สาครหัวเราะเบาๆ อย่างชอบใจ หญิงสาวตรงหน้าดูสวยสดใสหมดจด กิริยามารยาทก็ดี และที่สำคัญ เป็นลูกสาวเพื่อนสนิทของภรรยาผู้ล่วงลับไปแล้ว ชาติตระกูลเหมาะสม ถ้าให้หนุ่มสาวได้ใกล้ชิด พูดคุยทำความรู้จักกัน บางทีอาจจะมีคนมาช่วยดามใจลูกชาย ให้เปิดใจรักครั้งใหม่ก็ได้
“แล้วป๊าเรียกผมมา...” เตวิชญ์หันไปสบตาสาครจะถามถึงธุระที่อีกฝ่ายเรียกมาพบ
“พอดีคุณเหมยกับหนูแพงเค้ามาทำธุระแถวนี้ ป๊าก็เลยชวนมาพักที่ฟาร์มเรา สักอาทิตย์สองอาทิตย์”
“อ้อ...ครับ” แล้วเกี่ยวอะไรกับเขา?
“ก็ว่าจะวานแกให้ช่วยดูแลหน่อย เผื่อคุณน้าต้องไปธุระในเมือง มากันสองคนแม่ลูก กลัวจะไม่ปลอดภัย”
“เอ่อ...” เตวิชญ์ขมวดคิ้วดูยุ่งยากใจ จะให้ดูแลยังไงในเมื่อทุกวันนี้เขาก็แทบจะกินนอนอยู่ที่ออฟฟิศ แล้วจะเหลือเวลาที่ไหนมาดูแขกของสาคร
“ช่วงนี้ที่แปลงไม่มีอะไรนี่ ปลีกตัวมาสักหน่อยสิ หรือถ้าเป็นห่วงงาน ก็ฝากเจนเค้าจัดการให้ก็ได้”
“ถ้าพี่วิชญ์ไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรนะคะ แพงกับคุณแม่ไม่อยากรบกวน แค่ให้มาพักที่แสงสุขนี่ ก็เกรงใจจะแย่” สาวสวยเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นสีหน้าชายหนุ่ม
“เกรงใจอะไรหนูแพง คนกันเองทั้งนั้น ดีเสียอีกนานๆ จะมีเพื่อนแวะมาเยี่ยม”
“ค่ะคุณลุง”
“ว่าไงเจ้าวิชญ์ ป๊าอยากให้แกช่วยดูแลน้าเหมยกับหนูแพงช่วงที่พักอยู่ที่นี่หน่อย พอจะสะดวกมั้ย”
เห็นสายตาของสาครที่สื่อมา ก็รู้ว่าต้องการอะไร คงอยากให้เขารับปากมากกว่าปฏิเสธ เตวิชญ์นิ่งคิดไปสักพักไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับใคร เพราะแค่ลำพังเรื่องงานก็ยุ่งมากพอแล้ว
ขณะกำลังจะตอบปฏิเสธ ในหัวก็พลันมีเสียงดังแว่วมา
...ใช้เรื่องนี้พิสูจน์ดูสิ!
ความรู้สึกบางอย่างที่เขาเองก็ไม่แน่ใจนักว่า ใช่หรือเปล่า เพราะเราอยู่กับมันจนชิน ไม่สามารถแยกแยะได้ว่า แบบนี้คือปกติ หรือพิเศษกว่า
“...ก็ได้ครับ”
“ดี” เมื่อได้ยินลูกชายรับปาก สาครก็ยิ้มกว้างอย่างถูกใจ
“คุณเหมยกับหนูแพงก็ไม่ต้องเกรงใจ พักที่นี่ให้สบายใจ มีอะไรจะไหว้วาน หรืออยากไปไหนก็บอกเจ้าวิชญ์มันได้เลยนะ”
“ขอบคุณค่ะ...เอ่อ...คุณลุงคะ”
“ว่าไงหนูแพง มีอะไรหรือเปล่า”
“หนูเจนนี่ใครคะ? ใช่เจนจิราที่อยู่บ้านพักตรงโน้น...เอ๋...ตรงโน้นหรือเปล่าน้า แพงก็ไม่แน่ใจ” หญิงสาวหัวเราะเสียงใส ใบหน้าแดงระเรื่อเมื่อชี้นิ้วไปทางหลังบ้าน ก่อนจะชี้ไปทางหน้าบ้าน ตามความทรงจำอันลางเลือน
“หึ หึ หนูแพงนี่ความจำดีใช้ได้เลย เจนจิราหลานสาวตามิ่งที่เคยเห็นวิ่งเล่นในฟาร์มมาตั้งแต่เด็กนั่นแหละ”
“แพงพอจำได้ลางๆ แต่ก็ไม่แน่ใจนักค่ะคุณลุง” หญิงสาวชวนสนทนา ให้รู้ว่าเธอสนใจ และไม่เคยลืมแสงสุขฟาร์ม ทั้งที่ไม่ได้เยี่ยมกรายมาที่นี่หลายปีดีดัก
“ตอนนี้เจน เค้าก็ทำงานเป็นผู้ช่วยเจ้าวิชญ์มัน คนนี้ไว้ใจได้ เรียนจบก็กลับมาช่วยงานที่ฟาร์ม เป็นเด็กดี ขยัน และก็ทำงานเก่ง”
“ดีจังเลยค่ะ”
สาวสวยหน้าเจื่อนลงเล็กน้อย เมื่อได้ยินสาครเอ่ยชมเด็กลูกจ้างในฟาร์ม เหมือนเอ็นดูเป็นพิเศษ ในความทรงจำอันเลือนลางของเธอ จำได้ว่าเตวิชญ์ก็ใส่ใจเด็กคนนั้นเหมือนเป็นน้องสาวคนหนึ่ง ทั้งที่ในสายตาเธอก็แค่ลูกคนงาน
...ได้เป็นถึงผู้ช่วยของพี่วิชญ์อย่างนั้นรึ
“พวกเราไม่ได้แวะเวียนมานานเลย ตั้งแต่งานของช่อ ที่นี่ดูเปลี่ยนไปเยอะนะคะคุณคร กว้างขวางใหญ่โตขึ้นมากเลยค่ะ”
สายตาของมาลินีมองออกไปหน้าบ้าน ก่อนจะกวาดมองภายในห้องรับแขก ที่ดูโอ่อ่าใหญ่โต เครื่องประดับน้อยชิ้น แต่ดูก็รู้ว่าเป็นของหายาก และราคาก็คงไม่ธรรมดา นี่มันเศรษฐีบ้านนอกชัดๆ
“ครับ...นานมาก ผมก็ได้ลูกชายสองคนนี่แหละเป็นหัวเรี่ยวหัวแรง ทำให้ฟาร์มโคนมขยายใหญ่โตขึ้น ตอนนี้ก็ขยายโรงงานเพิ่ม...ปีกด้านโน้นก็เป็นสวนองุ่น” สาครพูดด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ
“คุณครกับช่อโชคดีมากเลยนะคะ มีลูกชายเก่งขนาดนี้ เสียดายนะคะที่ช่ออายุสั้น ไม่อย่างนั้น คงได้เห็นความสำเร็จของลูกชาย”
“ครับ นี่ก็เป็นฝั่งเป็นฝาไปแล้วหนึ่ง ก็เหลือแต่เจ้าวิชญ์นี่แหละที่ยังครองตัวเป็นโสด”
เตวิชญ์คิ้วกระตุก เมื่อจู่ๆ เรื่องที่ผู้ใหญ่กำลังคุยกันวกมาหาเขา สีหน้าและรอยยิ้มของสาคร ทำให้ลูกชายหรี่ตามอง ถึงรับปากจะช่วยดูแลให้ก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะกลายเป็นเนื้อคู่ตุนาหงันของใครหรอกนะ
“อะไรกันคะ คุณวิชญ์ หน้าตาออกจะหล่อเหลา โปรไฟล์ก็ดีขนาดนี้ยังโสดอีกเหรอ” มาลินีจ้องหน้าลูกชายเพื่อน สีหน้าแปลกใจ
“เอ่อ...” เตวิชญ์แค่เตรียมจะอ้าปากพูด ก็ไม่ทันสาครแล้ว
“ก็มัวแต่ทำงานน่ะสิคุณเหมย ทำงานทำการไม่สนใจใคร วันๆ ก็เจอแต่แปลงหญ้า กับสวนองุ่น หรือไม่ก็ห้องแล็บ มีอยู่แค่นี้” แล้วสาครก็เริ่มตั้งแผงขายลูกชายทันทีเมื่อมีโอกาส
“ผู้ชายไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณสาคร จะแต่งเร็วแต่งช้าก็ไม่เป็นปัญหา ยิ่งอายุมากขึ้น ก็ยิ่งสร้างหลักปักฐานมั่นคง ผู้หญิงที่ไหนก็ต้องชอบ”
“ผมก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น แก่ปูนนี้ ก็อยากจะเลี้ยงหลานแล้ว” สาครรำพึงรำพันออกมา ลูกชายคนเล็กถึงกลับกลอกตามองบน ให้กับมารยาของคนแก่
“เฮียก็กำลังจะมีลูก ป๊าคงไม่ต้องรอนานหรอก”
“ฉันก็อยากเห็นลูกแกด้วย”
“หึ!” เตวิชญ์ไม่อยากพูดต่อ หากไม่เกิดเหตุการณ์ผิดฝาผิดตัว ป่านนี้เขาก็คงแต่งงานมีลูกมีเมียไปแล้ว
แต่ถึงตอนนี้ก็ไม่ได้คิดอะไร ในเมื่อเรื่องระว่างเขากับพี่ชาย และอดีตคู่หมั้น มันจบไปแล้ว ไม่คิดจะสนใจ
ตั้งแต่เมื่อไหร่ ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันที่รู้สึกเฉยๆ กับเรื่องนี้ ไม่เจ็บ ไม่คะนึงหา ไม่อาลัย ทั้งที่ตอนนั้นเขาเจ็บหนักจนคิดว่าตัวเองคงจะเข็ดขยาดเรื่องความรัก
แต่เอาเข้าจริงก็ไม่ได้เจ็บนานขนาดนั้น เหมือนคนเคยป่วย กินยารักษาตัวไม่นานก็หาย หรือบางทีเขาอาจจะ...แว้บหนึ่งที่นึกไปถึงใครบางคน...ไม่หรอก ไม่ใช่!
“คนเป็นพ่อเป็นแม่น่ะครับคุณเหมย อยากเห็นลูกหลานมีความสุข นี่ถ้าเจ้าวิชญ์มันรักใครชอบใคร ผมจะไปสู่ขอให้มันเลย”
สายตาเหลือบมองลูกชายคนเล็ก เห็นเอาแต่นั่งนิ่ง ใบหน้าแม้จะแย้มยิ้ม แต่ดวงตากลับเฉยชา ต่างจากสาวสวย ที่นั่งหน้าแดง ใบหน้าก้มต่ำท่าทางเขินอาย