกว่าหม่อมฉันจะตั้งครรภ์ หลังตั้งครรภ์แล้วคงไม่ลำบากพระองค์เสด็จมาที่ตำหนักแห่งนี้อีก หวังว่าพระองค์จะมาหาหม่อมฉันอีกครั้งเมื่อผ่านพ้นวันคลอดบุตรไปแล้วสามเดือน แน่นอนว่าพอครบกำหนดหม่อมฉันยินดีปรนนิบัติพระองค์อีกครั้ง”
อู่ซีเจิ้งถึงกับตะแคงตัวเข้าหา ดวงตาคมคร้ามมองลึกเข้าไปในดวงตาเรียบเฉยของสตรีตรงหน้า ไม่รู้ในหัวของคุณหนูสามตระกูลเฉินผู้นี้คิดสิ่งใดอยู่กันแน่
“ข้าต้องทำเช่นนั้น จนกว่าเจ้าจะตั้งครรภ์ใช่หรือไม่”
“หลังจากหม่อมฉันคลอดบุตรธิดาให้องค์ชายแล้ว หวังว่าหม่อมฉันคงไม่ต้องทำหน้าปรนนิบัติองค์ชายบนเตียงอีก”
“เจ้ารังเกียจข้าหรือ”
เฉินหว่านอิงส่ายหน้า “หม่อมฉันเพียงแค่ไม่อยากมีสัมพันธ์ทางกายกับบุรุษที่ไม่มีวันมอบความรักให้เท่านั้น”
“ความรักสำหรับเจ้า สำคัญเพียงนั้น”
“สำคัญเพคะ” นางยิ้มตอบขณะค่อยๆ ปลดเสื้อชั้นนอกให้ร่วงหล่นจากกายบาง “แน่นอนว่าสองสามปีนับจากนี้หม่อมฉันจะละทิ้งความต้องการที่แท้จริงของตัวเอง และจะทำหน้าที่รับใช้ องค์ชายให้ดี”
อู่ซีเจิ้งขยับมือข้างหนึ่งลูบไล้เสื้อตัวในสีขาวที่ยังติดอยู่บนเรือนร่างคนงาม เห็นความหวาดหวั่นที่นางพยายามเก็บซ่อนเอาไว้ก็พลันเปิดปากออกมา “หากไม่อยากทำ ข้าจะไม่ฝืนใจเจ้า”
เฉินหว่านอิงรั้งมือข้างนั้นมาแนบแก้มข้างหนึ่ง นัยน์ตากลมโตจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคมเข้มเนิ่นนาน “สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นหาใช่การฝืนใจไม่ เป็นหม่อมฉันเต็มใจเอง”
“หว่านอิง”
“เริ่มเถิดเพคะ”
ในความมืดสลัวที่มีเพียงแสงเทียนตรงมุมห้องส่องสว่างให้เห็นเพียงรางๆ มือข้างหนึ่งของอู่ซีเจิ้งไล้สาบเสื้อคนงามเบาๆ “ข้าถอดเสื้อของเจ้าได้หรือไม่”
“เพคะ”
“มองเจ้ายามเปลือยกายได้หรือไม่”
“ได้เพคะ”
“สัมผัสเจ้าทั้งตัวได้ ใช่หรือไม่”
“จนกว่าจะให้กำเนิดบุตรธิดาครบสองพระองค์ ร่างกายตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าของหม่อมฉันเป็นขององค์ชาย ฉะนั้น...ไม่ว่าจะมอง สัมผัส หรือรุกล้ำ องค์ชายล้วนทำได้ทั้งสิ้น”
ดวงตาดำเข้มของอู่ซีเจิ้งทอดมองคนงามที่กำลังลูบหลังมือข้างหนึ่งของตนนิ่งนาน กระทั่งนางรั้งมือข้างนั้นให้สัมผัสกับเนื้อกายบอบบางที่ซุกซ่อนอยู่ใต้อาภรณ์สีขาวเขาถึงได้ละทิ้งความคิดที่จะปล่อยนางไป
หญิงงามผู้นี้น่าสนใจเกินกว่าจะยอมปล่อยมือง่ายๆ ดังนั้นการครอบครองนางคงเป็นสิ่งที่เขาไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
มือข้างนั้นมิเพียงช่วยปลดเปลื้องอาภรณ์ที่ห่อหุ้มร่างกายเล็กบาง แม้กระทั่งเนื้อผ้าที่ติดกายตนก็ยังต้องกระชากกระชั้นให้หลุดร่วงด้วยเช่นกัน
ยามเห็นเนื้อแท้ของหญิงสาว อู่ซีเจิ้งเพิ่งตระหนักได้ว่าแท้จริงนั้นต่อให้นางคลอดบุตรธิดาถึงสิบคนเขาก็คงไม่อาจปล่อยมือได้ เพราะเฉินหว่านอิงในยามนี้งดงามยิ่งกว่าเทพบุปผาในแดนเซียนเสียอีก