“ลงทะแมะคุณหนู รอหยัง” (ลงสิคุณหนู รออะไร) กล้าเอ่ยปากเมื่อเห็นว่าเขาจอดจักรยานนานแล้วแต่ขนมไม่ยอมลงรถเสียที
“ฮอดแล้วบ่ คือจั่งใกล้แท้ล่ะมื้อนี่ สิบ่ทับเส้นบักปาล์มอีกบ่?” (ถึงแล้วเหรอ ทำไมใกล้จังล่ะวันนี้ จะไม่ทับเส้นไอ้ปาล์มเหรอ) ขนมถามเมื่อเห็นว่าวันนี้กล้าพามาหาอึ่งใกล้กว่าทุกวัน ปกติในหมู่บ้านจะมีขาโจ๋ชื่อ ปาล์ม ที่ชอบคอยหาเรื่องหากมีใครหากินในอาณาเขตที่มันชอบหาแม้จะไม่ใช่ที่ดินตัวเองก็ตาม
“บ่ทับดอก แม่มันบ่สบาย นอนโรง’บาลได้สามวันแล้ว” (ไม่ทับหรอก แม่มันไม่สบาย นอนโรง’บาลได้สามวันแล้ว)
“ออ” ขนมพยักหน้าตอบ แล้วก้าวขาลงจากจักรยาน ในมือถือข้องใส่อึ่ง สวิงตักปลา พร้อมทั้งไฟส่องกบบนหน้าผาก
“ไปห้วยแถวไร่ข้าวโพดดีกว่าวันนี้”
“มันหลายติ”
“กะสิหลายดั้วะ บักปาล์มมันไปหาแต่นั่นทุกเที่ย” (ก็จะมากแหละ ไอ้ปาล์มมันไปหาที่นั่นทุกครั้ง)
พูดจบก็เดินนำหน้า ขนมเดินตามไปติดๆ ทางไปลำห้วยค่อนข้างลื่นแฉะเต็มไปด้วยแอ่งน้ำน้อยใหญ่ขนมใส่รองเท้าบูทป้องกันอย่างดี
ฝนยังคงตกปรอยๆ ท้องฟ้ามืดครึ้มเพราะเป็นเวลาราวๆ สองทุ่มแล้ว
“ถึงแล้ว ลุยโลดบาดหนิ” (ถึงแล้วลุยเลยทีนี้) กล้าหยุดเดินส่องไฟส่งสัญญาณให้ขนมที่กำลังเดินตามดูอึ่งที่กำลังร้องระงมในลำห้วย
“ป้าดดดด หลายคั้ก สมพอบักปาล์มมันขี้หวงบ่ให้ไผมาหากินทับเส้นมันละแม้” (โห เยอะมาก ถึงว่าไอ้ปาล์มมันหวงไม่ให้ใครหากินทับเส้นมัน) ขนมมองลงไปยังลำห้วยสายเล็กๆ เริ่มทำการเอาสวิงขึ้นมาตักด้วยตาลุกวาว วันนี้รวยแล้ว
หลังจากหาอึ่งไปเกือบชั่วโมง ได้จนเกือบเต็มข้องใหญ่ ขนมก็วางมือจากการหา เธอรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวบางอย่าง มือที่ถือไฟส่องไปมองไปข้างๆ ที่มืดสนิทนั่นคือป่าข้าวโพดของคนในหมู่บ้าน
“ชะ.ช่วยหน่อย” เสียงเบาหวิวเอ่ยพาดผ่านสายลม ขนมได้ยินแต่ไม่แน่ใจนักพยายามตั้งใจเงี่ยหูฟังอีกครั้งแต่กลับว่างเปล่า
“กล้าๆ มึงได้ยินคือกูบ่?” (กล้าๆ มึงได้ยินเหมือนกูไหม?)
“เสียงอึ่งติ?” (เสียงอึ่งเหรอ?)
“บ่ เสียงคน” (ไม่ เสียงคน)
“ห่วย คือว่าจั่งซั่นล่ะคุณหนู เสียงคนหยังสิอยู่นี่” (เอ้ะ ทำไมพูดแบบนั้นเสียงล่ะคุณหนู เสียงคนอะไรจะอยู่นี่) กล้าเดินเข้ามาใกล้ๆ ขนม มองซ้ายมองขวาขนลุกซู่
“เอ้า กูได้ยินอีหลี” (เอ้า กูได้ยินจริงๆ)
“ชะ.ช่วยที ใครอยู่ตรงนั้น”เสียงทุ้มหนักขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย ราวกับกำลังหมดเรี่ยวแรงซึ่งพยายามอย่างมากในการเค้นเสียงสู้กับเสียงสัตว์นานาชนิดที่ร้องระงม
“เฮ้ยยย!” ทั้งสองได้ยินเบิกตากว้างมองหน้ากัน
“มึงว่าแม่นคนบ่?” (มึงว่าใช่คนไหม?)
“คือสิแม่นดอกเสียงชัดปานนี้” (คงจะใช่หรอก เสียงชัดขนาดนี้)
“แล้วเฮาสิเฮ็ดจั่งใด๋?” (แล้วเราจะทำยังไง?)
“คุณหนูย่างนำหน้าเลยครับ” (คุณหนูเดินนำทางเลยครับ)
“เอ้า บักนี่แม้ะ” (เอ้า ไอ้นี่หนิ) ขนมมองกล้าที่เดินไปหลบข้างหลังอย่างขี้ขลาดตาขาว
เธอสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ เพื่อทำใจสู้ แม้ไม่รู้ว่าคนหรือผี แต่ก็ควรจะไปดูเสียหน่อย เกิดเป็นคนหาอึ่งบาดเจ็บจะได้ช่วยไว้ทัน หากเป็นผีเธอวิ่งเก่งอยู่แล้วจะกลัวอะไร
ว่าแล้วก็เดินตามทิศของเสียงที่ได้ยินเมื่อครู่ ทั้งสองหยุดอยู่หน้าไร่ข้าวโพดที่ต้นสูงท่วมหัวเล็กน้อย พยายามส่องไฟเพื่อหาต้นตอ แต่หายังไงก็หาไม่เจอ
“อยู่นี่” เสียงเบาหวิวเอ่ยครั้ง ครานี้ทั้งสองส่องไฟไปยังทิศทางเดียวกัน
“ผะ...ผี” กล้าร้องเสียงดังกำลังจะวิ่งแต่ขนมดึงแขนไว้ทัน
“กล้า มึงตั้งสติดุ้” (กล้า มึงตั้งสติหน่อย)
“คะ...คุณหนูเห็นคือผมบ่?” (คุณหนูเห็นเหมือนผมไหม?)
“เห็น แต่นั่นมันคน” ขนมตัดสินใจเดินเข้าไปไม่รอช้า ดูเหมือนว่าคนตรงหน้าจะบาดเจ็บสาหัส กล้าที่เห็นว่าขนมเดินไปจึงเดินตามไปด้วยอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“ป้าดดดด สภาพตาย่านคั้ก” (โหวว สภาพน่ากลัวมาก) ทันทีที่เห็นชัดๆ ขนมก็อ้าปากเหวอทันที
คนตรงหน้าไม่รู้อายุอานาม สวมใส่ชุดดำล้วนพร้อมแจ็คเกตหนังสีดำสภาพสะบักสะบอมไปทั้งตัว คราบเลือด คราบโคลนเปรอะเปื้อนไปทั้งใบหน้า ปากขาวซีดคงเพราะตัวเปียกจากฝนตกทั้งตัวเขาเลยดูซีดเซียวจนน่ากลัว
“แม่นเราไปเฮ็ดหยังมาคือเป็นสภาพนี้ได้ สิบ่แม่นโจร แม่นพวกคนบ่ดีบ่คุณหนูคือจั่งได้เป็นแบบนี้” (เขาไปทำอะไรมาถึงได้เป็นสภาพนี้ จะไม่ใช่โจร ใช่พวกคนไม่ดีเหรอคุณหนูถึงได้เป็นแบบนี้)
“โจรน่ะบ่แม่นแท้ๆ เบิ่งจากสภาพการใส่แบรนด์เสื้อผ้า นาฬิกา แต่คนดีหรือคนเลวกะบ่ฮู้” (โจรน่ะไม่ใช่แน่ๆ ดูจากการใส่แบรนด์เสื้อผ้า นาฬิกา ส่วนคนดีหรือคนเลวก็ไม่รู้) ขนมถอนหายใจ คิ้วสวยขมวดครุ่นคิดชั่งน้ำหนัก
ไม่รู้ว่าเขาเป็นคนดีหรือเลว หากเป็นคนเลวเราช่วยเขาไว้เขาคงไม่ทำอะไรเราหรอก หากเป็นคนดีแล้วไม่ช่วยเกิดตายขึ้นมาคงรู้สึกผิดไปทั้งชีวิต เมื่อพิจารณาแล้วก็หันไปสั่งกล้า...
“กล้า มึงฟ้าวปั่นจักรยานไปเอารถพ่วงข้างมาไป๊” (กล้า มึงรีบปั่นจักรยานไปเอารถพ่วงข้างมา)
“...” กล้าพยักหน้าตอบรับกำลังจะรีบวิ่งกลับไปยังถนนใหญ่ที่จอดจักรยานไว้แต่ขนมเอื้อมแขนไปดึงเขาไว้ก่อน
“อย่าพึ่ง มึงดูแลอึ่งดีๆ นำ ไปฮอดบ้านเอาขังใส่โอ่งไว้ก่อน อย่าให้เสียหายเด็ดขาด” (เดี๋ยว มึงดูแลอึ่งดีๆ ด้วย ไปถึงบ้านเอาขังใส่โอ่งไว้ก่อน อย่าให้เสียหายเด็ดขาด)
“โอเค” กล้ารับคำสั่งแล้วก็รีบไปทันที
“เป็นหยังหลายบ่น้อ” (เป็นอะไรมากไหมคะ) เมื่อสั่งการเสร็จสรรพขนมจึงเดินเข้าไปพยุงเขาขึ้น ดวงตาคมเข้มน่าเกรงขามสบตาเธออย่างโกรธเคืองก่อนจะปิดลงเพราะไร้เรี่ยวแรง
“เอ้า สลบไปเสย จิตายบ่น้อแบบหนิ” (อ้าว สลบเฉยเลย จะตายไหมนะแบบนี้) มือเล็กตบแก้มเขาเบาๆ รัวๆ เมื่อเห็นไม่ตื่นเธอจึงเอานิ้วชี้ตรวจลมหายใจที่จมูก “นึกว่าตายแล้ว” เธอพ่นลมหายใจด้วยความโล่ง
รอสักพักกล้าก็มาพร้อมกับมอเตอร์ไซต์พ่วงข้างสีน้ำเงิน ก่อนจะขับเลยไปตีโค้งแล้วจอดรับ กล้าลงมาช่วยขนมหอบร่างสูงใหญ่ขึ้นรถด้วยความทุลักทุเล จนแล้วจนรอดในที่สุดก็สามารถดันร่างสูงขึ้นมาบนรถได้เรียบร้อย
“โอ้ย โตหนักอีหลีว้ะ ว่าแม่นแบกซ้าง” (โอ้ย ตัวหนักจริง นึกว่าแบกช้าง)
“จ่มหลายคุณหนู ไปเถาะหนาว” (บ่นมากคุณหนู ไปเถอะหนาว) กล้าหันมาบ่น ขนมเดินอ้อมไปซ้อนท้ายกล้าโดยปล่อยให้ชายแปลกหน้านอนในส่วนของพ่วงข้าง
หลังจากถึงบ้านก็แบกเขาลงไปยังห้องนอนของกล้า บ้านที่เธออยู่เป็นแบบบ้านสวนล้อมรอบด้วยทุ่งนา และติดสระน้ำ โดยมีบ้านน็อคดาวน์เล็กสองหลังติดกัน เธอและกล้านอนคนละหลัง
“มึงไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เซ็ดโตให้เพิ่นก่อนเดี๋ยวกูสิไปเอายามาทำแผล” (มึงไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เช็ดตัวให้เขาก่อนเดี๋ยวกูจะไปเอายามาทำแผล)
“ครับคุณหนู”
ขนมขึ้นไปบนบ้านอาบน้ำอาบท่าแล้วรีบถือกล่องปฐมพยาบาลติดมือไปยังห้องกล้าทันที
เมื่อไปถึงเห็นกล้าจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้า เช็ดตัวเช็ดหน้าชายแปลกหน้าจนสะอาดหมดแล้ว พร้อมทั้งใส่ชุดนอนของกล้าที่ดูสั้นขึ้นมาประมาณหนึ่งเมื่อเขาใส่ และตอนนี้กล้ากำลังอาบน้ำอยู่
ขนมก้มลงพิจารณาคนตรงหน้าที่นอนบนเตียงอย่างไร้สติ คิ้วหนาเข้มแพขนตาตรงยาว จมูกโด่งเป็นสันรับกับริมฝีปาก ใบหน้าได้รูปหล่อเหลาราวกับรูปปั้น แม้ใบหน้าจะมีแผลเล็กแผลน้อยแต่กลับดูคมเข้มน่าเกรงขาม
“ป้าดดด ว่าแม่นดารา” (โหวว นึกว่าดารา)
“แหนะ บ้าผู้ชายอีกแล้ว” กล้าเดินออกมาจากห้องน้ำพอดีกับที่ขนมกำลังเอ่ยชมชายตรงหน้า
“มึงกะคิดคือกูแม่นบ่?” (มึงก็คิดเหมือนกูใช่ไหม)
“หล่ออิหลีล่ะ” (หล่อจริงๆ แหละ) กล้าพยักหน้า
“วาสนาไผน้อ?” (วาสนาใครนะ?)
“คุณหนูกะลองเบิ่งติ้ล่ะครับ เพิ่นเป็นฮอดสารวัตรพู้นเดะ” (คุณหนูก็ลองดูสิครับ เขาเป็นถึงสารวัตรเลยนะ) ตอนนี้เขาวางใจเรื่องชายแปลกหน้าไปกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์แล้วเพราะค้นเจอกระเป๋าเงินของเขาและในกระเป๋าเงินมีบัตรตำรวจอยู่
“อีหลีติ” (จริงเหรอ) ขนมตาลุกวาว ไม่น่าเชื่อว่าคนที่ช่วยมาคือตำรวจ...
ดีเลย ตอนเช้าตื่นมาจะขายอึ่งที่ขังไว้ให้ โก่งราคาเสียหน่อยคงได้ค่าไฟเดือนนี้...