สี่
บุรุษผู้นั้น
ท้ายที่สุดแล้ว ความตั้งใจที่จะทรงม้าชมเมืองของท่านอ๋องน้อยก็เป็นอันถูกยกเลิกไปโดยปริยาย
หลังจากเหตุการณ์ที่คอกม้าฝั่งทิศใต้ของวังพิชิตบูรพาคลี่คลายลง ท่านอ๋องน้อยก็ทรงมีรับสั่งให้เดินทางกลับตำหนักอิงหย่งทันที
ซุนมี่มี่เหม่อมองผืนนภาสีฟ้าครามที่บัดนี้เริ่มแต่งแต้มด้วยสีชมพูและแสด ชื่นชมความงามของมันอยู่พักหนึ่งก่อนจะคลี่ยิ้มบางเบา ทุกข์ตรมมาหลายวันนางก็เพิ่งมีเวลาได้พินิจดูท้องฟ้า ยามนี้นางรู้สึกปลอดโปร่งและอารมณ์ดียิ่งนัก
นางกำนัลสาวครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่
ถ้าหากนางไม่คิดเข้าข้างตนเองจนเกินไปแล้วล่ะก็... ดูท่าวันนี้ที่นางถูกจับแต่งองค์ทรงเครื่องให้งดงาม ก็เพื่อไปปรากฏตัวต่อหน้าตงซือ ซึ่งเรื่องนี้น่าจะเป็นพระประสงค์ของท่านอ๋องน้อย
หญิงสาวรู้สึกถึงความตื้นตันที่เอ่อท้น ดวงตากลมโตละจากผืนนภาเบื้องบนมายังแผ่นหลังกว้างของชายหนุ่มซึ่งเดินนำอยู่เบื้องหน้า อาภรณ์สูงค่าสีครามตัดกับผืนหญ้าและหินปูทางเดินดูโดดเด่น เพียงแค่แผ่นหลังยังแผ่กลิ่นอายสูงศักดิ์ราวกับอยู่คนละโลก นางลังเลอยู่นานสองนานกว่าจะตัดสินใจเอ่ยถ้อยคำที่อยู่ในใจออกไป
“ขอบพระทัยเพคะ ท่านอ๋องน้อย”
เจ้าของร่างสูงโปร่งชะงักฝีเท้า เมื่อถูกซุนมี่มี่มองออกก็ไม่คิดบ่ายเบี่ยง ใบหน้าคมคายเบนเสี้ยวหน้ากลับมา “ข้าไม่ชอบให้ผู้ใดมารังแกคนของข้า”
ซุนมี่มี่รู้สึกแปลกๆ เมื่อถูกแสดงความเป็นเจ้าของ ใบหน้าที่ร้อนวูบส่งผลให้เจ้าตัวรีบผินสายตาไปทางอื่น “คน...ของท่าน? ”
“เจ้าทำงานรับใช้ข้าที่ตำหนักอิงหย่งมาเกือบชั่วชีวิต หากมีผู้ใดกล้ารังแกเจ้าก็เท่ากับรังแกข้าด้วย ในอดีตเจ้าไม่ยอมเอ่ยปากพูดเรื่องนี้กับข้าก็ไม่เป็นไร แต่ต่อจากนี้หากมีผู้ใดกล้ารังแกหรือขัดใจเจ้า ก็มาบอกข้าได้ทันที”
“เพคะ ขอบพระทัยที่ท่านอ๋องน้อยทรงเมตตาต่อพวกข้าน้อย” ผู้เป็นบ่าวรีบย่อกายรับคำด้วยความรู้สึกที่เปลี่ยนไปจากเดิมเล็กน้อย นางเข้าใจมาโดยตลอดว่าท่านอ๋องน้อยทรงเป็นบุรุษที่ค่อนข้างห่างเหินกับบ่าวไพร่ ทว่าวันนี้... นางได้เปิดหูเปิดตาแล้ว
“มันถือเป็นสิทธิ์อันชอบธรรมของข้ารับใช้อยู่แล้ว เจ้ามิรู้หรือ?” ท่านอ๋องน้อยตรัสเสียงขรึมก่อนจะเคลื่อนพระพักตร์ไปยังโขกหินก้อนใหญ่ข้างกอไผ่เขียวสด “นางกำนัลเหล่านั้นเอง... ก็อยากจะช่วยเจ้าแก้แค้นตงซือเช่นกัน”
สิ้นคำบอกกล่าวของผู้เป็นนาย ซุนมี่มี่ก็หมุนกายหันไปยังทิศทางด้านหลังตน เมื่อเห็นลี่ฮวากับนางกำนัลที่เติบโตและทำงานร่วมกันมายืนอยู่ ความตกใจในคราแรกก็ผันเปลี่ยนเป็นความซาบซึ้ง
แท้จริงแล้วนางมีคนที่รักและปรารถนาดีต่อนางอยู่มากมาย... แต่ที่ผ่านมานางกลับโศกเศร้าแล้วเอาแต่ทำร้ายตัวเองจนทำให้พวกเขาต้องเป็นห่วง
หญิงสาวตื้นตันจนพูดอะไรไม่ออก สุดท้ายอารมณ์ดังกล่าวก็กลั้นกรองออกมาเป็นหยาดน้ำตา
ลี่ฮวากับนางกำนัลสาวทั้งปวงหันมามองหน้ากันเล็กน้อย เมื่อเห็นเยว่หมิงเดินล่วงหน้าจากไปจึงพากันวิ่งเข้ามาปลอบคนร้องไห้ เมื่อครู่นี้ยังเห็นพูดคุยอยู่กับท่านอ๋องน้อยอยู่ดีๆ หรือว่าจะทรงกลั่นแกล้งซุนมี่มี่เข้าให้แล้ว?
“มี่เอ๋อร์ ไยจึงร้องไห้เล่า” คนใกล้ตัวถามอย่างเป็นห่วง ก่อนจะทำหน้าเหลอหลาทันทีเมื่อมันกลับทำให้ซุนมี่มี่สะอื้นหนักมากกว่าเดิม
นี่สินะที่เขาเรียกว่ายิ่งปลอบก็ยิ่งร้อง...
ผู้ที่ร้องไห้ราวกับเด็กขี้แยพยายามอย่างยิ่งที่จะเอ่ยปากบอกความในใจให้พวกเขาฟัง ใช้วิธีสูดหายใจเข้าออกอย่างติดขัดเข้าช่วย
“ขะ...ขอบคุณและขอ...โทษ” เสียงหวานที่เปล่งออกไปขาดๆ หายๆ แต่ก็ฟังได้ความอยู่บ้าง
ลี่ฮวาได้ฟังเช่นนั้นก็เข้าใจได้ในที่สุด เช่นนั้นก็หมายความว่าสามารถจัดการเจ้าคนชั่วช้าตงซือให้รู้สำนึกได้แล้ว!
“พวกเราเติบโตมาด้วยกัน รักกันเหมือนพี่น้อง มี่เอ๋อร์... เจ้าอย่าคิดเด็ดขาดนะว่าไม่มีผู้ใดต้องการเจ้า” นางคลี่ยิ้มอ่อนโยนพร้อมกับอ้าแขนสวมกอดคนร่ำไห้
เมื่อนางกำนัลที่เหลือได้ฟังเช่นนั้นก็เริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวได้ แต่ละคนพากันเข้ามาโอบกอดซ้อนเรียงกันไปเรื่อยๆ โดยมีซุนมี่มี่อยู่กึ่งกลาง มิตรภาพที่มีให้ยิ่งนานวันก็เบ่งบานงดงามดั่งบุปผา เหนียวแน่นดั่งใยไหมถักทอ
แน่นอนว่านอกจากซุนมี่มี่ต้องขอบคุณมิตรสหายใกล้ชิดเหล่านี้ ก็ยังมีคนสำคัญอีกคนหนึ่งที่นางต้องขอบคุณ
เพราะว่าเป็นท่านอ๋องน้อยที่ทรงทำให้นางรู้ว่า นางมิได้อยู่อย่างโดดเดี่ยวและต่อสู้กับความเจ็บปวดนี้เพียงลำพัง...
แปะ แปะ แปะ
จู่ๆ ก็มีเสียงปรบมือไม่ทราบที่มาดังแทรกขัดจังหวะ บรรยากาศซาบซึ้งถูกทำลายลงโดยพลัน
หญิงสาวซึ่งกำลังร้องไห้ราวกับเด็กน้อยในอ้อมกอดของสหายรีบผละตัวออกมายืนตรง พยายามใช้ชายแขนเสื้อปาดน้ำตาที่เปรอะเปื้อน ทว่าคนรอบกายต่างถลึงตาห้ามเอาไว้ทัน
กว่าจะใช้เครื่องประทินโฉมแต่งแต้มให้ซุนมี่มี่งดงามโดดเด่นถึงเพียงนี้กินเวลาไปเกือบชั่วยาม หากจะปาดทิ้งเยี่ยงนี้ก็เท่ากับว่าเวลาที่พวกนางเสียไปช่างไม่คุ้มค่าเลยแม้แต่น้อย
ซุนมี่มี่กลืนน้ำลายเฮือกก่อนจะลดมือลงแต่โดยดี นัยน์ตาที่ยังหลงเหลือสีแดงจางๆ จากการร้องไห้พยายามสอดส่องหาที่มาของเสียงเมื่อครู่ มิทันไรเสียงกรีดร้องระงมรอบข้างจะทำเอาเจ้าตัวเบ้หน้าแล้วรีบยกมือขึ้นมาปิดหู
ผู้ที่อยู่ห่างจากพวกนางไปประมาณสิบห้าก้าวคือชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบปีสวมใส่ อาภรณ์สีเทาเข้มไร้ลวดลายทว่ากลับเสริมให้เจ้าตัวดูน่าเกรงขามและลึกลับไปในคราวเดียวกัน ร่างหนาสมส่วนซึ่งมีกล้ามเนื้ออย่างพอเหมาะนั้นสามารถดูออกแม้จะซ่อนอยู่ใต้เนื้อผ้าที่ปิดคลุมอยู่ทั้งตัว ใบหน้าเรียวขาวผ่องราวกับหยกแกะสลักยิ่งโดดเด่นเมื่อเจ้าตัวรวบผมเกล้าเป็นทรงหางม้า ที่มุมปากประดับด้วยรอยยิ้มเล็กๆ เผยให้เห็นรอยบุ๋มที่ข้างแก้มอันเป็นเสน่ห์เฉพาะตัวที่สาวน้อยสาวใหญ่ตาพากันอ่อนระทวยเพียงแค่สบตา
เขาคือ ‘ลั่วผี’ บุตรชายคนโตของท่านเสนาฯ ฝ่ายกลาโหม สหายคนสนิทของท่านอ๋องน้อย
“คะ...คารวะคุณชายลั่ว!” ลี่ฮวารีบทำความเคารพอย่างลนลานและประหม่า ทำเอานางกำนัลสาวที่เหลือรีบทำตาม
ซุนมี่มี่แอบเหลือบมองสีหน้าเคลิ้มฝันของสหาย ลี่ฮวาแอบปลื้มลั่วผีมานานแล้วแต่ก็ไม่เคยมีโอกาสได้เข้าใกล้มากนักเพราะเกรงกลัวบารมีของท่านอ๋องน้อย วันนี้ชายหนุ่มกลับมาปรากฏตัวที่นี่ตามลำพัง ช่างนับเป็นวาสนาของอีกฝ่ายยิ่งแล้ว
ส่วนอดีตนางกำนัลร่างอ้วนนั้นกลับตรงกันข้าม นอกจากนางจะไม่ปลื้มบุรุษหน้าหยกผู้นี้แล้วยังหลบเลี่ยงอีกฝ่ายทุกครั้งที่มีโอกาส สาเหตุนั้นก็เป็นเพราะว่า... น้องสาวของลั่วผีซึ่งมีนามว่าลั่วเจินเคยหัวเราะเหยียดยามนางว่า ‘วังพิชิตบูรพารับหมูกำพร้ามาเลี้ยง’
ดังนั้นถ้าหากเลือกได้ ซุนมี่มี่จะพยายามหาวิธีหลบเลี่ยงคนจากสกุลลั่วทุกครั้งที่มีโอกาส แต่ดูท่าครานี้คงจะเลี่ยงมิได้เสียแล้ว
“พวกเจ้าตามสบายเถิด” ลั่วผีกวาดตามองเหล่านางกำนัลสาว “เมื่อครู่นี้ข้าเห็นท่านอ๋องน้อยอยู่ไกลๆ เลยตั้งใจจะเข้ามาทัก แต่ครั้นมาถึงคนกลับไม่อยู่ เหลือแต่ภาพมิตรภาพของพวกเจ้าให้ชมแทน”
“อา...” คนฟังต่างเขินอายหน้าแดงซ่านอย่างไร้เดียงสา ผิดกับซุนมี่มี่ที่ก้มหน้าหลบด้วยปฏิกิริยาไม่ยินดียินร้าย