หลังจากนั้นจึงไม่มีการสนทนาอีกเลย กระทั่งมาถึงบ้าน รถตู้คันหรูสีขาวแล่นเข้ามาจอดหน้าคฤหาสน์ตฤณยากรอันแสนคุ้นเคย คนรับใช้วิ่งมารับทั้งบ้าน ขณะที่หญิงชราวัยหกสิบปียืนรอรับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เมื่อรถจอดสนิทปรายฟ้าก็เปิดประตูและวิ่งไปสวมกอดทันที
“ยายช้อย!” ปรายฟ้าเอ่ยเรียกหญิงชราซึ่งอยู่ในฐานะแม่บ้านใหญ่หรือเรียกอีกอย่างคือแม่นมของบิดานั่นเอง
“นางฟ้าของช้อย นึกว่าจะไม่กลับมาดูดำดูดีคนแก่แล้วเสียอีก” ยายช้อยของเธอพูดทีเล่นทีจริงพลางลูบเรือนผมอย่างแสนรัก แม้จะเป็นเจ้านายแต่ก็เลี้ยงดูไม่ต่างกับลูกหลาน กระทั่งบินไปเรียนต่อเมืองนอกเมืองนา
“ยายช้อยก็ นางฟ้าคิดถึงยายช้อยที่สุดในโลก” ขนาดคิดถึงที่สุดในโลก แต่เรียนจบแล้วยังไม่ยอมกลับบ้าน ทุกคนคิด
“ปากหวาน เข้าไปข้างในกันดีกว่าค่ะ ช้อยทำของโปรดแถมด้วยขนมหวานของชอบด้วย” ยายช้อยบอกอย่างเอาใจก่อนจะถือวิสาสะจูงมือเจ้านายคนสวย
“จริงเหรอคะ งานนี้นางฟ้าอ้วนแน่ๆ เลย” ปรายฟ้าเอาใจคนแก่ด้วยน้ำเสียงหวานออดอ้อน
“จ้ะ” พูดจบยายช้อยก็จูงมือปรายฟ้ากลับเข้าบ้านไปโดยไม่สนใจเจ้านายอีกสองคนเลยแม้แต่นิดเดียว จากนั้นทุกคนจึงได้เดินตามมาที่โต๊ะอาหาร ขณะที่เฮนรี่ยกกระเป๋าของปรายฟ้าขึ้นไปไว้บนห้อง แต่จังหวะเดียวกันนั้นปรายฟ้าก็เผลอหันไปมองเฮนรี่ด้วยความลืมตัว ซึ่งเป็นจังหวะที่เขามองอยู่ก่อนแล้ว ทำให้ปรายฟ้ารู้สึกร้อนๆ หนาวๆ วูบวาบบนใบหน้าแปลกๆ จึงรีบเมินกลับ เช่นเดียวกันเมื่อมองเจ้านายสาวด้วยสายตาเย็นชาแล้วเฮนรี่ก็เดินขึ้นบ้านทันที
“อื้อหือ! กระเพราหมูสับกับไข่ดาว น่าอร่อยมาก” ปรายฟ้าหันกลับมาแล้วแสร้งให้ความสนใจกับอาหารบนโต๊ะ และบอกด้วยความตื่นเต้น พร้อมกับนั่งที่เก้าอี้ซึ่งติดกับหัวโต๊ะพอดี
“แน่ะๆๆ ไม่น่ารักเลยค่ะคุณหนู ไม่เอาไปล้างมือเสียก่อน แล้วค่อยมาทาน” ยายช้อยท้วงขึ้นตามประสาคนแก่เจ้าระเบียบ แต่ก็จริง นั่งเครื่องบินมาตั้งหลายชั่วโมง มือเรียวสวยยังไม่ได้ล้างสักนิด จะหยิบจับอะไรก็ดูจะไม่งาม
“อ้าว! แล้วตกลงอยากให้ฟ้าทานหรือเปล่า ถ้าไม่ให้ทานฟ้าจะขึ้นไปนอนพักแล้ว” ปรายฟ้าแสร้งงอนเง้าไปอย่างอย่างนั้นเอง
“ให้ทานสิคะ แต่ต้องไปล้างมือเสียก่อน” ยายช้อยยังคงบอกและยิ้มด้วยความเอ็นดู
“ไม่เอาให้ฟ้าชิมก่อน” พูดจบปรายฟ้าก็รีบตักอาหารเข้าปากทันที แล้วเคี้ยวตุ้ยๆ ราวกับเด็กๆ
“หืม! อร่อยที่สุดเลยค่ะยายช้อย ที่โน่นหาทานแบบนี้ก็ไม่ได้ ทำเองก็ไม่อร่อย” เธอออกปากชมอย่างเอาใจ
“ทำเองเหรอ อย่างกับทำอาหารเป็นน่ะเรา ไปกินที่ร้านล่ะสิไม่ว่า” บิดาอดแซวไม่ได้
“คุณพ่ออ่ะ ฟ้าทำไข่เจียวอร่อยนะคะ” นางฟ้าก็สมเป็นนางฟ้านั่นแหละ เพราะทำอะไรไม่เป็นนอกจากทำงานเก่ง และเรียนเก่งเท่านั้น
“อยากชิมเหลือเกิน” ฟังพ่อลูกแซวกันเถอะน่าเอ็นดู ไม่เห็นบรรยากาศแบบนี้มานานแล้ว มารดาคิด
“เอาล่ะค่ะคุณท่านทั้งสองก็ไปล้างมือเสียด้วย แล้วก็ค่อยกลับมารับประทานพร้อมกันเลย เดี๋ยวช้อยจะตักข้าวไว้รอ” ยายช้อยไม่ได้เอ็ดแค่คุณหนูเท่านั้น แต่ยังลามไปถึงเจ้านายใหญ่ทั้งสองอีกด้วย
“ได้ครับคุณช้อย ป่ะแม่ลูก” บิดาบอกพลางยิ้มกริ่มก่อนจะเรียกภรรยาและบุตรสาวให้ไปเข้าห้องน้ำพร้อมกัน สักพักจึงได้พากันออกมารับประทานอาหารกันอย่างออกรส ถามทุกข์สุขกันตามประสาคนไม่ได้เจอกันนาน
“ยายช้อยจ๋ามาทานกับฟ้าเร็ว” ปรายฟ้าเอ่ยเรียกยายช้อยอย่างเป็นกันเอง
“คุณหนูทานเถอะค่ะ ช้อยทานเรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวช้อยเข้าครัวไปเตรียมของหวานให้ดีกว่านะคะ” ยายช้อยปฏิเสธเสียงหวานและอ่อนโยนเช่นเคย ถึงแม้ปรายฟ้าจะชวนจริงๆ แต่แม่บ้านอย่างยายช้อยก็ไม่กล้าที่จะนั่งร่วมรับประทานอาหารพร้อมกับเจ้านายแน่ๆ
“งั้นตามสบายนะแม่ช้อย” ประกิตบอกยิ้มๆ
“ค่ะคุณท่าน” จากนั้นยายช้อยจึงออกไปจากห้องอาหาร เพื่อให้เจ้านายทั้งสามได้รับประทานอาหารกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา กระทั่งผ่านไปเพียงชั่วครู่เท่านั้นยายช้อยก็กลับเข้ามาพร้อมกับถาดของหวานในมือ จากนั้นจึงวางเสิร์ฟเอาไว้ตรงกลางโต๊ะเพื่อทุกคนจะได้เอื้อมถึง เมื่อเสิร์ฟเสร็จแล้วจึงออกไปอีกครั้ง แต่พอยายช้อยไปแล้วปรายฟ้าก็กลับมามีสีหน้าหมองเศร้าราวกับคนละคน รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าเริ่มจางหายจนบิดามารดานึกสงสัย หมายความว่าเมื่อครู่แสร้งหัวเราะ ร่าเริงสินะ
“อาหารยังไม่ถูกปากเท่าไหร่เหรอลูก” มารดาเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“ก็ อร่อยค่ะคุณแม่ แต่ฟ้ายังเพลียอยู่ก็เลยทานได้ไม่มาก” น้ำเสียงหวานออดอ้อนก่อนหน้านี้หายไป เหลือแต่ความหมองเศร้าเข้ามาแทนที่
“งั้นทานพออิ่มแล้วขึ้นไปพักผ่อนนะลูก แม่ให้คนไปทำความสะอาดห้องให้แล้ว”
“ขอบคุณค่ะ คุณแม่” เมื่อรับประทานไปได้นิดหน่อยปรายฟ้าก็หยิบขนมหวานเข้าปาก โดยไม่สนใจอาหารอีกเลยเพราะทานไม่ลง เวลานี้หัวใจนึกถึงแต่ชายคนรักที่ทำให้เธอต้องกลับมาเมืองไทยมาแบบนี้
“ฟ้าอิ่มแล้วค่ะ ขอตัวได้ไหมคะ พักให้หายเหนื่อยแล้วเราค่อยคุยกันนะคะคุณพ่อคุณแม่” ปรายฟ้าบอกกับทั้งสองท่าน จากนั้นจึงลุกจากเก้าอี้แล้วเดินไปเลย ทั้งสองจึงได้แต่มองตามบุตรสาวซึ่งกำลังเดินขึ้นบันไดไปจนกระทั่งลับตา ทว่าผ่านไปไม่ถึงนาที ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องดังขึ้นมาแทน
“อ้าย!” ปรายฟ้ากรีดร้องด้วยความตกใจ ทำเอาทุกคนที่อยู่ด้านล่างตกใจเช่นกัน เพราะคิดว่าเกิดเรื่อง ขณะเดียวกันบอร์ดี้การ์ดคนสำคัญที่ถูกจ้างมาเพื่อเธอก็รีบวิ่งขึ้นไปดูก่อนเลย
“คุณหนู! เกิดอะไรขึ้นครับ!” เฮนรี่พรวดพราดเข้าไปในห้องนอนด้วยความตกใจ และถามด้วยอาการร้อนรนเพราะคิดว่าปรายฟ้าเป็นอันตรายแน่ๆ
“เฮนรี่! นายมาจัดกระเป๋าฉันใช่ไหม!” ปรายฟ้าหันมาถามเฮนรี่อย่างเอาเรื่อง ดวงตาดุกร้าวน่ากลัว ความเป็นห่วงที่เขามีเมื่อครู่หายไปสิ้น
“เอ่อ คือ” ยังไม่ทันที่เฮนรี่จะได้ตอบ ประกิตผู้เป็นบิดาก็เดินขึ้นมาถึงพอดี
“มีอะไรกัน นางฟ้ากรี๊ดทำไมลูก” ประกิตถามด้วยความเป็นห่วง
“คุณพ่อ คุณพ่อให้เฮนรี่เอากระเป๋าฟ้ามาเก็บ แล้วให้จัดเสื้อผ้าเข้าตู้ให้ด้วยใช่ไหมคะ” เธอกำลังโวยวายและฟ้องบิดา
“อะไรนะ ถามแค่นี้เหรอ พ่อนึกว่าหนูเป็นอะไรเสียอีก พ่อไม่ได้สั่งแต่เฮนรี่ทำตามหน้าที่ หรือว่าไงเฮนรี่” ประกิตหันไปถามเฮนรี่น้ำเสียงเรียบ เหมือนขอความคิดเห็นมากกว่าที่จะตำหนิ
“เอ่อ ใช่ครับคุณท่าน ผมจัดกระเป๋าคุณหนูแล้วเอาเสื้อผ้าเข้าตู้” เฮนรี่ตอบเสียงเรียบแต่อึกอักเล็กน้อย
“อ๊าย! นาย! คุณพ่อ! กระเป๋าฉันมีแต่เสื้อผ้าผู้หญิงนะ! และของใช้ส่วนตัวผู้หญิง นายกล้าดียังไง” น้ำเสียงของปรายฟ้าวี๊ดว๊ายเสียงดังลั่นบ้านพลางชี้หน้าเขา
“คุณหนูเอ่อ ผม” เฮนรี่จะบอกว่าตัวเองซื่อไปเสียทุกอย่างสินะ แต่เปล่าเลยเขาเต็มใจทั้งหมดจนไม่นึกรังเกียจเลยแม้แต่นิดเดียว
“เงียบ! ไม่ต้องพูดเลย เห็นหมดแล้วใช่ไหมเนี่ยว่าอะไรเป็นอะไรน่ะ” ปรายฟ้ายังต่อว่าไม่หยุดปาก
“ครับ ก็... เห็น” เฮนรี่ตอบหน้าตาเฉยอีกครั้ง
“อ๊าย! คอยดู นายเจอดีแน่ วันแรกก็ก่อเรื่องเลย” เขาก่อเรื่องตรงไหน ให้ตายสิไม่ได้ทำอะไรเสียหน่อย
“ผมไม่ได้ทำอะไรเสียหน่อย” เฮนรี่แก้ตัวและปรับสีหน้าเรียบเฉยจนน่าหมั่นไส้
“เอาน่ายัยฟ้า จัดแล้วก็จัดไปสิจะบ่นทำไม เฮนรี่ไปคุยกันที่ห้องทำงานฉัน” ประกิตสั่งเสียงเข้มทันทีเพื่อยุติการทะเลาะกัน จากนั้นจึงเดินกลับลงไปจากห้อง ส่วนเฮนรี่จำต้องเมินหน้าหนีจากสายตาพิฆาตของปรายฟ้า แล้วเดินตามประกิตลงไปเช่นกัน พอทุกคนลงไปแล้วปรายฟ้าจึงปิดประตูและสำรวจของใช้ของตัวเองทันที
“คนบ้า หยิบจับชุดชั้นในของเราเป็นว่าเล่นใช่ไหมเนี่ย” ปรายฟ้าออกปากบ่นพลางเปิดตู้เสื้อผ้าและเห็นทุกอย่างอยู่เป็นระเบียบเรียบร้อยดี อีกใจก็นึกชื่นชมที่ชายหนุ่มเก็บได้ดีเยี่ยมเลยทีเดียว เนียบกว่าผู้ชายทั่วไปล่ะมั้ง