แล้วจูบดุดันก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนกลายเป็นแผ่วเบา หวานละมุน ความรู้สึกซาบซ่านไหลวนไปทั่วกายสาวมือเรียวเล็กที่เคยต่อต้านขัดขืน บัดนี้ตกลงข้างลำตัว ไร้เรี่ยวแรง ได้แต่แหงนหน้ารับจูบเขาด้วยความเต็มใจ
“หึ! ตัวอ่อนขนาดนี้ยังบอกว่าไม่รู้สึกอะไร” น้ำเสียงเยาะหยันดังขึ้นชิดริมหู เรียกสติหญิงสาวให้ฟื้นกลับมา
“อย่าหลงรักฉัน” น้ำเสียงจริงจัง คำเตือนที่ฟังแล้วรู้สึกหนาวสะท้าน ไม่มีท่าทีล้อเล่น ดวงตาคมกริบจ้องประสานสายตาเธอ หญิงสาวชะงัก รับรู้ถึงความห่างเหินที่นับวันมีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
“จะ...เจนไม่คิดสั้นแบบนั้นหรอก”
“ก็ดี เพราะฉันยังอยากให้ทำงานกันไปนานๆ ขี้เกียจต้องมาหาผู้ช่วยคนใหม่”
นี่สินะประโยชน์ของเธอ ทำงานให้เขาได้
“คนอย่างเจนไม่มีที่ให้ไปหรอกค่ะนอกจากแสงสุข แล้วเรื่องอะไรเจนจะคิดทำลายอนาคตของตัวเองเพราะเรื่องไร้สาระแค่นี้ นายวิชญ์ก็รู้อยู่แล้วนี่ ว่ายังไงเจนก็เลือกเงินกับงาน มากกว่าเรื่องอื่น”
“ก็ดีที่ยังรู้จักใช้สมอง” น้ำเสียงกระแทกแดกดันของเขา ไม่รู้กำลังชมหรือด่าเธอกันแน่
“แล้วนายวิชญ์ก็ไม่ต้องกลัวนะคะ ว่าเจนจะเอาเรื่องคืนนั้นไปบอกใคร เพราะยังไงเจนก็ยังมียางอาย”
พูดจบหญิงสาวก็สะบัดตัวหันหลังให้ และเดินจากมาโดยไม่สนใจว่าเจ้านายจะพูดอะไรอีก แค่นี้เธอก็รู้แล้วว่า คนบางคนเหมาะที่จะเก็บไว้ให้ลึกสุดใจ เก็บไว้ให้คิดถึง และโหยหา ให้รู้ว่าเราก็รักใครเป็นเหมือนกัน...ดีกว่าต้องมานั่งทุกข์ใจ เพราะหวังในสิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้
“มานั่งเกะกะอะไรตรงนี้...หลบไป ฉันจะทำงาน”
เจนจิราเดินเข้ามาในห้องทำงาน ก็เห็นเดย์นั่งเฝ้าหน้าโต๊ะ มือเท้าคาง ใบหน้าที่กร้านเพราะแดดเลีย จนกลายเป็นไอ้หนุ่มสีแทน ยุ่งจนยับ คิ้วก็ขมวดพันกันเป็นปม ราวกับมีเรื่องหนักอกหนักใจใหญ่หลวง
“ลูกพี่” เมื่อเธอทรุดลงนั่งเก้าอี้ ยังไม่ทันหยิบแฟ้มงานขึ้นมาดู มันก็ส่งเสียงเรียก แววตาวิตกกังวลอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน
“ไร?”
“ลูกพี่...สงสัยชีวิตทำงานผมจะไม่รุ่งแล้ว” สีหน้าเศร้าอย่างเห็นได้ชัด
“อะไรของแก”
“ก็เจ้านายน่ะสิ”
“จะเล่าก็เล่า อย่ามาลีลา”
“นายวิชญ์...นายวิชญ์เปลี่ยนไป๋”
“เปลี่ยนยังไง อ้อ...ไม่มีคนเลี้ยงเหล้าก็เลยมาร้องคร่ำครวญ”
“เปล่า...ผมไม่ได้หมายความถึงเรื่องนั้นซะหน่อย”
“แกก็พูดมาสักที ฉันจะได้ทำงาน ไม่มีเวลามาเล่นทายคำกับแกหรอกนะ”
“กะลูกพี่ นายวิชญ์เปลี่ยนไปมั้ย แบบไม่เหมือนเดิม แล้วยังน่ากลัวด้วย”
“โดนไรมาล่ะ”
“เจ้านายเป็นอะไรก็ไม่รู้ เมื่อวานผมพูดแหย่เล่นนิดเดียว โดนเล่นงานเกือบตาย เข้าใกล้ก็มองตาขวาง คุยงานด้วยก็ตะคอกใส่ เหมือนไม่พอใจอะไรสักอย่าง ผมนี่กลัวจนสั่นเลย”
“แกไปทำไรให้เขาไม่พอใจล่ะสิ”
“แต่ผมนอนคิดมาทั้งคืนแล้วนะ...ไม่มี..งานก็ไม่เคยทำเสียหาย ไม่เคยขัดคำสั่งเจ้านาย จะว่าเพราะรินเหล้าหก มันก็ผ่านมาตั้งหลายเดือนแล้ว ทำไมเพิ่งมาโกรธตอนนี้วะ ไม่เข้าใจ”
“นายวิชญ์เค้าเป็นคนจริงจังเวลาทำงาน แกก็รู้นี่” เจนจิราบอกลูกน้อง พร้อมกับบอกตัวเองด้วย ไม่มีอะไรหรอกน่า
“แต่ผมก็ไม่เคยเล่นๆ เลยนะ ตั้งใจทำงานตลอด แต่เมื่อวาน...นายวิชญ์ทำหน้าเหมือนโกรธและเกลียดขี้หน้าผมอย่างแรง นี่ยังนึกไม่ออกเลยว่าไปทำอะไรไว้”
“เกลียดเลยเหรอ”
“ใช่...มองผมงี้ตาขวาง เหมือนอยากต่อยยังไงอย่างงั้นเลย”
“บ้าาาา...เค้าจะไปทำร้ายแกทำไม”
“จริงๆ ผมไม่ได้โกหกนะลูกพี่ เนี่ย...ยังขนลุกอยู่เลย” เดย์ยื่นแขนมาตรงหน้าให้ลูกพี่สาวดู ว่ามันรู้สึกแบบนั้นจริงๆ”
“ไม่หรอกมั้ง แกน่ะคิดมาก”
แล้วคำพูดเมื่อหลายวันก่อนก็ผุดขึ้นมาในหัว ไม่จริงน่า เรื่องแค่นั้นเขาคงไม่เอามาใส่ใจ แต่คนที่แอบเอาชื่อลูกน้องไปอ้างก็เริ่มร้อนตัว แกล้งหยิบนั่นหยิบนี่บนโต๊ะ ดูยุ่งขึ้นมาทันที พลางปลอบใจตัวเอง ไม่หรอกน่า เขาคงไม่ดึงคนอื่นเข้ามาเกี่ยวหรอก เตวิชญ์ไม่ใช่คนนิสัยแบบนั้น...หรือเปล่า
“เค้าจะไม่พอใจแกเรื่องอะไร” ลูกพี่สาวยังถามต่อ เหมือนไม่เชื่อ แต่ในใจเริ่มคิดแล้ว เพราะเธอหรือเปล่า
“ก็นั่นน่ะสิ นี่นอนคิดมาทั้งคืนก็ยังนึกไม่ออก เคยกินเหล้าด้วยกันดีๆ ไม่กี่เดือนก็ลืมลูกน้องที่น่ารักอย่างฉันแล้ว งงจริงๆ”
“แกอย่าไปสนใจเลยน่า ตั้งแต่เลิกเมา เจ้านายก็เปลี่ยนไปตั้งเยอะ ถ้าจะเหวี่ยงวีนมากขึ้น ก็ไม่แปลกหรอก”
“ลูกพี่ก็โดนเหมือนกันเหรอ”
“อือ” เจนจิราพยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะหยิบแฟ้มกางออก และก้มลงอ่านเอกสารตรงหน้า ตัดบทไม่อยากพูดถึงเจ้านายอีก
“เออจริงสิ ผมได้ข่าวว่าพี่จะไปช่วยงานที่ฟาร์มโคนมเหรอ”
“ใครคาบข่าวไปบอกอีกล่ะ” เจนจิราเหลือบตาขึ้นมองคนรู้มาก
“แฮ่...แฮ่ เปล่าหรอก ไม่มีใครบอก แต่ผมได้ยินเค้าพูดๆ กัน...”
เจนจิราส่ายหัว เพิ่งผ่านมาไม่กี่วันเจ้ากรมข่าวลือก็ช่างรวดเร็วทันใจ สังคมในแสงสุขฟาร์มก็เป็นแบบนี้ล่ะ ใครทำอะไร ที่ไหน อย่างไร เร็วยิ่งกว่าสัญญาณไวไฟ ใครแต่งงานกับใคร ใครท้อง ใครแปลกหน้าเข้ามา รู้หมด โดยเฉพาะเรื่องไม่ดี เรื่องลับๆ ชอบนักล่ะ
พอนึกถึงเรื่องนั้นขึ้นมา ก็รู้สึกเย็นวาบไปทั่วแนวสันหลัง หวาดกลัวจนขนหัวลุก ไม่นะ!! เรื่องระหว่างเธอกับเตวิชญ์จะให้ใครล่วงรู้ไม่ได้เป็นอันขาด ต่อให้จิตแข็งแค่ไหน ถ้าเจอฝีปากชาวบ้าน ซุบซิบนินทา ขจรขจายไปทั้งฟาร์ม ยิ่งกว่าไฟลามทุ่ง เธอก็คงอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้เหมือนกัน
“เค้าของแกนี่มันจมูกดีจริงๆ นะ รู้ดี”
“ว่าแต่จริงปะ ลูกพี่จะทิ้งพวกฉัน ไปจริงๆ เหรอ”
“นายใหญ่สั่ง”
“ห๊า!!...งั้นก็เรื่องจริงดิ”
“ตอนนี้ยัง...ถ้าไปก็คงประมาณเดือนหน้า”
“ลูกพี่...ผมไปด้วย” ลูกน้อง ลูกไล่ หรือจะเรียกว่าน้องชายก็ได้ บีบเสียงเล็กเสียงน้อยขอติดตามไปด้วย
เจนจิราจ้องหน้าเดย์ พลางส่ายหัวให้กับท่าทางออดอ้อนแบบไม่เกรงใจรูปร่างของตัวเอง เกือบยี่สิบปีแล้วที่รู้จักกันมา หนุ่มรุ่นน้องอายุห่างจากเธอประมาณห้าปี เป็นลูกคนงานในไร่ อาศัยอยู่กับแม่สองคน ส่วนพ่อเสียไปแล้ว
สมัยก่อนเดย์กับพ่อแม่เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ใหม่ๆ ตอนนั้นมันยังเด็กแค่สามขวบ รูปร่างผอมแห้ง ขี้กลัว ไม่สู้คน มักจะถูกรังแกและก็ร้องไห้วิ่งกลับบ้านทุกวัน