นอกจากวังพิชิตบูรพาจะขึ้นชื่อเรื่องความสวยงามที่สุดในฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ยังมีเรื่องอาหารรสเลิศของห้องเครื่องที่แม้แต่องค์จักรพรรดิ์เองยังทรงชมเชยอย่างออกหน้า
สาเหตุนั้นเป็นเพราะพระชายาเป็นท่านหญิงชนเผ่าไป๋จากหยุนหนานซึ่งค่อนข้างจุกจิกเรื่องสำรับอาหาร ดังนั้นเมื่อแต่งงานมาอยู่เมืองหลวง จึงได้ให้ครอบครัวของคนครัวทางฝั่งนั้นย้ายมาพำนักอยู่ที่วังพิชิตบูรพาแห่งนี้ด้วย
กลิ่นหอมกรุ่นชวนน้ำลายสอตลบอบอวลอยู่ในคุกใต้ดิน ทว่าช่างน่าสงสารนักที่สตรีผู้หิวโหยจนท้องร้องจ๊อกๆ กลับไม่มีโอกาสได้ลิ้มรสมัน
ซุนมี่มี่สูดน้ำลายที่กำลังจะไหลกลับเข้าปากขณะที่กะพริบตาถี่ๆ จ้องมองชามข้าวขนาดกลางบรรจุขาหมูของโปรดด้วยหัวใจอันสั่นสะท้าน ความหิวโหยทำเอานางหน้ามืดตาลาย
ท่านอ๋องน้อยทรงพระทัยร้ายเกินไปแล้ว!
เจ้าของร่างสูงโปร่งในสุดสีครามนั่งบนเก้าอี้ตรงกันข้าม มือหนึ่งถือชามข้าว อีกมือหนึ่งถือตะเกียบพร้อมกับลงมือคีบอาหารใส่เข้าปากด้วยสีหน้าเรียบเฉยแม้จะถูกดวงตาหวานจ้องมองตาละห้อยก็ตามที
“หากเจ้ายอมสารภาพออกมาตามตรง ข้าก็จะให้เจ้ากินข้าว” เยว่หมิงเอ่ยพลางส่งเนื้อขาหมูเข้าปากเคี้ยวยั่วผู้ที่ถูกโซ่ล่ามพันธนาการเอาไว้
“ทะ...ท่านอ๋องน้อย” ซุนมี่มี่กลืนน้ำลายเฮือก “ข้าน้อยบอกท่านไปหมดแล้ว ข้าน้อยคือซุนมี่มี่จริงๆ เพคะ”
“หากเจ้าคือซุนมี่มี่จริง” เยว่หมิงลดตะเกียบในมือพลางเอ่ยเสียงขรึม “เหตุใดเจ้าจึงได้เปลี่ยนไปมากมายถึงเพียงนี้”
หญิงสาวสะดุ้งตัวอีกหน ก่อนจะเผยสีหน้าอึดอัดเมื่อโซ่ตรวนเสียดสีบาดเข้าผิวอีกระลอก
“ไยจึงตกใจ” ท่านอ๋องน้อยทรงหรี่พระเนตรอย่างจับผิด
“ขะ...ข้าน้อยเพียงคาดไม่ถึงว่าท่านอ๋องน้อยจะทรงสังเกตว่าก่อนหน้านี้ข้าน้อยเป็นเช่นไร”
นางกำนัลในตำหนักอิงหย่งมีมากกว่ายี่สิบคน ส่วนใหญ่ล้วนรูปโฉมโดดเด่นตราตรึงใจ ด้วยเหตุนี้ซุนมี่มี่จึงไม่เคยคาดคิดว่าสตรีอ้วนหมูตอนเยี่ยงนางจะอยู่ในสายพระเนตร
ในใจลึกๆ ก็รู้สึกดีใจขึ้นมาวูบหนึ่ง ก่อนที่มันจะจางหายไปในเวลาต่อมาเมื่อระลึกได้ว่านางมักจะถูกอีกฝ่ายรังแกและใช้งานหนักมาตั้งแต่เด็ก
สีหน้าของชายหนุ่มแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่เพียงพริบตาเดียวก็กลับมาเรียบเฉยดังเดิม นัยน์ตาสีเข้มเฉียบคมมากขึ้น “ซุนมี่มี่ทำงานรับใช้อยู่ที่ตำหนักอิงหย่งมาสิบสามปี หากข้าจำคนที่เข้าออกตำหนักของตนเองไม่ได้ก็คงจะโง่งมเกินไปกระมัง”
“เป็นเพราะว่าข้าน้อย... อดข้าวอดน้ำ”
“อดข้าวอดน้ำ?” เยว่หมิงทวนด้วยสีหน้าไม่เชื่อ “เหตุใดจึงต้องอด โดนทำโทษรึ”
“ท่านอ๋องน้อยตรัสเช่นนี้หมายความว่าทรงเชื่อแล้วใช่ไหมเพคะว่าข้าน้อยคือซุนมี่มี่ตัวจริง” ดวงหน้างดงามของนางกำนัลสาวมีความหวังวาดผ่าน
ท่านอ๋องน้อยทรงคีบอาหารใส่พระโอษฐ์ต่อ คล้ายต้องการกดดันคนหิวข้าวให้ทรมาน “นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าสามารถทำให้ข้าเชื่อได้หรือไม่”
“ข้าน้อย...” นางเม้มริมฝีปากซีดขาว กลิ่นหอมยั่วยวนส่งผลให้ท้องส่งเสียงร้องประท้วงอีกครั้ง
โครก...
เพื่อให้ตนเองได้หลุดพ้นไปจากตรงนี้และได้กินข้าว นางจึงต้องกลืนศักดิ์ศรีอันน้อยนิดของตนเอง พร้อมกับเอ่ยปากพูดความจริงไปในที่สุด
“ข้าน้อยถูกสลัดรักเพคะ”
ครั้นผู้ที่กำลังสอบปากคำได้ฟังเช่นนั้นก็ถึงกับสำลักข้าวที่กินเข้าไป “แค็กๆ ๆ”
เยว่หมิงวางชามข้าวลงบนพื้นก่อนจะยกมือขึ้นมาทุบอก โชคดียิ่งนักที่ทหารเตรียมน้ำมาให้ด้วยจึงได้ดื่มเข้าไปเพื่อกลืนข้าวที่ติดคอลงไปได้อย่างทันท่วงที
‘ตั้งแต่เมื่อใดกันที่ซุนมี่มี่มีคนรัก? ’
ชายหนุ่มตั้งข้อสงสัยขึ้นมาทันควัน หากหญิงสาวตรงหน้าอ้างตัวว่าเป็นซุนมี่มี่หลังจากที่ลดน้ำหนักจนงามเพียงนี้ มีคนรักก็คงมิใช่เรื่องแปลก ทว่าก่อนหน้านี้...
“ผู้ใด? ”
ดูท่าจุดประสงค์แรกที่จะสืบสวนได้แปรเปลี่ยนไปเป็นที่เรียบร้อย
เมื่อซุนมี่มี่นึกถึงใบหน้าของคนเลี้ยงม้าที่หลงรักมาหลายปีก็เริ่มน้ำตาคลอเบ้า ดวงตาแสบร้อนจากการร้องไห้มาหลายคืนทำให้นางกะพริบตาถี่ แลดูเป็นภาพที่น่าสงสารและเวทนายิ่งนัก “เขา... มีนามว่าตงซือ เป็นคนเลี้ยงม้าในวังพิชิตบูรพาแห่งนี้เพคะ”
ไม่รู้เพราะเหตุใดเจ้าของร่างสูงโปร่งจึงได้ลอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก อาจเป็นเพราะอย่างน้อยซุนมี่มี่ที่เคยอวบอ้วนก็ไม่เคยไปยุ่งวุ่นวายกับบุรุษมียศศักดิ์คนใด จนอาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ในภายภาคหน้า
ประเดี๋ยวก่อน เช่นนี้ก็หมายความว่าเขาเชื่อว่านางคือ ‘ซุนมี่มี่’ จริงๆ น่ะหรือ?
“ซุนมี่มี่” พระพักตร์ของท่านอ๋องน้อยกลับมาเคร่งขรึมจริงจัง
“เพคะ” นางพยายามกลั้นน้ำตาเพราะเกรงกลัวต่ออาญา นางมิอาจคาดเดาอารมณ์ของผู้เป็นนายได้เลย
“ข้าเห็นคนร้ายเข้าไปในห้องของเจ้า เจ้ารู้จักเขาหรือไม่”
ซุนมี่มี่รีบส่ายหน้าทันที “ไม่รู้จักเพคะ”
พอกล่าวถึงบุรุษในชุดดำผู้นั้นขึ้นมาแล้ว ใบหน้าขาวซีดก็พลันแดงก่ำขึ้นมาด้วยความอับอาย
เจ้าคนแปลกหน้าผู้นั้นกล้าขโมยจุมพิตแรกของนางไป!
นางกำนัลผู้ต่ำต้อยรู้สึกราวกับถูกพรากบางสิ่งที่บริสุทธิ์และสำคัญเท่าชีวิตไปอย่างมิอาจหวนคืน อารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วส่งผลให้ร่างกายที่อ่อนล้าเป็นทุนเดิมอยู่แล้วยิ่งทรุดหนัก นางรู้สึกเหมือนศีรษะของตนเองล่องลอยสูงขึ้น ภาพเบื้องหน้าคล้ายถูกน้ำนมสาดเข้าใส่จนกลายเป็นสีขาว
ร่างในอาภรณ์สีครามล้ำค่าผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ตามสัญชาตญาณ เมื่อพบว่าหญิงสาวเป็นลมคอพับทั้งที่ยังถูกล่ามอยู่บนเก้าอี้ เมื่ออีกฝ่ายมิได้สติจึงฉวยโอกาสพินิจมองใบหน้าของนางอย่างละเอียดดูอีกครั้ง
หากซุนมี่มี่ไม่มีแก้มใหญ่เท่าฝ่ามือ ใบหน้าก็อาจจะเรียวยาวเป็นทรงไข่เยี่ยงนี้
หากซุนมี่มี่ไม่มีแก้มใหญ่เท่าฝ่ามือ ดวงตากลมโตหวานซึ้งก็คงจะกลมโตเยี่ยงนี้
หากซุนมี่มี่ไม่มีแก้มใหญ่เท่าฝ่ามือ ริมฝีปากที่ไม่ถูกบีบก็คงอวบอิ่มเป็นรูปกระจับเยี่ยงนี้
“ตงซือ... เช่นนั้นหรือ” เสียงนุ่มทุ้มพึมพำแผ่วเบา ก่อนที่เยว่หมิงจะจัดการปลดโซ่พันธนาการออกจากร่างบอบบางให้เป็นอิสระ
วันนี้แม้ไม่ได้ความมากนัก แต่หลังจากนี้เขาคงต้องจับตาดูนางให้ดี ไม่ว่าอย่างไรนางก็มีโอกาสได้ใกล้ชิดกับคนร้าย อาจมีความเป็นไปได้สูงว่ามันอาจจะลักลอบแอบมาพบนางอีก
...ซุนมี่มี่อ้วนกลมคงปลอดภัยจากภัยคุกคามเหล่านี้ แต่ซุนมี่มี่ในปัจจุบันคงรังแต่จะดึงดูดสารพัดบุคคลเข้ามาหาตนเองอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง