องค์ชายห้าแห่งแคว้นเหลียงผู้นี้ใช้กำหนดสามเว้นเจ็ดได้คุ้มค่าจริงๆ เพราะพอตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่พระองค์ก็ทรงทำเช่นนั้นกับร่างกายของผู้เป็นพระชายาเอก กว่าเฉินหว่านอิงจะสามารถพักผ่อนอย่างแท้จริงก็เป็นช่วงเช้าวันที่สี่ซึ่งอู่ซีเจิ้งได้เดินทางกลับเมืองหลวงแล้ว สิ่งที่ทิ้งไว้คือการปรับปรุงเล้าไก่กับบ่อปลาของนางให้กลายเป็นสวนดอกไม้งดงามเช่นเดิม ไม่ใช่สิต้องเรียกว่าบริเวณรอบๆ ตำหนักที่พำนักในยามนี้ถูกเนรมิตให้งดงามมิต่างจากเมืองบุปผาในแดนเซียนเลยสักนิด
น่าเสียดายไม่ว่าบรรยากาศภายนอกจะดีเช่นไร คุณหนูสามตระกูลเฉินกลับอ่อนแรงเกินกว่าจะก้าวเท้าออกไปชมได้ ยังดีที่เป่าหลิงไปตัดดอกไม้ขึ้นมาปักแจกันหยกให้นางเพื่อผ่อนคลายบ้าง
“คุณหนู” เสี่ยวหลิงรินน้ำชาพลางทอดสายตามองร่างกายบอบบางของคุณหนูที่ยังเอนกายอยู่บนตั่ง แน่นอนว่าไม่อาจปิดบังแววตาแห่งความห่วงใยและเป็นกังวลเอาไว้ เห็นคุณหนูของตนตกอยู่สภาพนี้ในใจลึกๆ ย่อมกล่าวโทษองค์ชายห้าผู้นั้น
สามวันสองคืนกับการถูกเคี่ยวกรำ ดูท่าคุณหนูคงเจ็บปวดและเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย
เฉินหว่านอิงฝืนยิ้ม เดิมทีไม่อยากนึกถึงสองค่ำคืนที่ผ่านมาแต่พอเห็นหน้าสาวใช้ภาพในหัวคล้ายจะย้อนไปยังห้วงเวลาที่นางกับคนผู้นั้นมีสัมพันธ์ลึกซึ้ง ถึงแม้ว่าจะมีความเจ็บปวดพาดผ่านอยู่บ้าง ทว่ากลับไม่รู้สึกรังเกียจหรือไม่สบายใจ ค่อนข้างชอบสิ่งที่ องค์ชายห้าปฏิบัติต่อตนด้วยซ้ำ
ยังไม่ทันคิดอะไรมากมาย บริเวณหน้าตำหนักคล้ายมีเสียงของคนผู้หนึ่งดังขึ้น สองนายบ่าวจึงได้แต่มองหน้ากันอย่างสงสัย เป่าหลิงรีบวิ่งออกไปดูก่อนจะกลับเข้ามาพร้อมหัวคิ้วแนบติด
“มีเรื่องใดเกิดขึ้นหรือ”
“องค์ชายห้าทิ้งองครักษ์ไว้ผู้หนึ่ง และยังบอกว่าพรุ่งนี้ยามบ่ายจะให้นายหน้านำคนมา บอกว่าให้คุณหนูเลือกสาวใช้ไว้เจ็ดแปดคนเจ้าค่ะ”
ได้ยินแล้วถึงกับปิดเปลือกตาซ่อนความเหนื่อยล้าเอาไว้ แม้จะยอมกลับเมืองหลวงตามข้อตกลงแต่อู่ซีเจิ้งผู้นี้ก็ไม่ปล่อยนางไปง่ายๆ จัดการปรับเปลี่ยนที่พำนักให้กลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่พอ ยังต้องให้นางรับสาวใช้กลุ่มใหญ่ไว้ปรนนิบัติอีก ดูท่าชีวิตความสงบเฉกเช่นที่แล้วมาคงจบลงอย่างแท้จริง
“คุณหนู จะทำยังไงดีเจ้าคะ”
“ทำตามรับสั่งขององค์ชายเถิด”
เสี่ยวหลิงยอบกายรับคำแล้วเร่งฝีเท้าออกไปบอกกล่าวกับองครักษ์ผู้นั้น แต่ถึงยังไงระหว่างกลับมาก็ยังรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้าง ราวกับว่ารอบๆ ตำหนักลืมเลือนแห่งนี้หาได้มีเพียงทหารที่คอยอยู่เวรยามเช่นเดิมไม่ หวังว่านอกจากองครักษ์ผู้นั้นองค์ชายห้าคงไม่ทิ้งยอดฝีมือไว้อีกกระมัง
ล่วงเข้ายามซื่อในวันถัดมา เฉินหว่านอิงสวมอาภรณ์สีแสงจันทร์ ชายกระโปรงปักด้วยใบของดอกโบตั๋น แต่น่าประหลาดที่อาภรณ์ชุดนี้ไม่มีโบตั๋นแม้แต่ดอกเดียว ดูแล้วช่างเรียบง่ายยิ่งนัก ทว่าสีหน้าแววตาของสตรีผู้นี้กลับทำให้องครักษ์หลิว นามซู หรือหลิวซูในวัยยี่สิบสามปีไม่กล้าสบตา คงมีเพียงผู้อาวุโสนาม เซิ่งหมิ่นหง หรือเซิ่งหมัวมัว ผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเท่านั้นที่หาญกล้าพิจารณาสตรีที่มีฐานะพระชายาเอกขององค์ชายห้าตาไม่วาง แน่นอนว่าเฉินหว่านอิงเองก็รู้ถึงเบื้องหลังของเซิ่งหมัวมัวผู้นี้ และรู้ด้วยว่าอู่ซีเจิ้งส่งผู้อาวุโสมาด้วยสาเหตุใด
นอกจากสองคนนี้ บริเวณลานหน้าตำหนักยังมีนายหน้า แซ่ซุนกับสาวชาวบ้านอีกยี่สิบกว่าคนรอคอยอยู่ นางจึงให้ เสี่ยวหลิงประคองมาตรงหน้าผู้อาวุโสแล้วยอบกายลง “หมัวมัวผู้นี้ หากข้าคาดเดาไม่ผิด หมัวมัวคงเคยรับใช้มารดาขององค์ชายห้าใช่หรือไม่”
“พระชายาช่างรอบรู้ยิ่งนัก บ่าวเป็นนางกำนัลคนสนิทของพระสนม เมื่อสิ้นพระสนมแล้วเป็นองค์ชายห้าที่รับบ่าวเฒ่าไว้ดูแล”
ไม่ว่าในใจจะต่อต้านฐานะพระชายาเอกของอู่ซีเจิ้งเพียงใด แต่เรื่องราวของนางกับเขาไม่เกี่ยวข้องกับผู้อาวุโสท่านนี้ และนางก็ไม่ใช่หญิงสาวดื้อรั้นไร้ธรรมเนียมเกินไป จึงยื่นมือข้างหนึ่งจับมือเซิ่งหมัวมัวพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงกึ่งขอร้อง กึ่งให้อีกฝ่ายเอ็นดู “ในเมื่อองค์ชายส่งหมัวมัวมาที่นี่ ย่อมหมายความว่าองค์ชายไว้วางใจหมัวมัวยิ่งนัก ต่อไปนี้ข้าต้องรบกวนขอให้หมัวมัวสั่งสอนกฎธรรมเนียมต่างๆ และยังต้องให้หมัวมัวคอยจัดการธุระในตำหนักหลายอย่าง หวังว่าหมัวมัวคงเห็นแก่หน้าองค์ชายช่วยเหลือข้าด้วย”
“พระชายาวางใจเถิด ในเมื่อบ่าวเฒ่ามาที่นี่ ย่อมต้องปรนนิบัติพระชายาอย่างดี”
เฉินหว่านอิงยิ้มบางๆ แล้วพาเซิ่งหมัวมัวกับองครักษ์หลิวรวมถึงเป่าหลิงออกไปด้านหน้าด้วยกัน ระหว่างนั้นก็เอ่ยปากเสียงค่อย “หมัวมัวช่วยข้าเลือกสาวใช้ที่พอใช้งานได้สักเจ็ดแปดคนเถิด หลังจากนั้นหน้าที่สั่งสอนพวกนางข้าคงต้องขอให้หมัวมัวออกแรงแล้ว”
เซิ่งหมัวมัวรับคำพลางประคองผู้เป็นพระชายาเอกออกไปด้านนอก พอเฉินหว่านอิงนั่งบนเก้าอี้กุ้ยเฟยเรียบร้อยถึงได้กวาดตามองไปยังกลุ่มคนที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้า แน่นอนระหว่างที่ผู้อาวุโสกำลังมองคนคุณหนูสามตระกูลเฉินย่อมต้องลอบพิจารณาเช่นกัน นางอยากรู้ยิ่งนักว่าอู่ซีเจิ้งมีเจตนาเช่นไรถึงได้ส่งหมัวมัวผู้นี้มาอยู่ข้างกาย เขาหวังดี? หรือประสงค์ร้าย?
แต่พอเห็นผู้อาวุโสเลือกคน เฉินหว่านอิงพลันโล่งใจขึ้นมาเปลาะหนึ่ง อย่างน้อยทุกคนที่เซิ่งหมัวมัวเลือกนับว่าเป็นที่น่าพอใจและไม่ได้ต่างไปจากสายตาของนางเลยสักนิด
เลือกคนได้แล้วหน้าที่อบรมกฎธรรมเนียมข้อบังคับและโทษทัณฑ์ต่างๆ เฉินหว่านอิงย่อมยกให้เป็นหน้าที่ของผู้อาวุโส ส่วนตัวเองนั้นให้เสี่ยวหลิงพากลับเข้าตำหนักชั้นใน หลังสาวใช้คนสนิทปิดประตูเรียบร้อยถึงได้ถอดคราบฐานะพระชายาเอก ปิ่นผมงดงามถูกปลด แม้กระทั่งรองเท้าก็ไม่สวม พอทิ้งกายบนตั่งตัวยาวเรียบร้อยถึงได้เอ่ยปาก
“ดูท่าคนผู้นั้นคงไม่ยอมปล่อยให้ข้าทำอะไรตามใจตัวเองอีกแล้ว”
เป่าหลิงมองไปยังลานด้านหน้าตำหนัก “เซิ่งหมัวมัว ไว้ใจได้ใช่ไหมเจ้าคะ”
“ไว้ใจได้หรือไม่ แต่ก็ยังเป็นคนของผู้อื่นอยู่ดี เจ้ารู้เอาไว้เถิด สาวใช้ที่เซิ่งหมัวมัวอบรมล้วนแล้วแต่ไม่ใช่คนของข้าอย่างแท้จริง ภายภาคหน้าจะใช้การสิ่งใดต้องระมัดระวังรอบคอบให้ดี”
“บ่าวทราบแล้ว”
“แต่องค์ชายห้าผู้นี้ไม่รู้ในหัวคิดสิ่งใด ถึงยอมส่งข้ารับใช้คนสนิทของสนมผินมาอยู่กับข้า”
“นั่นสิเจ้าคะ บ่าวว่าฐานะของหมัวมัวผู้นี้หาได้ธรรมดาแม้แต่น้อย”
“ฉะนั้น ต่อจากนี้ทั้งข้าและเจ้าต้องระวังตัวให้ดี อย่าได้กระทำสิ่งใดไม่เหมาะไม่ควรเด็ดขาด”
เป่าหลิงจึงได้แต่มองท่าทางคุณหนูของตน กิริยาที่แสดงออกในตอนนี้มิใช่ตรงกับคำว่าไม่เหมาะไม่ควรหรอกหรือ ไม่ว่าจะมองกี่ครั้งกี่หนเป่าหลิงก็ยังมองไม่เห็นท่าทางพระชายาเอกผู้สูงศักดิ์แม้แต่น้อย โดยเฉพาะการเอนกายนอนหลับตาแต่มือข้างหนึ่งหยิบผลไม้เข้าปาก หากเซิ่งหมัวมัวเห็นเข้าผู้ต้องรับโทษทัณฑ์คนแรกมิใช่พระชายากับนางผู้เป็นสาวใช้คนสนิทหรอกหรือ
“เหนื่อยยิ่งนัก” เฉินหว่านอิงออกปากบ่น “การต้องตื่นแต่เช้ามาประทินโฉมเพื่อให้ผู้อื่นพบหน้าช่างไม่เหมาะกับข้าจริงๆ”
เสี่ยวหลิงยิ้มแหย จะว่าไปแล้วนอกจากวันแต่งงานคุณหนูก็ไม่มีเรื่องวุ่นวายต้องตื่นเช้ามาแต่งกายให้ยุ่งยาก หนึ่งปีที่ผ่านมาพวกนางนายบ่าวถอดคราบฐานะของตนเป็นเพียงหญิงชาวบ้าน แต่นับจากนี้คงไม่อาจใช้ชีวิตเช่นนั้นอีก
“คุณหนู ลำบากท่านแล้ว”
เฉินหว่านอิงจึงได้แต่ทอดถอนใจออกมาคราหนึ่ง ภายในใจคล้ายรู้ดีแล้วว่าชีวิตภายภาคหน้าของตนจะเป็นเช่นไร ดังนั้นสิ่งที่ทำได้มีเพียงพักผ่อนให้ดี จะได้มีแรงสู้รบตบมือกับสิ่งที่ต้องพบเจอ
ปิดตาพักผ่อนไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็ได้ยินเสียงแผ่วเบาเล็ดลอดเข้ามา หากเดาไม่ผิดคงเป็นเสียงพูดคุยของเป่าหลิงกับองครักษ์แซ่หลิวผู้นั้น เดิมทีคนเป็นองครักษ์มีหน้าที่คอยคุ้มกันอารักขาอยู่เงียบๆ มิใช่หรือ แต่ดูแล้วหน้าที่ของคนแซ่หลิวมิได้ต่างจากพ่อบ้านผู้หนึ่งเลยแม้แต่น้อย