พันธสัญญาโลหิต
ณ ดินแดนแห่งหนึ่งที่มีความอุดมสมบูรณ์เป็นอย่างมากได้มีชายชราคนหนึ่งนิมิตรเรื่องราวในอนาคตได้ ได้นิมิตเห็นไฟสงครามที่ใกล้เข้ามายังเมืองของตน ในเช้าวันรุ่งขึ้นจึงเรียกประชุมเหล่าตระกูลใหญ่และขุนนางทั้งหมดของเมืองว่าจะแก้ไขเรื่องนี้ยังไง
“ผู้อาวุโสอูลาเร่อปา ท่านเรียกพวกเรามารวมตัวกันแต่เช้าเช่นนี้มีเรื่องราวอันใดหรือ” ผู้นำตระกูลอู่ได้เอ่ยขึ้นมาอย่างงัวเงีย
“ข้าได้นิมิตเห็นบางอย่างที่มันน่ากลัว” เมื่อชายชรากล่าวจบภายในห้องประชุมต่างก็ตกอยู่ภายใต้ความเงียบสงบ
“เมื่อกี้ท่านบอกว่าท่านนิมิตหรือ ท่านนิมิตได้ถึงเหตุการณ์ใดผู้อาวุโสอูลาเร่อปาโปรดรีบกล่าวออกมา” ผู้นำตระกูลเปาได้เอ่ยออกมาอย่างเร่งรีบเพราะไม่มีผู้ใดไม่รู้ว่าผู้อาวุโสเร่อปาน่าลานิมิตแม่นขนาดไหน
“ข้าได้นิมิตเห็นว่าภายในอีก 5 ปีเมืองของเรานี้จะถูกรุกรานจากแคว้นอู๋ตี้ จนทำให้ชาวเมืองทั้งหมดบาดเจ็บล้มตายกันไปเกินครึ่ง โดยที่คนจากวังหลวงไม่มาช่วยเราแม้แต่คนเดียว”
“แล้วพวกเราจะทำเช่นไรกันดี ท่านพอจะทราบหรือไม่ว่าคนจากแคว้นอู๋ตี้มีจำนวนกี่คน”
“จากที่ข้าเห็นในนิมิตมีมากกว่า 3 แสนคน”
เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนั้นก็นั่งเงียบเพราะคิดไม่ออกว่าจะทำสิ่งใดกันดี
“ข้ามีความคิดมึงอยากจะเสนอเจ้าค่ะคุณปู่”
“เจ้าเข้ามาได้ยังไงกันเหมยเอ๋อ อี้เอ๋อ ที่นี่ผู้ใหญ่กำลังประชุมกันอยู่พวกเจ้ากลับไปรอพ่อที่จวนก่อน”
“ท่านเจ้าเมืองชิงชิว ข้าว่าให้พวกเขาลองเสนอความคิดดูก็ไม่เสียหายอันใดเพราะเด็กทั้งสองนี้มีความคิดที่เฉลียวฉลาดมาตั้งแต่วัยเยาว์ ไม่แน่พวกเขาอาจจะเสนอทางออกที่ดีให้เราได้”ผู้นำตระกูลเว่ยได้กล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม
“นั่นสิพี่ชิงหลานๆของข้านั้นล้วนแล้วแต่เป็นเด็กฉลาดลองฟังสักนิดหน่อยก็คงไม่เป็นอะไรหรอก”ผู้นำตระกูลลู่ได้เอ่ยออกมา
“ถ้าเช่นนั้นพวกเจ้าก็ลองเอ่ยความคิดของพวกเจ้าออกมาให้พ่อฟังหน่อยซิ”
“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านพ่อ ขอบคุณทุกคนเจ้าค่ะที่ให้พวกเราพูด ความคิดของลูกและน้องนั้นคือ ให้พวกเราเสริมกำแพงเมืองด้วยเหล็ก ท่านพ่อโปรดฟังลูกให้จบก่อนค่อยเอ่ยแย้ง” ชิงเหมยได้เอ่ยออกมาเมื่อเห็นว่าพ่อของตนกำลังจะเอ่ยแทรก
“ขอบคุณเจ้าค่ะ ที่ลูกได้เอ่ยเช่นนี้ก็เพราะเมื่อไม่กี่วันก่อนพวกเราเพิ่งค้นพบเหมืองเหล็กอีกหลายเหมืองเลยไม่ใช่หรือเจ้าคะ ในเวลาอีก 5 ปีก่อนที่ทางแคว้นอู๋ตี้จะยกทัพมาถึงพวกเราก็หลอมเหล็กเป็นแผ่นไม่หนาไม่บางมากแล้วเอามาประกบเสริมกำแพงเมือง ให้รอบเมืองของเราเช่นนี้จะทำให้อีกฝ่ายทำลายกำแพงเราได้ยากขึ้น เดิมทีน้องนั้นได้บอกกับลูกว่าให้สร้างกำแพงใหม่จากเหล็กทั้งหมดเลย แต่ลูกนั้นคิดว่าถ้าทำเช่นนั้นเหมืองแร่ของเราคงไม่พอ จึงเสนอความคิดว่าให้หลอมเหล็กเป็นแผ่นแล้วเอามาตอกยึดกับกำแพงเอาไว้เช่นนี้จะดีกว่าเจ้าค่ะ”
“ความคิดของเจ้านี้ไม่เลวเลย ถ้าทำเช่นนั้นต่อให้อีกฝ่ายมีกองกำลังมากขนาดไหนก็ยากที่จะทำลายกำแพงเมืองแล้วเข้ามาได้ พวกเราอาจจะให้ชาวบ้านหลบหนีออกจากเมืองได้ทันก่อนกำแพงแตกพอดี”
“แต่ลูกคิดว่าให้ชาวเมืองไปหาทำเลสร้างบ้านเอาไว้บนภูเขาตั้งแต่ตอนนี้เลยดีกว่าเจ้าค่ะ เพราะถ้ารอให้จนกว่าสงครามมาถึงลูกเกรงว่าอาจจะไม่ทัน”
“นั่นสิเหตุใดข้าจึงคิดเช่นนี้ไม่ออก แล้วเจ้าเล่าอาอี้ เจ้ามีความคิดเห็นเช่นไรบ้าง”
“หลานคารวะท่านอาลู่ หลานได้ออกไปสำรวจชัยภูมิของที่นี่มาแล้ว หลานได้มีความคิดว่าก่อนที่จะมาถึงเมืองของเรา มันได้มีช่องหน้าผาอยู่หลานเลยคิดว่าถ้าฝั่งศัตรูจะเดินทางมายังเมืองของเราต้องผ่านเส้นทางนั้น หลานจึงมีความคิดว่าถ้าเราทำกับดักเอาไว้ตรงช่องเขานั้นอาจจะทำให้ลดทอนศัตรูลงไปได้ไม่มากก็น้อยขอรับ” ชิงอี้ได้กล่าวออกมาอย่างหมายมั่น
“ทำกับดักหรอ แล้วพวกเราจะทำกับดักอันใดกันดี”
“หลานมีความคิดว่าการทำกับดักครั้งนี้ต้องขอพึ่งทางตระกูลอู่ ตระกูลเปาและตระกูลเว่ยแล้วเจ้าค่ะ”
“หมายความว่าเช่นไร”
“ที่หลานบอกว่าต้องพึ่งทางตระกูลอู่นั่นก็เพราะทางตระกูลอู่เชียวชาญเรื่องระเบิดและดินปืน หลานจึงคิดว่าให้ทางตระกูลอู่เตรียมระเบิดกับดินปืนเอาไว้ให้เยอะๆเมื่อใกล้ถึงสงครามให้นำดินปืนและระเบิดทั้งหมดเอาไปติดตั้งที่เชิงหน้าผาและตามหน้าผาทั้งหมด เมื่อศัตรูเข้ามาในระยะที่ต้องการให้ทำการจุดชนวนระเบิดเจ้าค่ะ”
“ได้ข้าจะกลับไปสั่งให้คนในตระกูลทำระเบิดและดินปืนเตรียมเอาไว้ให้เจ้า”
“แล้วส่วนที่พึ่งตระกูลเปา เพราะตระกูลเปาเชียวชาญเรื่องเครื่องหอมและสมุนไพร หลานเลยคิดว่าให้ทางตระกูลเปาเตรียมเครื่องหอมที่เป็นพิษที่รุนแรงเอาไว้ให้มากเมื่อตะกูลอู่ระเบิดหน้าผาให้ทางตระกูลเปาโยนเครื่องหอมที่เป็นพิษลงไปข้างใต้เพื่อที่จะให้เหล่าทหารของฝ่ายตรงข้ามตายด้วยพิษเจ้าค่ะ ไม่ทราบว่าทางตระกูลเปามีเครื่องหอมที่เป็นพิษหรือไม่”
“แน่นอนย่อมมีอยู่แล้ว เดี๋ยวข้าจะกลับไปให้คนที่ตระกูลปรุงเครื่องหอมปลิดวิญญาณเอาไว้ให้มากๆเมื่อถึงเวลาจะได้นำมาใช้ได้เลย”
“แล้วหลานนั้นจะขอให้ตระกูลเว่ยที่เชียวชาญเรื่องกู่และแมลงพิษ ให้เตรียมทั้งสองสิ่งเอาไว้ให้มากๆเมื่อทั้งสองตระกูลเริ่มโจมตีให้ปล่อยแมลงพิษที่เป็นมีปีกลงไปก่อนแล้วค่อยให้ท่านปล่อยกู่ลงไปทีหลังขอรับ ท่านเสียดายหรือไม่ถ้าเสียดายก็ไม่เป็นไรขอรับ”
“เสียดายบ้าบออะไรกัน เพื่อบ้านเกิดเมืองนอนของข้าต่อให้ใช้ทั้งชีวิตพวกข้าก็ไม่กลัว”
“เจ้าเมืองชิงชิว บุตรของท่านนั้นช่างเก่งกาจและเป็นนักวางแผนเสียจริง”
“ทุกท่านกล่าวชมเกินไปแล้ว”
“กล่าวชมเกินไปอันใดที่ข้าเห็นมีแต่เรื่องจริงในเมืองนี้มีบ้านไหนบ้างเล่าที่ไม่ได้รับการช่วยเหลือจากลูกของท่านทั้งสองคนนี้” เมื่อกล่าวจบทุกคนก็ได้หัวเราะออกมาอย่างโล่งใจที่ตนสามารถมีแผนรับมือได้แล้ว
“ถ้าลูกขออยากจะเสนอความคิดอีกสักอย่างนึงได้หรือไม่เจ้าค่ะทุกท่าน”
“ไหนเจ้าลองพูดซิว่าอยากเสนออะไร”
“ลูกอยากเสนอให้ที่ประตูเมืองของเรานั้นให้หลอมเหล็กแผ่นใหญ่นำมาขวางประตูเอาไว้ในยามสงครามเจ้าค่ะ”
“เพราะเหตุใดถึงต้องเอาเหล็กแผ่นหนา”
“เพราะถ้าใช้เหล็กแผ่นบางลูกเกรงว่าพวกเขาอาจจะสามารถทำลายได้ง่ายเกินไป ลูกเลยคิดว่าถ้าศัตรูบุกมาประชิดเมืองพวกเราอาจจะต้านไวไม่ทัน แต่ถ้าเราทำเหล็กแผ่นใหญ่ขึ้นมาขวางไว้ที่ประตูก่อนที่จะพวกศัตรูเข้ามาถึงเกรงว่ากว่าจะทำลายได้พวกเราคงออกไปหมดทั้งเมืองแล้วเจ้าค่ะ”
“แล้วความใหญ่ของเหล็กที่เจ้าต้องการอยากได้ใหญ่ขนาดไหน”
“ลูกต้องการความหนา 1 ศอกเจ้าค่ะท่านพ่อ”
“เจ้าใช้ขนาดนั้นแล้วมันจะพอสร้างกำแพงหรือ”
“ลูกก็คิดเช่นนั้นเลยมีความคิดอีกอย่างหนึ่งก็คือให้ใช้เหล็กผสมกับหินใช้อัตรา 1 ต่อ 3 เจ้าค่ะท่านพ่อถ้าเช่นนี้ก็อาจจะพอ”
“ได้ถ้าเช่นนั้นพวกเรารีบลงมือกันตั้งแต่วันนี้เลยเพราะกว่าจะเสร็จเกรงว่าอาจจะไม่ทันกัน”
“แล้วเรื่องนี้ต้องบอกกับชาวบ้านหรือไม่”
“พวกข้าคิดว่าสมควรที่จะบอกเพราะให้ชาวบ้านร่วมมือช่วยกันสร้างกับดักและหลอมเหล็กทั้งหมดของเรา”
เมื่อตกลงกันได้แล้วทั้งหมดจึงแยกย้ายไปทำตามหน้าที่ของตน
“ชิงอี้ เจ้าถือว่าเป็นลูกรักที่สุดของพ่อ พ่อจะถ่ายทอดวิชาความรู้ด้านทางทหารทั้งหมดให้แก่เจ้าเพราะพ่อรู้สึกว่าในสงครามครั้งนี้พ่ออาจจะไม่รอด”
“เหตุใดท่านพ่อถึงพูดเช่นนี้ไม่ว่าอย่างไรพวกเราทุกคนจะต้องได้อยู่พร้อมหน้ากันอย่าเอ่ยเช่นนี้อีกได้หรือไม่เจ้าค่ะท่านพ่อถือว่าลูกขอ”
“ได้พ่อจะไม่เอ่ยอีกแต่เจ้าต้องเรียนรู้ทุกอย่างจากพ่อแล้วห้ามปฏิเสธเข้าใจหรือไม่”
“เจ้าค่ะท่านพ่อ”
“ดีถ้าเช่นนั้นก็เริ่มศึกษาตั้งแต่พรุ่งนี้เลย แล้วเจ้าไม่ต้องห่วงพี่ของเจ้าพ่อจะให้นางไปเรียนรู้กลยุทธ์และการวางแผนทั้งหมดจากแม่ของเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง”
“เจ้าค่ะ”
หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ชิงอี้และชิงเหมยได้ศึกษาและเรียนรู้ทั้งหมดที่พ่อและแม่ได้สอนรวมถึงพี่ๆและผู้นำตระกูลคนอื่นๆ และบัดนี้เวลาก็ล่วงเลยผ่านไปแล้ว 5 ปี ตอนนี้กองทัพของแคว้นอู๋ตี้บุกเข้ามาที่ช่องเหวที่ชิงอี้และทุกคนได้วางกับดักเอาไว้แล้ว
“ทุกท่านรอฟังสัญญาณจากข้าถ้าข้าบอกให้จุดเมื่อไหร่ขอให้ทุกท่านจุดชนวนระเบิดทันที”
“ขอรับนายน้อย”
ชิงอี้นางไม่ได้กล่าวอันใดออกมาได้แต่มองกองทัพขนาดใหญ่ค่อยๆเดินผ่านทางช่องเหวไปอย่างช้าๆจนกองทัพทั้งหมดผ่านมาได้ครึ่งนึงแล้วนางก็ได้ส่งสัญญาณให้จุดชนวนทันที
“ทุกคนจุดระเบิดได้!!!!” เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนั้นก็ทำการจุดระเบิดทันที
ตู้ม ตู้ม ตู้ม ตู้ม ตู้ม ตู้ม ตู้ม ตู้ม ตู้ม
เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งช่องเหวตอนนี้ทางเข้าและทางออกของช่องเหวถูกปิดเอาไว้ด้วยก้อนหินมหาศาล
“ตระกูลเปา ปล่อยเครื่องหอมพิษลงไปเลยเอาให้ทั่วทั้ง 3 ส่วน ตระกูลเว่ยพวกท่านปล่อยสัตว์พิษได้เลย” เมื่อทั้งสองตระกูลได้ยินเช่นนั้นก็เริ่มปล่อยทันที ทำแบบนี้ซ้ำๆจนเวลาผ่านไป 1 วัน 1 คืนกองทัพขนาดใหญ่บัดนี้ไม่เหลือผู้รอดชีวิตแม้แต่คนเดียว
“ทุกท่านตอนนี้ยังมีสิ่งใดเหลือหรือไม่”
“กราบเรียนเจ้าเมืองน้อยในตอนนี้ไม่มีสิ่งใดเหลือแล้ว”
“เราจะทำเช่นไรดีนี่แค่ส่วนแรกของทุกอย่างที่เตรียมมาในตลอด 5 ปีก็ไม่เหลือแล้ว”
“รายงาน!!!!!!! ทางหน่วยสอดแนมส่งข่าวมาว่าตอนนี้มีอีกกองทัพกำลังเดินทางมา ที่นี่ขอรับพวกเราจะทำเช่นไรดี”
“ทางหน่วยสอดแนมสามารถประเมินได้หรือไม่ว่ากองทัพที่มาครั้งนี้มีจำนวนกี่คน”
“เรียนท่านเจ้าเมืองทางหน่วยสอดแนมได้บอกมาว่าจากการที่ประเมินด้วยสายตาน่าจะมีอยู่ราวๆ 100,000 คนขอรับ” เมื่อได้ยินเช่นนี้ทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างก็นั่งเครียดกันไปตามๆกันว่าจะทำเช่นไรต่อดี
“เร่งให้ทุกคนกลับเข้าเมืองและให้ชาวบ้านทั้งหมดขึ้นไปยังที่หลบภัยบนภูเขา ถ้าไม่มีคำสั่งจากข้าห้ามลงมา แล้วไปบอกพวกที่ประจำการที่อยู่ตามหน้าผาให้กลับเข้าเมืองห้ามออกมาแม้แต่ก้าวเดียวรวมถึงลูกของข้าทั้งสองคนด้วย”
“ท่านพ่อท่านจะทำเช่นนี้ไม่ได้ ปล่อย!!! ข้าบอกให้ปล่อย!!! ได้ยินหรือไม่ข้าจะไปหาท่านพ่อของข้า !!!”
“ห้ามปล่อยนำตัวไปไว้ที่จวนขังเอาไว้กับพี่สาวของนาง เมื่อทุกคนกลับเข้าเมืองแล้วให้ปล่อยแผ่นเหล็กลงมากั้นประตูไว้ไป!!!!! ตัวของข้าพร้อมเหล่าทหารอีกหมื่นนายจะขอสู้จนตัวตายเพื่อบ้านเมือง”
“ท่านพี่ถ้าท่านจะไปข้าขอไปพร้อมกับท่าน”
“ฮูหยิน”
“ท่านไม่ต้องกล่าวอันใดแล้วข้ากับท่านพวกเราสองคนเป็นสามีภรรยากันถ้าท่านเป็นอะไรตัวข้าก็คงไม่อาจอยู่ได้”
“ท่านพ่อท่านแม่พวกลูกขอร่วมรบครั้งนี้ด้วย”
“ไม่ได้ถ้าพวกเราไปกันหมดแล้วใครจะดูแลน้องๆของพวกเจ้า”
“ตระกูลของเราคือตระกูลนักรบทั้งสายเลือดถ้าหากให้พวกข้าอยู่แต่ภายในกำแพงเมืองข้าคงตรอมใจตาย สู้ออกมาตายที่สนามรบเพื่อบ้านเกิดยังจะดีเสียกว่า”
“พวกเราคนตระกูลอูลาเร่อปาทั้งหมดขอร่วมสงครามในครั้งนี้ด้วยไม่ว่าจะเป็นหรือตายพวกเราจะขออยู่ข้างท่านเจ้าเมืองและฮูหยินไปจนตายขอรับ/เจ้าค่ะ”
เหล่าข้ารับใช้และบริวารทั้งหมดได้เอ่ยออกมาพร้อมกัน
“ถ้าพวกเจ้าทำเช่นนั้นลูกๆ ของข้าที่เหลืออยู่จะเป็นเช่นไร”
“นายท่านไม่ต้องกังวลข้างกายของคุณหนูทั้งสองนั้นได้มีองครักษ์คู่กายอยู่แล้วขอรับ”
“ถ้าพวกเจ้าตัดสินใจเช่นนี้แล้วก็ดี ไปเปลี่ยนชุดเลือกอาวุธให้พร้อมพวกเราจะออกไปตั้งด่านนอกกำแพงเมือง ข้าจะให้พวกเจ้าทั้งหมดตัดสินใจอีกครั้งเพราะการไปครั้งนี้คือการไปและไม่ได้กลับมาอีกเลยพวกเจ้ายังจะไปอีกหรือไม่!!!!”
“ต่อให้บุกน้ำลุยไฟหรือว่าเป็นตายยังไงพวกเราขอตายเพื่อปกป้องบ้านเมืองของพวกเรา!!!!!”
เหล่าทหารทั้งหมดได้ตะโกนออกมาอย่างองอาจ
“ดีถ้าเช่นนั้นจงไปบอกลาคนที่บ้านและเตรียมตัวให้พร้อมอีก 2 วันพวกเราจะออกไปอยู่นอกกำแพงเมืองและทำการตัดโซ่ปล่อยแผ่นเหล็กลงมาปิดประตูเมืองไว้หลังจากนี้จะไม่สามารถกลับเข้าไปในเมืองได้อีกเลย”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเหล่าทหารทั้งหมดก็ได้เดินทางไปบอกลาคนที่บ้านของตนว่าจะสละชีพเพื่อช่วยเหลือชาวเมืองทุกคน
“ท่านพ่อท่านทำเช่นนี้กับพวกเราได้ยังไง พวกท่านทั้งตระกูลจะไปตายอยู่นอกกำแพงเมืองแต่ขังพวกเราสองคนพี่น้องไว้ที่นี่ท่านไม่เห็นพวกเราเป็นลูกของพวกท่านแล้วหรือเป็นคนในตระกูลของพวกท่านแล้วใช่หรือไม่!!!!”ชิงอี้นางได้ตะโกนออกมาพร้อมทั้งร้องไห้สะอึกสะอื้น
“พ่อรักลูกเสมอคนทั้งตระกูลรักลูกเสมอจึงต้องทำเช่นนี้ พ่อคือพ่อเมืองแห่งนี้ถ้าพ่อเมืองไม่ดูแลเมืองจะสมควรเป็นได้อย่างไร แล้วที่พ่อทำกับลูกเช่นนี้เพราะในอนาคตตระกูลอูลาเร่อปาของเราต้องมีผู้สืบทอดเข้าใจหรือไม่ จงฟังพ่อให้ดีต่อแต่นี้เป็นต้นไปพวกเจ้าสองคนพี่น้องต้องรักกันให้มากๆเพราะจะไม่เหลือใครในครอบครัวอีกแล้ว”
เมื่อกล่าวจบผู้เป็นพ่อก็ได้เดินออกไปโดยไม่สนใจเสี่ยงเรียกและเสียงร้องไห้ของลูก ๆ ของตน
“พวกเจ้าทั้งหมดเตรียมตัวพร้อมแล้วใช่หรือไม่ถ้าพร้อมแล้วออกไปนอกกำแพงเมืองได้!!!”
เมื่อกล่าวจบทหารทั้งหมดก็ได้ขานรับแล้วพากันวิ่งออกไปตั้งขบวนทัพที่นอกกำแพงเมือง และเมื่อทุกคนได้ออกไปหมดแล้วเจ้าเมืองชิงก็ได้สั่งการให้ตัดโซ่ปล่อยแท่งเหล็กขนาดใหญ่ให้ร่วงลงมาปิดหน้าประตูเมืองไว้ ออกมาจากเมืองได้ไม่นานกองทัพของฝั่งศัตรูก็ได้บุกมาถึง
“เป็นเกียรติยิ่งนักไม่คิดว่าท่านเจ้าเมืองชิงออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง”
“จักรพรรดิแห่งแคว้นอู๋ตี้เดินทางมาทั้งทีจะไม่ออกมาต้อนรับได้อย่างไร”
“ข้าไม่อยากจะสังหารพวกเจ้าจงยอมสวามิภักดิ์ซะข้าจะไว้ชีวิตพวกเจ้าทั้งหมดและดูแลชาวเมืองอย่างดี”
“ขอบคุณท่านที่เมตตาแต่พวกข้านั้นก็มีศักดิ์ศรีมากพอที่จะไม่ร่วมมือกับคนนอกแคว้นทำลายบ้านเกิดของตนเอง”
“ในเมื่อเจรจากันไม่สำเร็จงั้นก็คงต้องลากันตรงนี้ ทหารทั้งหมดทั้งคำสั่ง!!! ทุกคนในที่นี้ฆ่าให้หมดอย่าให้เหลือยกเว้นเจ้าเมืองผู้นี้ข้าจะสังหารมันด้วยตนเอง ฆ่า!!!!!!!”
“เย้!!!!!!!!!!!!!!!!!!! ''
ทหารทั้งสองฝ่ายต่างเข้าปะทะกันอย่างดุเดือดฝ่ายกองทัพของเจ้าเมืองชิงนั้นแม้จะมีน้อยกว่าแต่ล้วนมีฝีมือระดับสูงกันทุกคน
เคร้ง!!! เคร้ง!!! เคร้ง!!!
“อูลาเร่อปาชิงซ่ง ไม่คิดเลยว่าจะมีวันที่เราต้องหันดาบใส่กันเอง”
“นั่นเพราะพวกเราอยู่กันคนละฝ่ายยังไงเล่า” เมื่อกล่าวจบเจ้าเมืองก็ได้พุ่งกระบี่เข้าใส่จักรพรรดิของแคว้นอู๋ตี้ทันที
ทั้งสองฝ่ายต่อสู้โรมรันกันเป็นเวลายาวนานถึง 7 วัน 7 คืนโดยที่ไม่ได้พักแต่สุดท้ายแล้วน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ เจ้าเมืองชิงต่อสู้จนสิ้นใจตายอยู่กลางสนามรบพร้อมทั้งตามลำตัวมีธนูปักอยู่เป็นจำนวนมาก แต่การปะทะครั้งนี้ทำให้ทางด้านของแคว้นอู๋ตี้สูญเสียกำลังไปมากเกินกว่า 90,000 คน จากที่มามีอยู่ 100,000 นายในตอนนี้เหลือไม่ถึงหมื่น
“ฝ่าบาทเราจะบุกกันต่อเลยดีหรือไม่หรือควรตั้งฐานพักก่อน”
“ทหารทั้งหมดของเมืองแห่งนี้พร้อมทั้งเจ้าเมืองได้ตายอยู่ที่แห่งนี้จะช้าหรือเร็วก็ไม่ต่างกันบอกให้ทุกคนตั้งกระโจมพักก่อนแล้วพรุ่งนี้เราจะเริ่มตีเมืองทันที”
“แล้วศพของเจ้าเมืองชิงจะทำเช่นไรดีขอรับ จะให้หม่อมฉันตัดหัวเสียบประจานดีหรือไม่ว่าเราชนะแล้ว”
เมื่อฮ่องเต้ได้ยินเช่นนั้นใบหน้าก็เปลี่ยนไปทันทีพร้อมทั้งหยิบมีดแล้วเดินเข้าไปตัดหัวของคนที่พูดทันที
“ตัดหัวเจ้าก่อนก็แล้วกัน สั่งการลงไปให้นำร่างของเจ้าเมืองชิงมาที่นี่ห้ามยุ่งใดๆกับศพนั้นเด็ดขาด”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
เหล่าทหารขานรับกันอย่างเสียงสั่นด้วยความกลัว เมื่อนำร่างกลับมาที่กระโจมแล้วฮ่องเต้ของแคว้นก็ได้ค่อยๆหัวตัดธนูแล้วดึงออกอย่างเบามือ
“ชิงเอ๋อของข้าเจ้าเจ็บหรือไม่ ข้าจะเบามือที่สุดคนดีของข้า”
เมื่อกล่าวจบฮ่องเต้ก็กอดศพนั้นยังรักใคร่พร้อมทั้งจูบไปที่แก้มที่เต็มไปด้วยเลือดและบาดแผล
“ชิงเอ๋อเจ้าไปเล่นซนที่ใดมาเหตุใดจึงมีบาดแผลเต็มตัวเช่นนี้ มา เดี๋ยวศิษย์พี่จะพาเจ้าไปอาบน้ำเช็ดตัวแล้วก็ค่อยเข้านอนหรือไม่เด็กดี”
เมื่อกล่าวจบฮ่องเต้วิปลาสก็ได้ค่อยๆถอดชุดก่อนของเจ้าเมืองชิงออกอย่างช้าๆพร้อมทั้งปลดเสื้อผ้าอาภรณ์ทั้งหมดออก
เขาได้ทำการชุบน้ำเช็ดไปตามลำตัวอย่างช้า ๆ แล้วเบามือ พร้อมทั้งกอดร่างอันไร้วิญญาณแล้วพูดซ้ำ ๆ ราวกับคนวิปลาสเสียสติไปแล้ว
“ชิงเอ๋อเจ้าเด็กดีของข้าเดี๋ยวข้าจะพาเจ้าไปนอนเราสองคนไม่ได้นอนด้วยกันมานานแล้ว”
เมื่อกล่าวจบฮ่องเต้วิปลาสก็นำร่างของเจ้าเมืองชิงมาว่างที่เตียงแล้วก็ได้กระทำสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดก็คือเขาได้เสพสังวาสกับศพนั้นอย่างมีความสุขจนถึงเช้า...........