หนึ่ง
ข้าน้อยคือซุนมี่มี่
ที่ผ่านมาซุนมี่มี่เป็นเพียงบ่าวไพร่ไร้ความโดดเด่น จึงไม่แปลกที่จะไม่เคยได้รับการดูแลที่ดีนัก แต่ถึงอย่างไรนางก็เป็นสตรีที่ไม่เคยถูกปรนนิบัติอย่างรุนแรงและป่าเถื่อน
...แล้วไอ้การถูกนำตัวมาผูกล่ามใส่เก้าอี้กลางคุกใต้ดินแห่งวังพิชิตบูรพาเช่นนี้ มันไม่ถือว่าข้ามขั้นความโหดร้ายเกินไปหน่อยรึ!
หญิงสาวยามนี้สวมใส่เสื้อผ้าเนื้อบาง เหงื่อไคลไหลชโลมกาย ขณะที่ใบหน้าซีดขาวเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก ตัวสั่นดั่งลูกนกเสียขวัญแลดูน่าสงสารยิ่งนัก
รอบกายนางมีทหารร่างกำยำกว่าสิบนายสวมชุดเกราะเต็มยศ มือขวาแนบลงบนด้ามดาบที่ห้อยอยู่ข้างกาย มือซ้ายถือคบเพลิงส่งแสงสีส้ม กลิ่นอายคุกคามกดดันแผ่มาจากทั่วทุกสารทิศ ทุกสายตาล้วนพุ่งเป้ามายังอิสตรีร่างบาง
“เจ้าเป็นใคร!” เสียงทรงอำนาจของชายหนุ่มในชุดสีครามดังสะท้อนก้องไปมา ชวนขนหัวลุกเสียจนร่างเล็กหลับตาปี๋ รีบร้องบอกออกไป
“ข้าน้อยคือซุนมี่มี่”
ท่านอ๋องน้อยพระพักตร์ดำคล้ำ ซุนมี่มี่เป็นสตรีร่างอวบอ้วนที่เติบโตมาพร้อมกัน นางถือสิทธิ์อันใดมาใช้ชื่อคนของตำหนักอิงหย่ง ถือสิทธิ์อันใดมาใช้ชื่อคนของเขา!
“ใครส่งเจ้ามา!”เสียงเข้มแผ่คำรามด้วยโทสะดังกึกก้องยิ่งกว่าเก่า ก่อนหน้านี้มีคนร้ายลอบเข้าวังพิชิตบูรพาอยู่บ่อยครั้ง ที่ผ่านมาพวกเขาไม่เคยรู้ว่าอีกฝ่ายมาด้วยจุดประสงค์อันใดเพราะไม่เคยจับได้ ในเมื่อคืนนี้จับคนมาได้ย่อมต้องใช้โอกาสนี้ให้คุ้มค่า
“ข้าน้อยคือซุนมี่มี่”
คราวนี้หน้ามิใช่พระพักตร์เท่านั้นที่ดำทะมึน พระเนตรยังถลึงจ้องจนแทบถลนออกจากเบ้า ทหารทั้งหลายต่างเกร็งสีหน้าดุดันเคร่งขรึม ภายในใจเต็มด้วยความเคลือบแคลงสงสัย นักโทษหญิงผู้นี้อ้างตัวว่าเป็นนางกำนัลของตำหนักอิงหย่ง แต่มีหรือที่พวกเขาจะไม่เคยเห็นสาวงามผู้นี้เข้านอกออกในวังพิชิตบูรพาแห่งนี้แม้แต่ครั้งเดียว
เป็นไปได้หรือว่าจะเป็นคนในที่ค่อนข้างเก็บตัว?
ไม่มีทาง! ฟังเช่นไรก็แปลกพิกล น่าสงสัยเกินไป...
“ดี”
สุรเสียงเย็นยะเยือกชวนขนลุกส่งผลให้ผู้ฟังทั้งหลายเผลอกลั้นหายใจด้วยความหวาดกลัว แต่เดิมท่านอ๋องน้อยทรงมิใช่ผู้ที่ชอบส่งเสียงดังหรือโวยวาย ที่ผ่านมาทรงแทบไม่เอ่ยปากหรือเสวนากับบ่าวผู้น้อย
ดังนั้นคราวนี้ซุนมี่มี่จึงหวาดกลัวถึงขีดสุด
โฉมสะคราญร่างน้อยน้ำตารินอาบแก้มนวล ร่างกายทั้งเหนื่อยทั้งล้า นัยน์ตาหวานซึ้งช้อนมองบุรุษผู้ทระนงอย่างน่าสงสาร “ท่านอ๋องน้อย ข้าน้อยคือซุนมี่มี่ นางกำนัลของตำหนักอิงหย่ง ตำหนักของท่านอ๋องน้อยเองเจ้าค่ะ”
ร่างสูงโปร่งสาวเท้าเข้ามาใกล้นางมากขึ้น กลิ่นอายสูงศักดิ์คุกคาม ส่งผลให้ผู้ที่เกิดมาเป็นบ่าวรีบก้มศีรษะมองต่ำตามความเคยชิน นางสัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนผ่าวที่เป่ารดลงบนศีรษะ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงทุ้มแหบที่กระซิบลงข้างหู
“ดูท่าข้าคงต้องตัดนิ้วของเจ้าแล้วกระมัง”
เพราะทรงเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นสตรีจึงมิอยากลงไม้ลงมือ แต่ในเมื่อนางปากแข็งและพูดจาโกหกเยี่ยงนี้... เห็นทีถ้าหากไม่ลงมือทรมานก็คงมิได้คำตอบ
ซุนมี่มี่สะดุ้งสุดตัวก่อนจะเบ้หน้าเมื่อแรงรัดจากโซ่ตรวนบาดเข้าผิวเนื้อบางจนเกิดรอยช้ำ ก่อนหน้านี้อกหักจนจิตใจหมองเศร้ายังพอว่า มายางนี้นางซึ่งตลอดชีวิตทำงานให้กับวังพิชิตบูรพาด้วยความจงรักภักดี แต่กลับถูกกล่าวหาว่าเป็นคนร้ายแถมยังจะโดนตัดนิ้ว
สวรรค์ช่างไม่ยุติธรรมกับนางเอาเสียเลย!
ไม่ได้การ ในเมื่อถึงขั้นนี้ นางต้องพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ทุกคนรู้ว่านางคือนางกำนัลแห่งวังพิชิตบูรพาจริงๆ
“ท่านอ๋องน้อย” นางละล่ำละลั่ก ตะโกนเสียงดังเกินความเหมาะสมด้วยความลืมตัว “ที่พระกรรณข้างซ้ายทรงมีรอยแผลเป็นเนื่องจากถูกมีดแกะสลักบาดในวัยเก้าชันษา ทรงมิโปรดเสวยวานโต้ว[1] แต่มิยินยอมแจ้งห้องเครื่องเนื่องจากเกรงว่าจะเสียพระพักตร์ ครั้งหนึ่งในวัยสิบสองชันษายังให้ข้าน้อยปีนไปเก็บดอกเหมยเพื่อนำไปมอบให้องค์หญิงอวี้หราน แล้วก็ยังมี...”
เยว่หมิงถอนกายออกห่างสตรีพูดมากก่อนจะยกมือห้ามด้วยสีหน้าถมึงทึง “พอ!”
ซุนมี่มี่ปิดปากเงียบ ลอบมองร่างสูงโปร่งที่กำลังใช้มือนวดคลึงระหว่างคิ้วด้วยสีหน้าคาดหวัง หวังว่าท่านอ๋องน้อยจะทรงเชื่อเสียทีว่านางคือนางกำนัลที่เติบโตขึ้นมาในตำหนักของอีกฝ่าย
เงียบสนิท... ทุกอย่างเงียบมากเสียจนหญิงสาวได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นกระหน่ำรัวราวกับลั่นกลองของตนเอง ทุกลมหายใจที่ผ่านพ้นเต็มไปด้วยความลุ้นระทึก มิอาจหยั่งรู้ได้เลยว่าท่านอ๋องน้อยทรงครุ่นคิดสิ่งใดอยู่
โครก...
ทหารทั้งหลายรีบหันมามองหน้ากันเลิ่กลั่กเมื่อได้ยินเสียงคำรามประหลาดนั้น
โครก...
มีครั้งแรกแล้วก็ย่อมมีครั้งที่สอง และคราวนี้ที่ชัดเจนที่สุดคือมันมาจากผู้ที่ถูกโซ่ล่ามติดเก้าอี้กลางห้องขัง
ซุนมี่มี่ไม่ได้กินข้าวเต็มอิ่มมาหกวัน ครั้นต้องใช้ความคิดหรือใช้พลังงานมากหน่อยก็หิวจนหน้ามืดตาลาย เยว่หมิงซึ่งกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจพลันบังเกิดความคิดบางอย่าง
‘สตรีงดงามผู้นี้จะใช่นางกำนัลตัวอ้วนกลมแน่หรือ’
ชายหนุ่มจับจ้องดวงตาปูดโปนที่มีเค้าความคุ้นเคยอยู่บ้างเล็กน้อย จากนั้นจึงหันไปสั่งการทหารทั้งมวลด้วยน้ำเสียงอันน่าเกรงขาม “พวกเจ้าออกไปให้หมด นำสำรับอาหารมาที่นี่หนึ่งชุด”
ผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งหลายหันมามองหน้ากัน แม้จะสงสัยแต่ก็มิกล้าเอ่ยปากถาม การให้นักโทษกินข้าวดูจะไม่ใช่วิธีการทรมาน ทว่าต่อให้ในใจอยากจะเอ่ยแจ้ง สิ่งเดียวที่ทำได้คือก้มหน้ารับคำสั่งเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
“พ่ะย่ะค่ะ”
ทหารกล้าแห่งวังพิชิตบูรพากว่าสิบนายแขวนคบเพลิงไว้ตามมุมเสา จากนั้นก็พากันล่าถอยออกมาจากคุกใต้ดินอย่างเงียบเชียบ
“ท่านอ๋องน้อยมิทรงโปรดเสวยวานโต้ว...” คนหนึ่งพูด
“ใช่ ท่านอ๋องน้อยมิโปรดวานโต้ว...”
พวกเขาพากันบ่นงึมงำก่อนจะย้ำกับตนเองให้ไปบอกห้องเครื่องว่า ต่อไปนี้ที่ตำหนักอิงหย่งจะต้องไม่มีวานโต้วปะปนอยู่ในเครื่องเสวยเป็นอันขาด
[1]วานโต้ว (**) แปลว่า ถั่วลันเตา