‘ขอร้องล่ะ ช่วยไปเสียทีเถิด!’ นางหลับตาปี๋พร้อมกับอธิษฐานซ้ำไปซ้ำมาอย่างมุ่งมั่นตั้งใจ ทว่าเมื่อรับรู้ถึงความนุ่มหอมที่ปัดผ่านแก้มนวลก็ถึงกับลืมตาโผล่งขึ้นมาด้วยความตกใจ
“รับไปสิ” ชายหนุ่มซึ่งควรจะยืนห่างออกไปไกลโข กลับยืนประชิดอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับยื่นผ้าเช็ดหน้าผืนบางมาให้อย่างมีไมตรีจิต “นางกำนัลน้อย สตรีย่อมเหมาะกับรอยยิ้มมากกว่าน้ำตา”
ซุนมี่มี่ทำตัวไม่ถูก พอได้สติก็รีบรับผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นมาอย่างอดเสียมิได้ ทั้งกระอักกระอ่วนและอับอายอย่างที่สุด
ชั่วขณะหนึ่ง... นางกลับนึกถึงบุรุษชุดดำที่บุกเข้ามาในเรือนนอนของนางในค่ำคืนนั้น
แต่จะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อผู้บุกรุกควรจะเป็นคนร้าย มิใช่สหายคนสนิทของท่านอ๋องน้อยที่เป็นแขกประจำของวังพิชิตบูรพามายาวนานกว่าสิบปีเช่นนี้!
ในระหว่างที่นางกำนัลสาวกำลังตกอยู่ในห้วงสับสนไม่แน่ใจอยู่นั้น ลี่ฮวาก็เบือนสายตามายังซุนมี่มี่
ฝั่งหนึ่งนางก็ปลาบปลื้มดีใจกับการปรากฏตัวของลั่วผี อีกฝั่งหนึ่งก็นึกเป็นห่วงสหายคนสนิทซึ่งมีปมหลังไม่ค่อยดีเกี่ยวกับคนสกุลลั่ว
และไม่ว่าจะเป็นเมื่อก่อนหรือว่ายามนี้ ซุนมี่มี่ก็ยังเป็นคนขลาดกลัว ไร้ซึ่งความมั่นใจในตนเองอยู่วันยังค่ำ
ที่สำคัญ... สมองของนางทำงานค่อนข้างช้า มิอาจเรียกได้ว่าโง่แต่ก็มิอาจเรียกได้ว่าฉลาดแพรวพราว เป็นเพราะตั้งแต่เด็กถูกกลั่นแกล้งด่าทอว่ารูปร่างอัปลักษณ์จึงสูญเสียความมั่นใจ ทว่าจิตใจก็เข้มแข็งพอที่จะมีชีวิตอยู่ได้ท่ามกลางคำสบประมาทล้อเลียนเหล่านั้น ที่ผ่านมานางมักจะทำตัวจืดชืดและหัวอ่อนเป็นช้างเท้าหลังมาโดยตลอด พอกลายมาเป็นจุดสนใจจึงลนลานทำตัวไม่ถูก
แต่ก็นะ... จะว่าไปแล้วก็ดูมีเสน่ห์ไปอีกแบบ
อืม...คงเรียกได้ว่ามีเสน่ห์แบบป้ำๆ เป๋อๆ
“มี่เอ๋อร์”
เสียงเรียกของลี่ฮวาปลุกให้ ‘ผู้มีเสน่ห์แบบป้ำๆ เป๋อๆ ’ตื่นจากห้วงภวังค์ ผินหน้าหนีจากร่างหนาเบื้องหน้าไปยังผู้เรียก
“เจ้ามิใช่ว่าต้องรีบไปตำหนักอิงหย่งหรอกหรือ”
แววตาของหญิงงามแปรเปลี่ยนมึนงง ก่อนที่มันจะถูกแทนที่ด้วยความซาบซึ้งในเวลาต่อมา
ซุนมี่มี่ใจชื้นยิ่งนักที่แท้ลี่ฮวากำลังเปิดทางให้นางไปจากที่นี่!
“จริงด้วย ข้าต้องไปแล้ว” ซุนมี่มี่ตอบรับก่อนจะสาวเท้าถอยไปด้านหลังประมาณสามเก้า ย่อตัวลงเพื่อร่ำลาคุณชายใหญ่แห่งตระกูลลั่ว “เช่นนั้นข้าน้อยขอละ...”
“ช่างประจวบเหมาะเหลือเกิน” ลั่วผีขัดคำพูดของนางด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจ “ข้าเองก็กำลังจะไปที่ตำหนักอิงหย่งเช่นเดียวกัน”
“กะ...เกรงว่าคงไม่ได้เจ้าค่ะ” ซุนมี่มี่รีบปฏิเสธออกไป ก่อนจะหน้าถอดสีเมื่อนึกขึ้นได้ว่าบ่าวผู้ต่ำต้อยเช่นนางกำลังสั่งห้ามมิให้พระสหายเข้าไปพบท่านอ๋องน้อย
ลั่วผีไม่ถือสาเอาความทั้งยังหัวเราะอย่างอารมณ์ดี สาวเท้าเข้าไปใกล้หญิงสาวด้วยแววตาสงสัยใคร่รู้ “นางกำนัลน้อย เหตุใดจึงไปมิได้? ”
ดวงตาของผู้ถูกถามกลอกไปมาจนน่าเวียนหัว ทว่าสติปัญญาอันต่ำต้อยทำให้มิสามารถครุ่นคิดข้ออ้างออกมาได้ทันที “พะ...เพราะว่า...”
“เพราะว่า?” คิ้วเข้มของลั่วผีเลิกขึ้น แม้ใบหน้าจะประดับด้วยรอยยิ้มและมีดูไม่เร่งเร้า ทว่าทุกองค์ประกอบในร่างกายกลับทำให้ซุนมี่มี่รู้สึกเหมือนถูกเข็มเล็กๆ จ่ออยู่ที่ลำคอ ไม่ว่าอย่างไรก็มิอาจสลัดภาพของโจรใจทรามซึ่งขโมยจุมพิตของนางในค่ำคืนนั้นไปได้
หากเหตุผลที่นางกล่าวออกไปไม่ดีพอ เกรงว่าคงมิแคล้วถูกทำโทษ หรืออาจจะแย่กว่านั้น...
“ขะ...ข้าน้อยหมายถึงตนเองเจ้าค่ะ” ซุนมี่มี่พูดไปเหงื่อแตกไป เผลอกำผ้าเช็ดหน้าในมือแน่นขึ้นเพื่อระบายความอึดอัดที่ได้รับจากคนตรงข้าม “ข้าน้อยคงมิอาจไปที่ตำหนักอิงหย่งได้แล้ว”
นางพูดเสร็จก็ลอบกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ ต่อให้เขาใช่โจรร้ายก็มิอยากเข้าใกล้ มิใช่โจรร้ายก็มิอยากเข้าใกล้ แต่จะทำเช่นไรจึงจะล่ำลาจากอีกฝ่ายโดยไม่ถือว่าเป็นการเสียมารยาทดีเล่า?
“นับว่าน่าเสียดายเหลือเกิน” น้ำเสียงของชายหนุ่มแสดงความเสียดายออกมาอย่างเห็นได้ชัด
“จะ...เจ้าค่ะ” นางกำนัลสาวตอบรับเสียงสั่นก่อนจะรีบย่อกายร่ำลา นึกไม่ถึงว่าพอหันหลังไปจะพบเห็นเงาร่างอันคุ้นเคยของผู้เป็นนายยืนมองอยู่มิไกล
‘มิใช่ว่าท่านอ๋องน้อยทรงกลับไปแล้วหรอกรึ’
ซุนมี่มี่กับนางกำนัลคนอื่นๆ รีบทำความเคารพ
“คารวะท่านอ๋องน้อย”
เยว่หมิงพยักหน้าทีหนึ่งก่อนจะลากสายตาจากซุนมี่มี่ไปยังแขกผู้มาเยือน “เหตุใดไม่มาพบข้าที่เรือน”
ลั่วผียักไหล่เล็กน้อย “ก็ว่าจะไปอยู่”
พวกเขาทั้งสองบุรุษรูปงามขึ้นอันดับหนึ่งในห้าแห่งเมืองหลวง ครั้นมารวมตัวอยู่ด้วยกันก็ยิ่งเจิดจรัส คนหนึ่งนิ่งขรึม อีกคนยิ้มแย้ม ไม่ว่าจะมองไปทางใดก็เจริญหูเจริญตาด้วยกันทั้งสิ้น
เหล่านางกำนัลวัยสาวแรกรุ่นมองซ้ายเหลียวขวา พากันทำสีหน้าเคลิ้มฝัน ซุนมี่มี่ฉวยโอกาสนั้นเก็บผ้าเช็ดหน้าเข้าอกเสื้อก่อนจะล่าถอยกลับเข้าไปยืนในกลุ่มนางกำนัลด้วยกัน ดูท่าวันนี้ท่านอ๋องน้อยจะทรงมิตั้งพระทัยจะทรงม้าชมเมืองตั้งแต่แรก เพราะได้ทรงนัดหมายกับพระสหายเอาไว้แล้ว
“พวกเจ้าไปเสีย”
“เพคะ” หญิงสาวทั้งหลายต่างพากันเตรียมตัวเพื่อแยกย้ายกลับไปทำหน้าที่ของตน
“ซุนมี่มี่” เสียงเรียกของเยว่หมิงทำเอาบ่าวไพร่ต่างชะงักกันเป็นแถบ
โฉมสะคราญก้มหน้าลง “เพคะ ท่านอ๋องน้อย”
“คอยติดตามอยู่ในระยะยี่สิบเก้า หากมีอะไรจะได้เรียกใช้ได้”
ซุนมี่มี่ได้ฟังแล้วถึงกับน้ำตาตกใน
เป็นนางอีกแล้วหรือ!
ตัดพ้อในใจมากเท่าไร สุดท้ายก็ต้องก้มหน้ารับชะตากรรม ซุนมี่มี่ทำตามรับสั่งของท่านอ๋องน้อย ติดตามคนทั้งสองซึ่งเดินชมอุทยานยามเย็นอย่างเอื่อยเฉื่อย ดวงตะวันใกล้ลับขอบฟ้าเห็นแสงดาวดวงแรกอยู่ริบหรี่ เป็นเพราะเว้นระยะห่างออกมาพอสมควร นางจึงไม่ได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูดคุยกัน
ลั่วผีเดินนำหน้าอย่างไม่ถือเรื่องยศศักดิ์ตามพระประสงค์ของท่านอ๋องน้อย ครั้นเบนสายตากลับมาจากรังนกบนต้นไม้ก็เปิดประเด็นโดยมิให้เป็นการเสียเวลา “ศึกที่ฉีหนาน ดูท่าฝ่าบาทจะประสงค์ให้เจ้าเป็นคนนำทัพ”
“เจ้า...” เยว่หมิงยังไม่มีโอกาสได้พูดจบก็ถูกอีกฝ่ายเอ่ยแทรกขึ้นมาอย่างรู้ทัน
“จะให้ข้าวานท่านพ่อช่วยทูลค้านให้ใช่หรือไม่”
เยว่หมิงพยักหน้าอย่างไม่อิดออด เขาไม่ชอบการทำศึกสงคราม ไม่ชอบการเข่นฆ่าผู้คน แว่นแคว้นยิ่งใหญ่ย่อมมีแม่ทัพนายกองมากมายมหาศาล มิเห็นมีความจำเป็นจะต้องเรียกให้เขาไป
“หึๆ เจ้าช่างไม่รู้อะไรเอาเสียเลย” ลั่วผีหัวเราะให้กับความไร้เดียงสาของท่านอ๋องน้อยแห่งวังพิชิตบูรพา
ความจริงจะบอกว่าเยว่หมิงไร้เดียงสาก็คงไม่ถูก ชายหนุ่มผู้นี้ตั้งแต่เด็กจนโตก็มิชอบคบค้าสมาคมหรือข้องแวะกับผู้อื่นนัก การแก่งแย่งและคานอำนาจในเมืองหลวงเหมือนจะใกล้แต่ก็ไกลตัว เรื่องนี้หากจะโทษก็คงต้องโทษท่านอ๋องกับพระชายาด้วยที่หละหลวมผ่อนปรน มิยอมสั่งสอนตักเตือนบุตรชายเพียงคนเดียวให้รู้ถึงความน่ากลัวของภัยเหล่านี้
โบราณว่ายิ่งสูงก็ยิ่งหนาว เกิดเป็นพยัคฆ์แต่หากไร้เขี้ยวเล็บก็ไม่ต่างจากแมวตัวหนึ่ง งานนี้ดูท่าคงมีคนไปเป่าหู หรือไม่ก็ท่านอ๋องทรงกระทำบางสิ่งให้เบื้องสูงมิพอใจเข้าเสียกระมัง
ท่านอ๋องน้อยทอดพระเนตรชายหนุ่มซึ่งกำลังส่ายหน้าน้อยๆ ก็ตรัสถามออกมาคำหนึ่ง “จะช่วยหรือไม่ช่วย”
“แหมๆ” ลั่วผีหัวเราะ “ช่างใจร้อนเหลือเกิน”
บุตรชายของท่านเสนาฯ เงียบเสียงลงอีกครั้งคล้ายต้องการถ่วงเวลา ทว่าเมื่อหันไปเห็นซุนมี่มี่ยืนรออยู่ใกล้ๆ ก็บังเกิดความคิดบางอย่าง มิรอช้ารีบชี้นิ้วไปยังร่างงาม
“ถ้าหากเจ้าแย่งชิงผ้าเช็ดหน้าที่ซุกซ่อนอยู่ในตัวนางออกมาได้ ข้าก็จะช่วย”
เยว่หมิงเบือนสายตาไปยังทิศทางดังกล่าว เห็นหญิงสาวในชุดสีชมพูตกใจตื่นก็กดหัวคิ้วเข้าหากัน
ลั่วผีเล่นอะไรแผลงๆ ...
บ่นอยู่ในใจมิทันไรก็ถูกเสียงของอีกฝ่ายทำลายสมาธิไปอีกครา
“อ้อ ต้องแย่งมาให้ได้ก่อนข้านะ”
ร่างหนาพูดเสร็จก็เคลื่อนไหวทันที วิชาตัวเบาอันล้ำเลิศถูกดึงออกมาขณะที่เจ้าตัวดีดกายขึ้นไปในอากาศ ท่านอ๋องน้อยทรงเคลื่อนไหวพระวรกายช้ากว่าครึ่งก้าว ชายเสื้อสีครามขยับไหวคล้ายเต้นรำก่อนจะหมุนเกลียวดั่งพายุ แต่ถึงอย่างไรก็มิอาจตามลั่วผีได้ทัน
บุตรชายของท่านเสนาบดีเข้าถึงตัวซุนมี่มี่เป็นคนแรก หญิงสาวเผลอส่งเสียงร้องออกมาอย่างตกใจเมื่อมือใหญ่สัมผัสลงบนหน้าท้อง เมื่อครู่นี้ชายหนุ่มทั้งสองอยู่ไกลพอสมควรจึงไม่ได้ยินเรื่องที่พวกเขาพูดคุยกัน แต่นี่...
นางกำลังถูกบุรุษผู้นี้ลวนลาม!
ซุนมี่มี่ตัวสั่นเทาก่อนจะรีบใช้มือผลักมือใหญ่กร้านออกราวกับต้องของร้อน นางหันหลังพร้อมออกตัววิ่งแต่ก็ต้องชะงักอีกหนเมื่อร่างของผู้เป็นนายตีลังกาหมุนตลบพร้อมกับทิ้งตัวลงบนพื้นอย่างงามสง่า ขวางทางหน้ามิให้หลบหนี
นัยน์ตาดั่งกวางน้อยเสียขวัญที่ช้อนมองเยว่หมิงนั้นสั่นระริกอย่างน่าสงสาร ท่านอ๋องน้อยพระพักตร์นิ่งเฉยมิแปรเปลี่ยน ผายพระหัตถ์ออกมาเบื้องหน้า
“ผ้าเช็ดหน้า”
นางกำนัลสาวมีสีหน้ามึนงง “เพคะ? ”
“นางกำนัลน้อย” ผู้ที่ขัดจังหวะจากด้านหลังจะเป็นใครไปมิได้อีกนอกจากลั่วผี “ข้ามาขอรับผ้าเช็ดหน้า ‘ของข้า’ คืน”
ซุนมี่มี่เริ่มนึกออกจึงหันหลังกลับไป พบว่าบุรุษในชุดสีเทาเข้มเองก็ผายมือออกมาเบื้องหน้านางในลักษณะเดียวกับท่านอ๋องน้อยเช่นกัน
พวกเขา... อยากได้ผ้าเช็ดหน้าด้วยกันทั้งคู่หรือ?
ผู้คิดกะพริบตาปริบๆ อย่างมึนงง ล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อแล้วหยิบผ้าสีขาวผืนบางที่ยับยู่ยี่ออกมา เมื่อได้เห็นของแล้วก็เผยสีหน้าลำบากใจขึ้นมาฉับพลัน
ฝ่ายหนึ่งก็เจ้านาย อีกฝ่ายหนึ่งก็เจ้าของผ้าเช็ดหน้าตัวจริง เช่นนี้แล้วนางควรจะตัดสินใจ... มอบผ้าเช็ดนี้ผืนนี้ให้ผู้ใดดีเล่า!