จากนั้นเจนจิราก็พาลูกค้าหนุ่มไปดูในส่วนโรงงาน และคุณภาพของหญ้าที่เป็นวัตถุดิบนำมาป้อนโรงงาน ตลอดเวลาที่พาเยี่ยมชม หญิงสาวอธิบายได้อย่างฉะฉาน มั่นใจ ฉลาดรอบรู้ ในสายตาธัชพงษ์ เธอคือมืออาชีพ
บางครั้งเจนจิราก็เดินเข้าไปพูดคุยกับลูกน้อง สั่งงานเสียงดัง คล่องแคล่ว ปราดเปรียว เก่งกาจ รู้เรื่องงานเรื่องอาหารสัตว์ และแปลงหญ้าเป็นอย่างดี ชายหนุ่มจ้องมองด้วยสายตาชื่นชม
ทั้งสองคนเริ่มพูดคุยเป็นกันเองมากขึ้น คุยถูกคอ อย่างว่าคนขยันมาเจอคนขยัน ต่างฝ่ายต่างชื่นชมซึ่งกันและกัน ยิ่งธัชพงษ์รู้ว่าเธอเป็นคนคอยกำกับดูแลทั้งแปลงหญ้า และไร่องุ่น ก็ยิ่งทำให้รู้สึกทึ่ง...และน่าสนใจ
สวยอย่างเดียวไม่พอ ยังมากความสามารถ ถ้าจะชวนไปเป็นนายหญิงธะนะฟาร์ม เธอจะสนใจรับข้อเสนอของเขาไหมนะ ธัชพงษ์ถามตัวเองเล่นๆ แต่สายตาจับจ้องใบหน้าหวานไม่วางตา
...หรือจะลองดู
“ลูกพี่”
เดย์ผลักประตูเปิดเข้ามา ปากก็ส่งเสียงเรียกตั้งแต่หน้าห้อง แต่พอเห็นลูกพี่สาวกำลังคุยโทรศัพท์ ก็ชะงักก่อนจะเงียบปากลง และเดินเข้าไปนั่งเก้าอี้หน้าโต๊ะ
“ได้ค่ะ ถ้าคุณพงษ์สะดวกวันไหนก็แจ้งเจนได้ตลอดเวลานะคะ ไม่มีปัญหาเลยค่ะ ทางเรายินดีอยู่แล้ว...ค่ะ...ขอบคุณนะคะ สวัสดีค่ะ”
เจนจิราวางสายเสร็จก็หมุนตัวกลับไปที่หน้าจอคอมฯ กดแป้นคีย์บอร์ดรัวเร็ว กระทั่งเสร็จเรียบร้อย จึงหันกลับมามองลูกน้องคนสนิท ก็เห็นจ้องหน้าเธออยู่ก่อนแล้ว ไม่พูดไม่จาและเงียบผิดปกติ
“จะพูดไรก็พูดมา นั่งจ้องหน้าอยู่ได้รำคาญ”
“ถามจริง”
“ไอ้เดย์! ถ้าแกไม่มีไรก็ไปไกลๆ มีงานไรก็ไปทำ”
“งานน่ะมี ช่วงบ่ายผมก็ต้องไปกับลูกพี่ไง”
“เออ ใช่” ลูกพี่สาวพยักหน้าหงึกหงัก
ลืมไปเลยว่าสั่งให้เดย์ลงไปที่แปลงพร้อมกัน แต่รำคาญสายตามันที่เอาแต่จ้องหน้าเธอเขม็ง จะพูดอะไรก็ไม่พูด น่ารำคาญ จะทำงานก็ไม่มีสมาธิ เจ้านายก็คนหนึ่งแล้วที่ทำเอาสมาธิเธอกระเจิดกระเจิง นี่ลูกน้องยังจะคอยกวนประสาทอีก
“เดย์...ถ้าแกไม่พูด คราวนี้ฉันถีบตกเก้าอี้เลย เอามั้ย”
“แหะ แหะ ดุเชียว เมื่อกี้ยังคะๆ ขาๆ อยู่เลย”
“จะพูดมั้ย ถ้าไม่พูดก็ย้ายก้นแกไปไกลๆ”
“พูดแล้วครับ พูดแล้ว”
“มีไร? ว่ามา”
“คุณธัชพงษ์อะไรเนี่ยเค้าโทรหาลูกพี่ทุกวันเลยเหรอ”
“เกี่ยวอะไร”
“ก็อยากรู้”
“โทรมาแล้วไง ไม่เห็นแปลก ก็เค้าเป็นลูกค้า”
“แปลกซี!”
“...แกจะพูดไรก็พูดมา”
“ผมว่า เขากำลังจีบลูกพี่...จริงๆ นะ ผมดูออก โอ๊ย!!...เจ็บนะพี่เจน” เดย์ยกมือขึ้นคลำหน้าผากป้อยๆ เมื่อจู่ๆ กำปั้นลูกพี่สาวก็หล่นตุ้บใส่กบาล
“เจ็บสิดี จะได้หยุดปากเสีย”
“แต่ผมพูดจริงๆ นะ ไม่เชื่อก็สังเกตดู”
“พูดบ้าๆ เดี๋ยวคนอื่นมาได้ยิน เค้าจะหาว่าฉันไม่เจียมกะลาหัว ต่อไปห้ามพูดแบบนี้อีก” น้ำเสียงหญิงสาวจริงจัง ไม่มีแววล้อเล่น
“แต่...ผมว่ามัน...”
“ไอ้เดย์!” น้ำเสียงแข็งกร้าว ดุดัน ฟังดูคล้ายเจ้านายไปอีกคน นี่ลูกพี่ของไอ้เดย์ใกล้ชิดนายวิชญ์มากเกินไปแล้วมั้ง ถึงได้ดูคล้ายกันราวกับแฝดคนละฝาขนาดนี้
“ก็ได้ๆ ไม่พูดแล้ว รับรอง...สัญญาด้วยเอ้า” ลูกน้องรีบชูสามนิ้วให้คำมั่นสัญญาทันที กลัวจะโดนมะเหงกอีกรอบ
“ดี! ถ้าฉันได้ยินแกพูดอีก จะส่งไปเกี่ยวหญ้าทั้งแปลงแทนรถเกี่ยว”
“ลูกพี่! ไม่แล้ว เดย์ให้สัญญาจะไม่พูดสักแอะเลย” เดย์ลนลานสัญญา เพราะรู้ว่าคนอย่างลูกพี่สาวไม่เคยพูดเล่น
เจนจิราตวัดหางตามองลูกน้องคนสนิท พูดออกมาได้ว่าธัชพงษ์คิดจะจีบ ไม่รู้หรือไงว่าคนระดับนั้น เขาไม่มีทางชายตาแลลูกจ้างแบบเธอหรอก ถ้าจะมองก็คงคิดเป็นแค่ของเล่น หรือไม่ก็เพราะผลประโยชน์ทางการค้าเท่านั้น
อีกอย่างเธอเองก็ไม่เคยคิดจะชอบใคร ไม่ว่าผู้ชายคนนั้นจะดีเริ่ด หรือวิเศษสุดแค่ไหน เข็ดแล้ว ทุกวันนี้ก็ยังเจ็บไม่หาย ฝังจิตฝังใจอยู่นี่แหละ แล้วจะมีกะจิตกะใจที่ไหนไปรักใครอีก
เตวิชญ์ย่างเท้าเข้าบ้านใหญ่ในรอบครึ่งเดือน สายตากวาดมองรอบบ้าน แต่ไม่เจอใครสักคน จึงเดินตรงไปยังห้องรับแขก แต่ก็ต้องชะงัก เมื่อหูแว่วได้ยินเสียงคนคุยกันดังมาจากด้านใน ขยับขาก้าวถอยหลังทันที เตรียมจะหมุนตัวกลับทางเดิม ก็พอดีเด็กรับใช้ส่งเสียงเรียกดังมา
“นายวิชญ์...นายวิชญ์คะ! นายใหญ่เชิญที่ห้องรับแขกค่ะ”
“ป๊ามีแขกไม่ใช่เหรอ”
“ค่ะ”
“งั้นบอกป๊า เดี๋ยวฉันมาใหม่ละกัน”
“แต่นายใหญ่ให้เชิญนายวิชญ์เข้าไปตอนนี้เลยค่ะ”
“ตอนนี้?”
“ใช่ค่ะ”
เตวิชญ์พยักหน้า พลางถอนหายใจออกมายืดยาว ก่อนจะก้าวเท้าตรงไปทางห้องรับแขกอย่างเลี่ยงไม่ได้...ไม่เป็นไร เรื่องที่สาครจะคุยคงใช้เวลาไม่นานก็น่าจะเสร็จ แต่พอก้าวเท้าเข้าไปในห้องก็ต้องชะงัก เมื่อแขกของสาครไม่ใช่ลูกค้าที่เคยคุ้นหน้ากัน แต่กลับเป็นหญิงสาวสองคนต่างวัย กำลังพูดคุยกับสาครอย่างสนิทสนม
“เจ้าวิชญ์เข้ามาสิ” สาครกวักมือเรียกลูกชายให้เข้าไปหา ก่อนจะตบเบาๆ ตรงโซฟาข้างตัวให้อีกฝ่ายเข้าไปนั่ง
“สวัสดีครับ” เตวิชญ์ยกมือขึ้นไหว้ตามมารยาท ไม่คิดจะสนใจถามไถ่ว่าทั้งคู่เป็นใคร
“จำน้าเหมยกับหนูแพงได้หรือเปล่า”
“เอ่อ ครับ”
เตวิชญ์ผงกหัวให้และคลี่ยิ้มเล็กน้อย จำไม่ได้หรอกว่าหญิงวัยกลางคน กับสาวสวยเฉี่ยวคนนี้เป็นใคร
“เพื่อนสนิทแม่เราไง”
ชายหนุ่มส่งยิ้มให้สองแม่ลูก แต่ในความทรงจำของเขากลับไม่มีสองคนนี้ คงเพราะตอนนั้นเขายังเด็กมาก หรือไม่ก็อาจจะเป็นช่วงที่เขาไปเรียนต่อที่ประเทศ เลยไม่ค่อยรู้จักเพื่อนฝั่งแม่มากนัก
“แพงเคยมาเที่ยวที่นี่ตอนเด็กๆ ไงคะ เคยไปวิ่งเล่นตรงลานหญ้าตรงโน้น แล้วก็ไปช่วยพี่วิชญ์ปลูกต้นไม้ตรงริมน้ำด้วย จำได้มั้ยคะ” หญิงสาววัยไม่เกินยี่สิบห้า สวยคม ใบหน้าคล้ายพิมพ์นิยมสาวเกาหลี ผิวขาวออร่าจนดูซีด กำลังเท้าความหลังให้เขาฟัง ก่อนเตวิชญ์จะส่งยิ้มให้เมื่อนึกออกแล้วว่าใคร
“ครับ พอนึกออกแล้ว”
“อะไรกัน แค่สิบกว่าปีเอง พี่วิชญ์จำแพงไม่ได้เลยเหรอคะ”
“ก็หนูแพงโตขึ้นแล้วสวยขนาดนี้ พี่เค้าก็เลยจำไม่ได้” สาครตอบให้เมื่อลูกชายคนเล็กเอาแต่ยิ้ม ไม่พูดต่อ
“ขอบคุณค่ะคุณลุง” หญิงสาวยิ้มเอียงอาย เมื่อผู้ใหญ่เอ่ยชม ถึงชายหนุ่มตรงหน้าจะไม่พูดอะไร แต่รอยยิ้มที่ส่งมา ก็ทำให้หญิงสาวหัวใจเต้นแรง