การมาถึงของติยคุณทำเอาลานนาวางตัวไม่ถูก ตั้งแต่เธอรู้จักกับผู้ใหญ่ใจดีอย่างทัศดนัย เธอรับรู้มาตลอดว่าเขามีลูกชายหัวแก้วหัวแหวนอยู่หนึ่งคน คนคนนั้นชื่ออะไร อยู่ที่ไหน ล้วนแล้วเป็นข้อมูลพื้นฐานที่เธอได้ยินจากปากมารดาเท่านั้น แต่ไม่เคยเห็นตัวจริงสักครั้งด้วยติยคุณไม่เคยกลับมาประเทศไทยเลยตั้งแต่ย้ายไปอังกฤษคราวนั้นตามคำบอกเล่าของคนเป็นพ่อ
ใช่...ทัศดนัยเป็นพ่อของเธออีกคนแล้วในตอนนี้ เธอนับว่าเขาเป็นอย่างนั้นตั้งแต่ที่แม่มาบอกว่าหล่อนตัดสินใจแต่งงานกับพ่อม่ายลูกติดคนหนึ่ง
ตอนแรกลานนาค่อนข้างจะประหลาดใจ ตกใจ และไม่เห็นด้วยอยู่เหมือนกัน ทว่าเมื่อได้รู้จักกับทัศดนัยแล้ว รวมถึงได้รับรู้เรื่องราวบางอย่างมา ทำให้เธอค่อยๆ เปิดใจให้กับพ่อใหม่คนนี้ทีละน้อย จนในที่สุดก็กลายเป็นครอบครัวเดียวกัน
‘หนูนาไม่ต้องห่วง ลุงจะรักและดูแลหนูเหมือนเป็นลูกสาวแท้ๆ ของลุง’
‘ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แค่ดูแลคุณแม่หนูดีๆ ก็พอ’
‘ไม่ได้หรอก ลุงรักแม่ของหนู ลุงก็ต้องรักหนูด้วย ลุงจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ลุงให้สัญญา’
เสียงของทัศดนัยในวันที่ผู้ใหญ่ทั้งคู่มาบอกเธอว่าตัดสินใจจะลงเอยกันอย่างไรดังก้องเข้ามาในหัวของหญิงสาว เธอยังจำวันนั้นได้ว่ามันน่าตื้นตันอย่างไร แต่วันนี้...กลับเป็นความงุนงงว่าเธอไปทำอะไรผิดหรือเปล่า การได้เจอหน้ากับพี่ชายต่างสายเลือดถึงได้ดู...ไม่ราบรื่นเอาเสียเลย
ไม่ราบรื่นจริงๆ อาจเป็นเพราะเธอไม่ได้เตรียมใจมาก่อนด้วยก็ได้ ลานนาย้อนคิดไปว่าก่อนที่ทัศดนัยกับลักขณาจะไปฝรั่งเศส มีใครได้บอกอะไรไว้ไหมว่าติยคุณจะมา
ไม่...เธอมั่นใจว่าไม่มี แล้วการที่ติยคุณโผล่มาอย่างนี้ มันหมายความว่า...
“จะเอากระเป๋าไปเก็บอีกนานไหม เก็บเสร็จแล้วก็ลงมาข้างล่าง ฉันมีเรื่องจะถาม!”
เสียงร้องเรียกดังเข้ามาในโสต ทำเอาหญิงสาวที่กำลังครุ่นคิดอยู่ตามลำพังสะดุ้งโหยง หันไปมองประตูห้องก่อนจะต้องย่นคิ้วเมื่อได้ยินเสียงอีกครั้ง
“หูหนวกหรือไง จะต้องให้ฉันเสียงดังอีกเมื่อไรถึงจะโผล่หัวมา!?”
ไปกินรังแตนมาจากไหนกัน!
ลานนาไม่เข้าใจเลยว่าไปทำอะไรขัดหูขัดตาเขาตอนไหน เขาถึงได้หัวเสียขนาดนี้ หรือเป็นเพราะเจ็ตแล็กไม่หายกัน ถึงได้หงุดหงิดไม่เลิก
“ลานนา!”
“ค่า! ลงไปแล้วค่า!”
ได้ยินเสียงเรียกอีกครั้ง เธอจึงร้องขานกลับไป ก่อนรีบพาตัวเองลงไปข้างล่าง ที่ห้องนั่งเล่นมีติยคุณนั่งทอดกายอยู่บนโซฟา เขาเหลือบมามองเมื่อเห็นเธอกึ่งวิ่งกึ่งเดินลงมาจากบันได
“ทีนี้ก็บอกฉันสักทีว่าพ่อฉันไปไหน”
เขาอยากรู้เรื่องนี้ ขณะที่ลานนาละล่ำละลักตอบ
“ไปฝรั่งเศสค่ะ นาว่านาบอกไปแล้วนะคะ”
เขาเหลือบมองใบหน้ากลมเล็กน้อย “รู้ว่าบอกไปแล้ว แต่ไปทำไม พ่อฉันมีธุระอะไรที่นั่น”
ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นพ่อเดินทางออกนอกประเทศตั้งแต่แม่ตาย ขนาดเขาไปเรียนอยู่อังกฤษตั้งหลายปี ยังไม่เคยโผล่หน้าไปเยี่ยมสักครั้ง นี่เดินทางไปถึงฝรั่งเศส มันต้องมีอะไรแน่
“ก็...”
ลานนาอึกอัก ไม่แน่ใจว่าควรตอบดีไหม คำตอบของเธอจะทำให้พ่อลูกมีปัญหากันหรือเปล่า เพราะดูทรงแล้วเหมือนทัศดนัยจะไม่ได้บอกอะไรกับลูกชายเขาไว้เลยแม้แต่น้อย
“ฉันถามอะไรไปก็ตอบมาสักที!”
ขึ้นเสียงด้วยความหงุดหงิดใจอีกแล้ว ลานนาสะดุ้งน้อยๆ ก่อนตัดสินใจในห้วงวินาที
“ไปเที่ยวน่ะค่ะ”
“เที่ยว? กับใคร”
“อะ...เอ่อ...คุณแม่”
“แม่เธอน่ะเหรอ”
คราวนี้หญิงสาวพยักหน้าให้เป็นคำตอบพลางเหลือบมองใบหน้าของติยคุณที่แลดูจะเคร่งเครียดขึ้นมา
“อย่าเสนอหน้ามาบอกฉันเชียวว่าไปฮันนีมูนกัน”
ลานนาจะไปพูดอะไรได้ เธอได้แต่เม้มริมฝีปากแน่น ในเมื่อไม่ให้เธอตอบ เธอก็ไม่ตอบ แต่เท่านี้ก็เป็นคำตอบให้กับติยคุณแล้วว่าสิ่งที่เขากำลังสงสัยเป็นไปตามนั้น
“พวกเธอนี่มัน...หวังอะไรจากพ่อฉันจริงๆ ด้วย”
เขาหลุดปากพูดในสิ่งที่คิดออกมาจนได้ ตอนนี้มั่นใจเกินร้อยเปอร์เซ็นต์เลยว่าสิ่งที่เขาคาดเดาเอาไว้ไม่ใช่เรื่องที่ผิดคาดสักนิด สองแม่ลูกคู่นี้หวังประโยชน์เรื่องการเงินจากพ่อของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย คิดดูแล้วกัน ผู้ชายอายุหกสิบกว่าจะมาแต่งงาน มันใช่เรื่องปกติที่ไหน ถึงแม้ว่าติยคุณจะรู้ว่าความรักเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัยก็ตาม แต่มันต้องไม่ใช่กับพ่อเขาที่แต่งงานปุบปับปานสายฟ้าฟาดโดยไม่ถามความเห็นเขาสักคำอย่างนี้!
“พวกงูพิษ”
หลุดปากออกมาอีกคำ ลานนาได้ยินตั้งแต่ประโยคเมื่อกี้แล้ว แต่ไม่แน่ใจว่าได้ยินถูกไหม กระทั่งมาได้ยินประโยคเมื่อกี้
“พี่ติหมายถึงใครเหรอคะ”
ถามเพื่อความแน่ใจ หากแต่ได้สายตากรุ่นโกรธกลับคืนมาแทน
“เมื่อกี้เธอเรียกฉันว่าอะไร”
“คะ?”
“ฉันถามว่าเรียกฉันว่าอะไร เป็นอะไรถึงต้องให้ฉันพูดซ้ำบ่อยๆ สมองพิการเหรอ”
คำพูดคำจารุนแรงขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล ลานนายังงุนงงอยู่ว่าตัวเธอทำอะไรผิด กระนั้นพอจะจับทางได้แล้วว่ามันต้องเกี่ยวข้องกับการที่เธอกับแม่มาอยู่ในบ้านหลังนี้แน่
“นาเรียกว่า ‘พี่ติ’ ค่ะ”
อย่างไรก็เถอะ เธอตอบไปตามความจริงก่อน พลันนึกถึงคำพูดของทัศดนัยขึ้นมาว่าถ้าวันใดวันหนึ่ง เธอได้รู้จักกับติยคุณอย่างเป็นทางการ เขาจะเป็นพี่ชายของเธอ เพราะฉะนั้นเธอเรียกเขาว่าพี่ได้เลย อย่างไรเสียก็เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว แต่ในความเป็นจริง ดูเหมือนว่าคนถูกเรียกจะไม่ใคร่นับเธอเป็นน้องเลยแม้แต่น้อย
“ใครสั่งใครสอนให้เธอเรียกฉันอย่างนี้ อ้อ คงจะเป็นพ่อสินะ”
มีเสียงหัวเราะขึ้นจมูกดังแว่วมาให้ได้ยินหนึ่งคำรบ ลานนาไม่ตอบอะไร ได้แต่ปล่อยให้ติยคุณพรั่งพรูสิ่งที่อยู่ในใจออกมาราวกับว่าเขาอดกลั้นกับสิ่งนี้มานานจนทนกักเก็บไว้ในใจไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว
“เธอกับแม่ก็แค่พวกงูพิษที่หวังจะมาชุบมือเปิบ เอาสมบัติจากพ่อฉัน อย่านึกนะว่าฉันไม่รู้!”
วินาทีนี้ ลานนาเข้าใจในทันทีว่าทำไมติยคุณถึงได้ไม่ยินดีเลยกับการได้เจอหน้าเธอ เขาคงจะคิดอะไรต่อมิอะไรไปไกลแล้ว โดยเฉพาะการเข้าใจผิดเรื่องที่เธอกับแม่หวังมาฮุบสมบัติของทัศดนัย
“นาไม่ได้คิดอย่างนั้นเลยนะคะพี่ติ”
“ใครพี่เธอ”
“...”
ถูกสวนมาอย่างนี้ก็ปิดปากฉับ ลานนาไม่กล้าพูดอะไรออกมา ขณะที่ติยคุณขยับตัวขึ้นนั่งหลังตรงแล้วส่งเสียงถามอีกครั้ง
“ฉันถามว่าใครพี่เธอ!?”
“ขออภัยค่ะคุณติ”
หญิงสาวรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณทันทีว่าควรต้องเรียกคนตรงหน้าว่าอะไร คราวนี้เหมือนติยคุณจะพอใจ เขาพ่นลมหายใจออกมาเต็มแรง ก่อนจะเอื้อนเอ่ยประโยคที่จับแพะชนแกะมั่วไปหมด
“ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมพ่อถึงได้อยากจะไปฝรั่งเศสขึ้นมาจนเนื้อตัวสั่น ที่แท้ก็คงแม่งูพิษของเธอออดอ้อนออเซาะขอให้พาไปล่ะสินะ แหงล่ะ พวกคางคกขึ้นวอ ไม่รู้จักประมาณตนจะเป็นอย่างนี้ ไม่เคยมี พอเห็นสมบัติของคนอื่นเข้าหน่อยก็ตาวาว คิดว่าเป็นของตัวเอง เลยใช้ทุกวิถีทางเพื่อที่จะได้มาครอบครอง”
“คุณติคะ ไม่ใช่แบบนั้นเลยนะคะ!”
ลานนาเถียงเสียงดัง เข้าใจผิดไม่พอ ยังต่อว่าแม่ของเธอเสียๆ หายๆ ด้วย ทั้งๆ ที่แม่เธอนั้นไม่ได้เป็นคน...
“ไม่ใช่แบบนั้นแล้วคือแบบไหน เท่าที่ฉันเห็น ก็คือพวกเธอรีบเก็บกระเป๋าเสื้อผ้าเข้ามาอยู่ในบ้านพ่อฉัน แล้วแม่เธอก็จับพ่อฉันแต่งงาน พาไปฮันนีมูนฝรั่งเศสหน้าชื่นตาบาน ไม่รู้จักมียางอาย”
“ก็มันไม่ใช่แบบนั้น!”
“แล้วเป็นแบบไหน!?”
“คุณติก็ช่วยหยุดฟังที่นาพูดสักหน่อยก่อนได้ไหมล่ะคะ!”
ต่างคนต่างเสียงดังใส่กัน ลานนาดูจะยอมไม่ได้เลยเมื่อมีคนมาว่าแม่ของตัวเอง หากแต่ติยคุณกลับยิ้มเยาะขึ้นมาราวกับว่ารู้ว่าจุดอ่อนของหญิงสาวคืออะไร
“ถ้าอยากให้ฉันช่วยฟัง งั้นเธอก็ช่วยทำให้ฉันพอใจเหมือนกับที่แม่เธอทำให้พ่อฉันพอใจก่อนสิ”
“คุณติหมายถึงอะไรคะ”
สีหน้าของหญิงสาวแปรเปลี่ยนไปทันที ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายเต้นระทึก เกรงเหลือเกินว่าจะเป็นเรื่อง...อย่างว่า เพราะถ้าเป็นเรื่องนี้ บอกได้เลยว่าเธอไม่พร้อมจะรับมือทั้งนั้น ยิ่งตอนนี้อยู่บ้านตามลำพังกับเขาสองคน ทุกอย่างมั่นสุ่มเสี่ยงมาก
ติยคุณไม่พูดอะไร คว้าเอาแก้วน้ำส้มที่เขาไปรินมาจากตู้เย็นมาถือไว้ในมือ ก่อนเทรดลงไปบนพื้นพรมที่เขาวางเท้าอยู่ น้ำส้มราดรดบนพรมสีขาวจนเป็นดวงวงกว้าง บางส่วนกระเซ็นไปเปื้อนรองเท้าหนังที่เขาใส่เข้ามาเหยียบพื้นบ้านโดยไม่สนใจว่าบ้านจะเลอะเทอะหรือไม่
“เช็ดรองเท้าให้ฉัน บางทีฉันอาจจะฟังเธอบ้างก็ได้”
ลานนาโล่งใจในประเด็นที่กังวลเป็นปลิดทิ้ง ก่อนนิ่วหน้าเมื่อรับรู้ได้ว่ากำลังถูกหมิ่นศักดิ์ศรีอยู่
“เรื่องอะไรที่นาจะต้องก้มลงไปเช็ดรองเท้าให้ล่ะคะ”
“ไม่ทำก็ไม่เป็นไร แต่อย่าลืมไปว่าเธอเป็นแค่คนอาศัย ถ้าไม่พอใจ ก็เชิญเก็บกระเป๋าออกจากบ้านหลังนี้ไปได้เลย”
ที่ติยคุณพูดมาไม่ผิดเพี้ยนเลยสักคำ ลานนากับลักขณาเป็นผู้อาศัยจริงๆ และพวกเธอก็ไม่มีที่ไป หากไม่ได้ทัศดนัยช่วยเหลือเอาไว้ล่ะก็ เธอคิดไม่ออกเลยว่าตอนนี้เธอกับแม่จะเป็นอย่างไร ถ้าหากลานนาตัดสินใจบุ่มบ่ามออกจากบ้านด้วยศักดิ์ศรีอะไรล่ะก็ มีหวังแม่ของเธอได้ตกที่นั่งลำบากแน่เมื่อกลับมาไทย เธอจะไม่ทำให้ความสุขของแม่ที่ปรารถนามานานต้องพังทลายเพียงเพราะคนไม่น่ารักเพียงคนเดียวหรอก
“ว่าไง จะทำไม่ทำ? ฉันไม่บังคับ”
ไม่บังคับแต่ก็เหมือนบังคับเพราะเธอต้องเลือก
ลานนามองใบหน้าคมที่ยิ้มเย้ยใส่อย่างผู้มีชัยครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจทิ้งตัวลงนั่งคุกเข่าพร้อมกับหยิบมวนทิชชูบนโต๊ะมาถือไว้ในมือ ทว่าทันทีที่เธอกำลังจะเช็ด เขากลับแย่งทิชชูจากมือเธอไปถือ
“ใช้เสื้อเธอเช็ดซะ”
“อะไรนะคะ”
“ฉันบอกให้ใช้เสื้อเช็ด หูมีปัญหาจริงๆ ด้วย”
จะให้เช็ดอย่างไรล่ะ!?
ลานนากัดริมฝีปากอย่างลืมตัว ผู้ชายคนนี้ได้คืบจะเอาศอก เธอเกือบจะตัดสินใจปฏิเสธอยู่แล้วถ้าหากว่าหูไม่ได้ยิน
“เลือกเอาระหว่างไสหัวออกไปตอนนี้เลย กับยอมทำให้ฉันพอใจ เธอมีทางเลือกไม่มากนัก”
เธอมีทางเลือกไม่มากจริงๆ ยิ่งคิดถึงชีวิตตัวเองก่อนหน้าที่จะมาเจอทัศดนัย จึงตัดสินใจได้ไม่ยาก
“ขอใช้ชายเสื้อเช็ดได้ไหมคะ”
เธอต่อรอง ติยคุณผายมือเป็นเชิงบอกว่า ‘เชิญ’ หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าปอด ดึงชายเสื้อของตนออกมาข้างหน้าแล้วโน้มตัวลงไปเช็ดคราบน้ำส้มออกจากรองเท้าของชายตรงหน้าให้จนแห้ง พอเสร็จสิ้นจนเงยหน้าขึ้นมา เธอกลับพบกับสายตาเย้ยหยันจากเขาจนเธอหน้าชาไปหมด
นี่เธอต้องยอมเสียศักดิ์ศรีขนาดนี้เลยหรือ?
“เอาละ ทีนี้อยากพูดอะไรก็พูดมา ฉันจะยอมฟัง”
เขาเอนหลังพิงพนักโซฟา ยกขาขึ้นไขว่ห้าง รอฟังคำแย้งจากหญิงสาวที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม หากแต่ลานนาไม่มีอารมณ์จะเล่าอะไรแล้ว เธอหันหุนลุกขึ้นแล้ววิ่งขึ้นไปบนบ้านโดยไม่สนใจว่าติยคุณจะต่อว่าอะไรตามหลังหรือไม่
ทำไมชีวิตใหม่ของเธอจะต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วย ถ้าเธอรู้ว่าจะต้องมาเป็น ‘ครอบครัวเดียว’ กับคนอย่างนี้ เธอคงจะค้านการแต่งงานของแม่หัวชนฝา ไม่ปล่อยให้ใครมาดูแคลนเธอกับแม่ซึ่งๆ หน้าอย่างนี้หรอก!
เสียงประตูห้องดังโครมครามตามมาให้ได้ยิน ติยคุณพอจะเดาได้ว่ามันคงเป็นประตูห้องที่เขาเข้ายึดครอง ลานนาลืมไปแล้วล่ะมั้งว่าตอนนี้มันไม่ใช่ห้องของเธอ แต่เป็นห้องเขาแล้ว
ช่างมันเถอะ เขาจะเมตตาให้หญิงสาวได้ไปตั้งหลักก่อนแล้วกัน เพราะนี่เป็นเพียงการทักทายเล็กๆ น้อยๆ หลังจากนี้มีคลื่นระลอกใหญ่ตามมาจนเธอรับมือไม่ไหวอย่างแน่นอน...