@ ประเทศไทย
"เดินทางวันนี้เมื่อยจังเลย สงสัยนามิต้องไปร้านนวดกับเพื่อนๆแถวนี้บ้าง" หญิงสาวทิ้งลำตัวบนเก้าอี้ตัวยาว เมื่อกลับมาถึงบ้านหลังเก่าขนาดพอดีที่จะอยู่กันสองคนแม่ลูก
"กลับมาแล้วจะมีเพื่อนเลยเหรอลูก เราเป็นผู้หญิงอย่าไว้ใจคนมากนะ"
"ก่อนหน้าที่เราจะบินกลับมา นามิก็สลับมาทำงานที่นี่ด้วยนะคะ แม่อย่าลืมสิว่านามิรู้จักคนเยอะ" ทันใดนั้นมือบางเลยล้วงหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าถือ เข้าแอพพลิเคชั่นกลุ่มที่เพื่อนสมัยเรียนมัธยมปลายยังคุยกันอยู่
"ยังไงเราก็อย่าวางใจไปนะลูก คดีเมื่อหลายปีก่อนยังจับฆาตกรไม่ได้เลย" ท่านค่อยรื้อๆผ้าคลุมบนเครื่องครัวออก หยิบสิ่งของกลับคืนตำแหน่งเดิม ให้เหมาะสมจะใช้งาน
"ป่านนี้ฆาตกรอาจจะตายไปแล้วก็ได้ค่ะ ไม่งั้นคงมีข่าวออกมาเรื่อยๆอีก" ภาพใบหน้าของใครบางคนลอยเข้ามาในหัวทันที เธอไม่รับรู้เรื่องของเขาตั้งแต่วันนั้นอีกเลย
"แม่ว่านะ คนทำคงมีปัญหาทางจิต คนพวกนี้อาจจะมีบุคลิกธรรมดา นอกจากเวลาอยู่ส่วนตัว"
"งั้นพาแม่ไปซุปเปอร์มาร์เก็ตด้วยเลยดีกว่า ตอนเย็นเราจะได้มีอาหารกินกัน"
"แต่รถพ่อของเรา ไม่ได้ใช้งานมานานแล้วนะ" พอเห็นลูกสาวล้วงเอากุญแจรถในลิ้นชักไม้ เลยเอ่ยทักขึ้นอย่างเป็นห่วง
"ลองสตาร์ทดูก่อนก็ได้ค่ะ แล้ววันไหนว่างนามิจะเอาไปตรวจสภาพนะคะ" ร่างบางเดินไปโอบมารดาให้วางสิ่งของลง พร้อมหยิบกระเป๋าสะพายกึ่งบังคับให้ท่านเดินตาม
"ถ้าเจ้าของรู้นะ ป่านนี้คงห้ามเหมือนแม่แหละ"
บรื้น~ บรื้น~
"เย้! สตาร์ทติดด้วย พ่อไม่ห้ามนามิแน่ๆ" เสียงคันเร่งดังกระหึ่ม บ่งบอกสภาพเครื่องยนต์แม้จะเป็นรถยนต์รุ่นเก่า
ใบหน้าจิ้มลิ้มรีบหันมายิ้มแป้น จับพวงมาลัยรถพร้อมเดินทาง
"เบาๆนะ หัวใจแม่จะวายเอา"
ตุ๊บ!
"อ้าวไอคาเรน! มึงจะปิดเพลงกูทำไมว่ะ?" พิพัฒน์รีบหันมาตะเบ่งเสียงบอกเพื่อนรักฝั่งข้างคนขับ ขณะพากันขึ้นรถยนต์ของเขาเตรียมจะไปโกดังลับ รู้ดีว่าอีกฝ่ายพึ่งกลับมาจากท่าเรือได้ไม่กี่ชั่วโมง
"หนวกหูฉิบหาย มึงไม่เทสเพลงแค่ในผับว่ะ" คนบอกส่ายหน้าไปมา อารมณ์ง่วงนอนเมื่อกี้หายเป็นปลิดทิ้ง ยกมือทุบท้ายทอยใหญ่เรียกสติเบาๆ
"มึงก็รู้ว่าช่วงนี้กูต้องช่วยน้ำชาดูลูก ไม่ได้เข้าผับบ่อยๆ"
"มึงก็จัดในบ้านไปซะสิ ปลูกฝังให้ลูกมึงรักดนตรี" คาเรนส่งเสียงประชดกลับ ยกแขนค้ำกับหน้าต่างรถให้ช่องลมแอร์จ่อโกรกใบหน้าหล่อ
"ถ้ามึงไม่ใช่เพื่อนกูนะ ถีบแมร่งลงรถเลย"
"กูไม่ไปก็ได้นะ วันนี้ก็ไม่ใช่เวรตรวจของซะหน่อย"
"....มึงนี่นะ ไม่คิดอ่อนข้อให้เพื่อนเลยว่างั้น?"
ปรี๊ดดดดดดด!!!!!
"เฮ้ย!!!!"
"เชี้ยไรว่ะ!!!!" บุคคลทั้งสองภายในรถร้องเสียงหลงพร้อมๆกัน จู่จู่รถปริศนาคันเก่าดันพุ่งมาขวาง ปาดเส้นทางตรงจนพิพัฒน์ต้องหักหลบเกือบลงข้างทาง
"กูจะเอาแมร่งตายทั้งรถเลย!" น้ำเสียงเข้มสบถบอก เมื่อเหตุการณ์กลับมาสงบนิ่ง ปลุกอารมณ์ร้อนระอุไปทั่วทั้งกายชาย
"นั่นไงลงรถมาแล้ว ผู้หญิงที่ไหนว่ะ?" คนบอกกดปลดสายคาดนิรภัย ยกมือห้ามเพื่อนชายตอนเห็นว่ามีหญิงสาวลงมาจากรถคู่กรณี เดี๋ยวจะกลายเป็นเรื่องใหญ่เสียเวลาทำงาน
"ยิงทิ้งซะ จบปัญหา" คาเรนบอก ต่อให้หญิงสาวเบื้องหน้ารถจะสวยสดใสเพียงใด มันไม่สมกับอารมณ์โกรธเคืองในอกแกร่ง
"กลางวันแสกๆ แบบนี้ มีแต่มึงจะโดนจับ แล้วมึงก็รอกูในรถนั่นแหละ"
"เออ!" น้ำเสียงเข้มกระแทกตอบ ปล่อยให้เพื่อนรักลงไปเจรจาเอง หากเขาได้ก้าวขาออกจากรถ คงไม่จบแค่ไกล่เกลี่ย
"ขอโทษนะคะ ดิฉันไม่ชินกับถนนเส้นนี้เลย รถคุณพอมีประกันไหมคะ" ดูก็รู้ว่ารถของคู่กรณีราคาเกินแปดหลัก เห็นทีเธอคงจะเสียเงินมหาศาลต้อนรับกลับประเทศไทย
"ไม่มี ขับประสาอะไรไม่พากันตายก็บุญแล้ว" พิพัฒน์บอก ระหว่างนั้นเขาเห็นเพื่อนชายในรถกำลังล้วงหาอาวุธแน่ๆ
"ถ้ารถคุณเสียหายตรงไหน ให้ฉันรับผิดชอบนะคะ" ใบหน้าจิ้มลิ้มเผยยิ้มอ่อน ท่าทีของคนตรงหน้าไม่ต่างจากมาเฟียทั่วๆไป แล้วยังเห็นชายอีกคนในรถอีก
"รถเธอปีไหน?"
"คะ? หมายถึงรถคันนี้เหรอ" ร่างบางเปลี่ยนมาเดินตามพิพัฒน์ เขาก้มสำรวจรอบคันรถของเธออย่างสนใจ ยังดีที่เธอมีสติไม่ขับมันชนเข้ากับต้นไม้
"ว่ามาสิ"
"น่าจะเป็นปีxxxค่ะ ฉันก็ไม่แน่ใจ แต่เห็นพ่อบอกไว้ว่าช่วงนั้นคนนิยมใช้รถรุ่นนี้" เธอกำลังภาวนาถ้าอีกฝ่ายพูดสนทนาด้วยดี แนวโน้มจะเคลียร์กันง่ายขึ้น
ส่วนมารดายังนั่งรอในรถ คอยจับโทรศัพท์ไว้เผื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน
"ขายฉันซะ แล้วถือว่าจบกัน"
"ไม่ได้ค่ะ! นี่เป็นรถของพ่อ ฉันขายไม่ได้เด็ดขาด" สองมือยกส่ายพลันวัน เรื่องจะพลิกตะแคงเป็นเช่นนี้ได้ยังไง
"อยากลองดีย์?" น้ำเสียงเหี้ยมโหดดังแทรกบรรยากาศ
"....เขา" ร่างบางรีบหันขวับตามต้นเสียง เห็นคาเรนยืนนิ่งถืออาวุธเล็งจ่อศรีษะเล็ก นัยน์ตาคมคู่สีเทาเข้มยังเหมือนเดิม
เกิดความรู้สึกชาวาบไปทั้งกายอัตโนมัติ อดีตที่เธอเคยตราหน้าว่าฆาตกร ยืนปรากฏตัวตรงหน้าอย่างไม่คาดฝัน
"คะคุณ...ใจเย็นๆ ก่อนนะคะ อย่าทำอะไรนามินะ พวกเราเพิ่งย้ายกลับมาไม่ชินเส้นทางนี้ ให้พวกเราชดใช้ก็ได้นะคะ" วรารัตน์รีบวิ่งลงรถมาดึงแขนลูกสาวใส่อ้อมอก ไม่คิดเช่นกันว่าเหตุการณ์จะเริ่มส่อไปในทางรุนแรง
"ไสหัวไปก่อน ฉันยุ่งไม่มีเวลาคุยต่อ" พิพัฒน์นึกเหนื่อยใจ พาลสงสารสองแม่ลูกที่ต้องมาเพื่อนตัวเอง มักติดนิสัยโผงผางไม่สนความรู้สึกใคร
"ขอบคุณนะคะ" นามิส่งเสียงบอกแผ่วเบา เธอยังตกใจในการเจอหน้าเขาครั้งนี้ ซึ่งอีกฝ่ายจำเธอไม่ได้เช่นกัน
"ไปๆ ลูก" ฝ่ายมารดารีบดึงแขนลูกสาวให้ตั้งสติ จนทั้งคู่นั่งรถรถยนต์คันของตัวเอง
"ปล่อยไปให้ได้ใจ"
..................................................
เรื่องนี้ไม่มีพระเอก 555