บทที่ 1
จุดเริ่มต้น
วันเวลา 7 วันแห่งความเสียใจได้ผ่านพ้นไปตอนนี้เด็กน้อยทั้งสองต่างกักขังตัวเองอยู่ในห้องไม่ยอมกินและไม่ยอมพบผู้ใดเอาแต่นอนร้องไห้อยู่ภายในนั้น
“อาเหมย อาอี้ พวกเจ้าทั้งสองเปิดประตูให้อาหน่อยได้หรือไม่ ข้ารู้ว่าเจ้าเสียใจเรื่องพ่อของเจ้าแต่เจ้าจะทรมานตัวเองเช่นนี้ไม่ได้ถ้าพ่อของเจ้าที่อยู่บนสวรรค์ได้รับรู้เรื่องนี้คงจะต้องเสียใจมากอย่างแน่นอน”
“ตอนนี้พวกข้ายังไม่หิวเจ้าค่ะ เดี๋ยวถ้าเกิดว่าพวกข้าหิวเมื่อไหร่จะออกไปทานเองเจ้าค่ะท่านอา”
“เช่นนั้นอาจจะไม่บังคับพวกเจ้าแต่ห้ามทรมานตัวเองเด็ดขาดเข้าใจหรือไม่”
“เจ้าค่ะท่านอา” ผู้นำตระกูลลู่เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ยอมเดินออกมา
“เป็นเช่นไรบ้างทั้งสองคนยอมกินอะไรหรือไม่”
“ทั้งสองคนไม่ยอมกินอะไรเลยแต่บอกว่าถ้าหิวเดี๋ยวออกมากินเองข้าก็จนใจไม่รู้จะบังคับยังไงแล้ว”
“ช่างเป็นเด็กน้อยที่น่าสงสารจริงๆเหลือกันแค่สองคนคนในตระกูลที่เหลือต่างพากันไปร่วมรบจนตัวตาย”
“เช่นนั้นเราต้องหาวิธีกระตุ้นทำให้เด็กน้อยทั้งสองคนมีกำลังใจในการมีชีวิตอยู่”
“แล้วพวกเราจะทำอย่างไรกันดีเล่าท่านอู่”
“เด็กน้อยทั้งสองคนเสียคนในตระกูลไปในสงครามข้าว่าพวกเขาต้องอยากแก้แค้นแน่ ถ้าเราเอาเรื่องกองทัพที่อยู่ข้างนอกไปบอกกับพวกเขาพวกเจ้าคิดว่าเขาจะยอมออกมาวางแผนกับพวกเราหรือไม่”
“แต่ถ้าทำเช่นนั้นมันจะยิ่งไม่ไปกระตุ้นความเสียใจของพวกเขาเลย”
“นั่นแหละคือสิ่งที่ข้าต้องการ เมื่อเขาเสียใจมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งอยากจะแก้แค้นมากเท่านั้น และการที่จะแก้แค้นได้ก็คือต้องมีชีวิตอยู่”
“ความคิดนี้ไม่เลว งั้นพวกเราก็ไปบอกพวกเขาเรื่องนี้กัน”เมื่อผู้นำตระกูลทั้งหมดได้ตกลงกันแล้วก็ได้เดินทางไปที่ห้องของเด็กน้อยทั้งสองคน
“อาเหมย อาอี้ ลุงมีเรื่องสำคัญจะบอกกับพวกเจ้า ตอนนี้ใต้เท้าชิงกับครอบครัวและทหารทั้งหมดถูกตีแตกแล้ว แล้วตอนนี้พวกกองทัพของศัตรูกำลังจะบุกประชิดประตูเมืองพวกเราจะทำเช่นไรกันดีพวกเจ้าลองบอกลุงได้หรือไม่” ผู้นำตระกูลอู่ได้เอ่ยทั้งหมดออกมา
และเป็นไปตามที่ผู้นำตระกูลอู่ได้คาดการณ์เอาไว้ เมื่อเด็กน้อยทั้งสองคนได้ยินเช่นนั้นก็เปิดประตูออกมา
“ถ้าเช่นนั้นพวกเราไปเริ่มวางแผนกันเลยดีหรือไม่เจ้าคะ” ชิงอี้ที่อยู่ในอาการอ่อนล้าเต็มทนได้เอ่ยออกมา
“ลุงว่าพวกเจ้าไปกินข้าวกันให้แข็งแรงก่อนแล้วค่อยเริ่มวางแผน เพราะถ้าเจ้าไปทั้งสภาพนี้ข้าไม่ยอม ”
“แต่พวกเราจะรอช้ากันอยู่ไม่ได้ชาวเมืองทั้งหลายต้องมาก่อน”
“แต่ถ้าเจ้าอยู่ในสภาพนี้ชาวเมืองทั้งหมดจะเป็นห่วงเจ้า หรือว่าข้าขอร้องพวกเจ้าทั้งสองคนไปกินข้าวกันก่อน”
“แต่ท่านลุงเจ้าค่ะ”
“อาอี้ไปกินข้าวกับพี่เถอะ ข้ารู้ว่าเจ้าอยากแก้แค้นเพราะข้าก็อยากแก้แค้นแต่ถ้าเจ้าอยู่ในสภาพนี้คงมีแต่ไปตายเปล่า”
“แต่ท่านพี่”
“อาอี้ เชื่อพี่ไปกินข้าว”
“เจ้าคะ”เมื่อกล่าวจบ 2 คนพี่น้องก็ได้เดินจูงมือกันไปกินข้าวอย่างเร่งด่วน
“งั้นพวกเรามันเริ่มวางแผนกันเลยดีหรือไม่”
“ไปเชิญผู้นำตระกูลและคนในตระกูลใหญ่ทั้งหมดมารวมตัวกันที่นี่” ผู้นำตระกูลอู่ได้เอ่ยบอกกับคนในตระกูลตน
ใช้เวลาไม่นานผู้นำตระกูลแต่ละตระกูลรวมถึงคนในตระกูลก็ได้มารวมตัวกันที่นี่
“ขออภัยที่ต้องเรียกทุกท่านมาเร่งด่วนขนาดนี้”
“ไม่เป็นไรเจ้ามีแผนจะจัดการอย่างไร”
“ข้าขอถามทุกท่าน ไม่ทราบว่าแต่ละตระกูลมีสิ่งใดเหลือหรือไม่”
“ถามว่ามีเหลือไหมมันก็มีเหลือ แต่จะพอใช้ใช้ได้หรือไม่นั้นพวกข้าก็ไม่อาจบอกได้”
“ไม่เป็นไรขอแค่มีเหลือพวกเราก็ยังมีความหวังขอรับ แล้วทางตระกูลเว่ยเล่าขอรับไม่ทราบว่ามีกู่หรือสัตว์พิษเหลือหรือไม่”
“กู่ที่พวกเรามีก็ใช้ไปทั้งหมดแล้วเหลือเพียงแค่สัตว์พิษที่ใช้ประโยชน์ไม่ค่อยได้ไม่กี่ร้อยตัว”
“มันก็มีเหลืออยู่ตัวนึงไม่ใช่หรือขอรับท่านพ่อที่อยู่ที่สุสานตระกูลเว่ยของเราเจ้าตัวนั้นไงขอรับ”
“เจ้าพูดอะไรของเจ้า!!! สัตว์ตัวนั้นแม้แต่บรรพบุรุษของเราที่เป็นผู้สร้างก็ยังไม่สามารถควบคุมมันได้ทำได้เพียงแค่ผนึกมันเอาไว้ ถ้าปลดมันออกจากผนึกเกรงว่าแม้แต่ชาวเมืองทั้งหมดก็คงจะตายด้วยพิษของมัน”
“มันเก่งกาจมากเลยใช่หรือไม่”
“มันคือราชาของสัตว์พิษทุกชนิดบนโลกใบนี้มันสามารถกลายร่างเป็นสัตว์พิษชนิดใดก็ได้เพราะตอนสร้างมันนั้นบรรพบุรุษได้นำสัตว์มีพิษทุกชนิดที่จะสามารถหาได้นำมาสร้างมัน และไม่ว่าสิ่งใดก็ไม่สามารถที่จะสังหารมันได้ เพราะพวกเราตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเคยลองพยายามแล้วแต่ก็ไม่สำเร็จ”
“พาข้าไปหามัน”
“ไม่ได้ถ้าท่านที่เป็นคนนอกตระกูลไปจะตายทันทีเพราะไม่มีวิชาป้องกันพิษ”
“ถ้าไม่ลองก็ไม่รู้มันคือทางเดียวที่จะทำให้พวกเราชนะได้”
“แต่มันอันตรายถ้าท่านจะไปข้าขอไปนำมันออกมาเองดีกว่า”
“ข้าในฐานะบุตรของพ่อเมืองถ้าแค่นี้กลัวต่อไปจะดูแลเมืองแห่งนี้ยังไง ท่านลุงเว่ยท่านลองมองดูเถิดว่าตอนนี้มีวิธีใดที่จะสามารถรับมือกับมันได้ถ้าไม่ใช่เจ้าสิ่งนั้น ต่อให้มันจะอันตรายแค่ไหนก็ต้องลอง”
“แต่ท่านไม่ใช่คนของตระกูลเราท่านไม่ได้อาบน้ำพิษหรือดื่มกินพิษท่านจะไปในที่ที่มีพิษรุนแรงขนาดนั้นได้อย่างไร”
“ท่านลุงเว่ยไม่แน่ว่าข้ากับมันอาจจะมีวาสนาต่อกันก็ได้ใครจะไปรู้ เพราะท่านปู่เคยทำนายเอาไว้ว่าข้าจะได้มีสัตว์เลี้ยงเป็นราชาแห่งพิษอาจจะเป็นมันก็ได้ขอรับ”
“แต่มันอันตรายเกินไป”
“เว่ยชาง ให้อาอี้ไปเถอะมันอาจจะเป็นทางเดียวที่จะช่วยเมืองแห่งนี้ได้” เมื่อผู้นำตระกูลเว่ยได้ยินเช่นนั้นก็จนใจที่จะต่อต้านจึงได้นำยาถอนพิษทุกชนิดนำมามอบให้กับชิงอี้
“อาอี้ถ้าเจ้าเข้าไปที่นั่นแล้วรู้สึกว่าตัวเองโดนพิษให้ดื่มยานี้ทันทีเข้าใจหรือไม่”
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะถ้าเช่นนั้นพวกเราก็ไปกันเลยดีหรือไม่จะได้ไม่เสียเวลาไปมากกว่านี้”
“ได้ถ้าเช่นนั้นก็ไปกันเลย”
เมื่อกล่าวจบเว่ยชางก็ได้พาชิงอี้ไปที่สุสานประจำตระกูล เมื่อมาถึงก็ได้นำทางไปยังถ้ำที่ผนึกเจ้าสัตว์ร้ายตัวนี้เอาไว้ และในตลอดเส้นทางที่เดิน ชิงอี้ไม่โดนพิษทำร้ายแม้แต่ปลายเส้นผมนั่นทำให้ผู้นำตระกูลเว่ยประหลาดใจเป็นอย่างมาก
เดินทางกันมาได้สักพักนึงก็มาถึงถ้ำสีดำขนาดไม่ใหญ่มากแต่เมื่อเดินเข้าไปข้างในนั้นกลับพบว่าภายในนั้นกว้างมหาศาลเป็นอย่างมาก และบนกำแพงนั้นก็มีแมงมุมและสัตว์มีพิษมากมายไตกันอยู่ยั้วเยี้ยเต็มไปหมด
“เจ้าไม่ต้องแปลกใจไปเจ้าพวกนี้คือสิ่งที่เกิดมาจากความชั่วร้ายของมัน แต่ก็ไม่ต้องห่วงเพราะว่าที่นี่ถูกบรรพบุรุษผนึกเอาไว้พวกมันไม่สามารถทำอะไรพวกเราได้”
“เจ้าค่ะท่านลุง”เมื่อเดินมาจนถึงสุดทางถ้ำก็ได้พบเข้ากับสิ่งมีชีวิตประหลาดอยู่ภายในกรงขังที่แปะไปด้วยยันมากมาย
“เจ้าอย่าเข้าใกล้มันถ้าเจ้าเผลอมันอาจจะสังหารเจ้าแล้วกินเจ้าได้”ผู้นำตระกูลเว่ยได้บอกอย่างเป็นห่วงแต่หารู้ไม่ว่าคนที่ตนคุยด้วยนั้นสติไม่อยู่กับตัวแล้ว
“จงสังเวยโลหิตมาแล้วข้าแล้วจะทำให้ความปรารถนาของเจ้าเป็นจริง”มันได้พยายามสื่อสารกับคนที่เข้ามาตนเพราะมันไม่อยากถูกขังอยู่ในที่แห่งนี้แล้ว แต่ทุกคนที่เข้ามาไม่มีใครได้ยินเสียงของมันเลย
“เจ้าพูดจริงใช่หรือไม่ถ้าข้ามอบเลือดให้เจ้าเจ้าจะทำตามความปรารถนาของข้าเป็นจริง”
“เจ้าได้ยินในสิ่งที่ข้าพูดอย่างนั้นหรือ ดีประเสริฐยิ่งนัก ใช่ถ้าเจ้ามอบเลือดของเจ้าให้กับข้านั่นคือการทำพันธสัญญาระหว่างเจ้ากับข้าไม่ว่าจะใช้ข้าทำอะไรข้าก็ไม่สามารถขัดคำสั่งเจ้าได้เจ้าตกลงหรือไม่”
“แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าจะไม่โกหก”
“นั่นก็ขึ้นอยู่กับตัวของเจ้าเองว่าจะคิดเช่นไร”
“อาอี้เจ้าเป็นอะไรก็ตอบลุงหน่อยได้หรือไม่” ผู้นำตระกูลเว่ยพยายามเรียกเพื่อทำให้อีกฝ่ายเตือนสติ เพราะตอนนี้ไม่สามารถจับตัวของอีกฝ่ายได้เพราะตัวของฝ่ายนั้นร้อนดั่งเปลวเพลิง
“ได้ข้าตกลง แต่เจ้าต้องช่วยข้าแก้แค้นให้ข้าและข้าได้เตรียมอาหารไว้ให้เจ้าข้างนอกแล้ว”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไรว่าเจ้าเตรียมอาหารไว้ให้ข้าแล้ว”
“สิ่งมีชีวิตเช่นพวกเจ้าถ้าให้ข้าเดา คงต้องอาศัยดื่มกินเลือดเนื้อของสิ่งมีชีวิต แล้วตอนนี้ข้างนอกได้มีทหารของศัตรูอยู่มากมายทั้งมีชีวิตและไม่มีชีวิตหลายแสนศพ เจ้าคงจะพอใจ”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ช่างเป็นคนที่น่าสนใจจริงๆ ข้าขอ บอกเจ้าไว้ตรงนี้เดิมทีถ้าคิดจะหลอกเจ้าเพื่อที่จะดื่มกินเลือดของเจ้าแล้วปล่อยให้ร่างตายตรงนี้ แต่ตอนนี้ข้าคิดใหม่แล้ว จะทำสัญญากับเจ้าจริงๆ”
“ถ้าเช่นนั้นข้าต้องทำอย่างไร”
“ไม่ยากเจ้าแค่เพียงกรีดเลือดที่ฝ่ามือหรือที่ใดก็ได้แล้วเอามาให้ข้าดื่มแล้วเจ้าก็ต้องดื่มเลือดของข้าเช่นกัน แต่การที่จะทำเช่นนี้เจ้าจะต้องทุกข์ทรมานอย่างมหาศาลเจ้าตกลงหรือไม่”
“ขอแค่ข้าไม่ตายไม่ว่าอะไรข้าก็ทำได้”
“ดี ถ้าเช่นนั้นพวกเรามันเริ่มกันเลยข้าและลูกๆของข้าหิวเต็มทีแล้ว ''
“แต่เจ้าต้องตกลงกับข้าก่อนว่าถ้าเจ้าออกไปแล้วจะไม่ทำร้ายคนของฝั่งเราเอง”
“เมื่อทำพันธะกันแล้วข้าก็เป็นเพียงแค่สัตว์เลี้ยงของเจ้าถ้าเจ้าไม่สั่งข้าก็ไม่สามารถที่จะทำเองได้และเจ้าไม่ต้องห่วงลูกๆของข้าก็จะเชื่อฟังเจ้าเช่นกัน”
“ดีถ้าเช่นนั้นพวกเรามันเริ่มกันเถอะ”
เมื่อกล่าวจบร่างบางก็ได้เดินเข้าไปที่กรงเรื่อยๆโดยที่ไม่มีใครสามารถที่จะเข้าใกล้หรือห้ามได้เลย
“ท่านพ่อพวกเราจะทำอย่างไรกันดี เราเข้าใกล้หรือสัมผัสเขาไม่ได้เลยถ้าเป็นแบบนี้เขาจะต้องตายแน่ๆ”
“พ่อก็หมดหนทางแล้วเหมือนกันแล้วเหตุใดเขาถึงไร้ซึ่งสติเช่นนี้”
“หรืออาจจะเป็นสิ่งนั้นควบคุมจิตใจเขา”
'' พ่อก็คิดว่าเป็นเช่นนั้น''
“แล้วเรามีหนทางที่จะช่วยเขาได้หรือไม่”
“ไม่มีทางใดที่จะช่วยได้ แต่พ่อว่าเราไม่ต้องห่วงเขาหรอกเพราะคิดว่ายังไงเขาก็ไม่ตาย เผลอๆอาจจะได้เจ้าตัวนั้นเป็นสัตว์เลี้ยงก็ได้ใครจะไปรู้”
“พ่อหมายความว่ายังไงขอรับ”
“ตามที่บรรพบุรุษผู้สร้างมันขึ้นมาได้จดบันทึกเอาไว้เกี่ยวกับมันก็คือ ถ้ามันสื่อสารกับใครได้แล้วถ้าตกลงทำพันธสัญญาโลหิตกับมันได้มันจะเป็นทาสรับใช้ของคนผู้นั้นไปจนตาย”
“ถ้าเช่นนั้นก็หมายความว่าชิงอี้กับมันกำลังจะทำพันธสัญญาโลหิตกันเช่นนั้นเลย”
“พ่อคิดว่าน่าจะเป็นเช่นนั้น เราอย่าไปกวนพวกเขาเลย”
เมื่อกล่าวจบผู้นำตระกูลเว่ยก็ได้พาคนในตระกูลออกมาจากอาณาเขตของกรงเพื่อที่จะไม่เป็นการรบกวนของร่างบาง
“เจ้าพร้อมแล้วใช่หรือไม่”
“ข้าพร้อมแล้ว”
เมื่อกล่าวจบร่างบางก็ได้หยิบมีดขึ้นมาแล้ว กรีดไปที่ฝ่ามือพร้อมยื่นเข้าไปข้างในกรง
“หึ หึ หึ แล้วข้าจะไม่ทำให้เจ้าเสียใจที่เจ้าเลือกข้า” เมื่อกล่าวจบสิ่งมีชีวิตตนนั้นก็ได้กลายเป็นหนอนสีทองพร้อมทั้งกระโดดขึ้นไปที่ฝ่ามือเพื่อดื่มเลือดหนอนสีทองดื่มเลือดไปสักพักก็ได้หยุดแล้วกลายเป็นร่างของสิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถบอกได้ว่ามันคือตัวอะไรแล้วได้ทำการรีดเลือดออกมา
“ข้าขอบอกเจ้าเอาไว้ตรงนี้ถ้าเจ้าดื่มเลือดของข้าเข้าไปแล้วเจ้าจะเจ็บปวดทุกข์ทรมานเป็นอย่างมากเจ้าพร้อมหรือไม่”
“เรื่องราวมาถึงขนาดนี้แล้วจะไม่พร้อมได้ยังไง”
เมื่อกล่าวจบชิงอี้ ก็ได้ดื่มเลือดที่อยู่ตรงหน้าของตนทันทีแล้วทันใดนั้นภายในร่างกับรู้สึกเหมือนมีสิ่งมีชีวิตนับล้านตัววิ่งอยู่ภายใน
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก”
ชิงอี้นางได้ร้องออกมาอย่างเจ็บปวดทุกข์ทรมานแล้วดิ้นไปมาราวกับกำลังจะตายแล้ว.........................