Chapter 4
รักต้องห้าม (2)
ในห้องนอนที่อยู่อีกมุมหนึ่งของบ้าน เสียงร้องไห้กระซิกดังแว่วอยู่ในห้อง เจ้าตัวสะอื้นประหนึ่งกำลังเสียใจอย่างหนัก...ภัคภัสสรมองหน้าน้องสาวผ่านกระจกเงาบานใหญ่ มือของหล่อนก็ขยับไดร์เป่าผมไปมาเพื่อช่วยเป่าผมให้คนที่กำลังนั่งสะอื้น หลังจากเจออิทธิฤทธิ์ของแทนไท จนต้องอาบน้ำสระผมใหม่ในกลางดึกท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็น
"หยุดร้องได้แล้วฟ้า อย่าให้เขาเห็นน้ำตาของเราเด็ดขาด"
ภัคภัสสรยื่นกระดาษเช็ดหน้าส่งให้น้องสาว ทั้งสองสบตากันผ่านกระจกเงา
"ฟ้าแค่ทำลงไปเพื่อหวังให้บรรยากาศมันดีขึ้น หวังให้เขาเลิกเกลียด เลิกโกรธ คิดดูสิ หากเป็นแบบนี้ต่อไป จะอยู่ร่วมบ้านกันยังไง หากพี่สิงห์ยังอยู่ ฟ้าคงเป็นคนแรกที่ออกไปจากบ้านหลังนี้ คงไม่อยู่ให้เขาถากถางทุกวี่ทุกวันแน่"
"พี่ว่าอย่าเพิ่งไปยุ่งกับเขาเลย ต่างคนต่างอยู่ดีกว่า เราก็ทำตัวปกติ ปล่อยให้เขาบ้าไปคนเดียว"
ภัคภัสสรขบกรามแน่นเมื่อคิดไปถึงเรื่องตอนเย็น หล่อนเสียอีกที่ต้องขวัญเสียมากกว่าน้องสาว เรื่องที่้เกิดขึ้นทำให้ต้องระเห็จมานอนกับนันท์ภัสสรชั่วคราว เพราะที่นอนเปียกต้องรอให้แม่บ้านจัดการทำความสะอาดเอาทุกอย่างไปตากให้แห้ง เมื่อนั้นหล่อนถึงจะกลับไปนอนที่ห้องเดิมได้
แต่ก็ไม่รู้เลยว่าจะได้ย้ายถาวรไหม หากแทนไทยังคงหาเรื่องยึดพื้นที่คืนไม่เลิกรา
"เอาล่ะ เสร็จแล้ว"
ภัคภัสสรถอดปลั๊กไดร์เป่าผม คนที่นั่งน้ำตาเรี่ยน้ำตาราดเมื่อสักครู่ลุกขึ้นยืน ปาดน้ำตาทิ้งไปแล้วยิ้มให้กับตัวเองผ่านกระจก
เงา กลับมามีท่าทีร่าเริงสดใสเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ปรับอารมณ์
ได้ปุบปับจนภัคภัสสรเองยังตามไม่ทัน
"เดี๋ยวมานะ"
"จะไปไหนอีกล่ะ ดึกแล้วนะ"
นันท์ภัสสรหันมายิ้มให้พี่สาว ก่อนหมุนกายกลับไปทางเก่า "ไปหาพี่เสือ"
คนพูดเปิดประตูออกไปจากห้อง ทิ้งให้อีกฝ่ายเฝ้าห้องเพียงลำพัง
นันท์ภัสสรรู้ว่าธามไทนั้นชอบขลุกอยู่ในห้องทำงานจนดึกดื่น นับตั้งแต่บิดาล้มป่วยเขาก็ทำงานหนักเป็นสองเท่า เคยขอร้องให้แทนไทลาออกจากงานบริษัทที่อเมริกาเพื่อให้มาช่วยงานทางบ้าน แต่ก็ถูกปฏิเสธกลับมาด้วยเหตุผลที่ว่าไม่ขอรับมรดกอะไรก็ตามที่เป็นของครอบครัว
ที่ชั้นล่างของตัวบ้าน นันท์ภัสสรค่อย ๆ เลื่อนบานประตูกระจกให้เปิดออกอย่างเบามือ คนในนั้นยังคงไม่รับรู้ถึงการมาเยือน ภายในห้องทำงานนั้นแสนเงียบงัน...ธามไทยังคงสนใจอยู่แต่หน้าจอคอมพิวเตอร์ และดูเหมือนเขาจะไม่สนใจเข็มนาฬิกาที่ล่วงผ่านไปแต่ละวินาที
"อะแฮ่ม"
เสียงกระแอมที่ดังอยู่ด้านหลัง เพียงพอที่จะทำให้ธามไทเหลียวมอง
"ลงมาทำไมฮึ มันดึกแล้ว"
เขาจะเป็นเช่นนี้ทุกครั้ง ชอบทำเสียงดุเวลาที่หล่อนมากวนใจตอนเขาทำงานกลางดึก
"ก็ลงมาดูพี่เสือไงคะ ที่จริงฟ้าน่าจะถามมากกว่าว่าดึกแล้วทำไมยังไม่พัก"
ไม่พูดเปล่า หล่อนเดินไปนั่งลงบนพนักวางแขน บนเก้าอี้ตัวที่ธามไทนั่งอยู่ ทำท่าชะโงกหน้ามองไปยังหน้าจอคอมพิวเตอร์...งานของเขาที่หล่อนดูยังไงก็ไม่เข้าใจ
"ปลายฟ้า กลับขึ้นไปนอนเลย!"
เสียงดุ ๆ มาพร้อมกับร่างสูงที่ลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้...ธามไทรู้เท่าทันในความคิด เป็นอีกครั้งที่หล่อนหาเรื่องใกล้ชิดเขา ระยะหลังมานี้นันท์ภัสสรมักทำตัวแปลก ๆ เหมือนหล่อนจะคิดเกินเลยกับเขามากกว่าพี่ชายเสียแล้ว
วัยย่างสามสิบเช่นเขานั้นไม่ใช่เด็ก รู้อยู่เต็มอกเพียงแต่ไม่พูดมันออกมา เขาอยากคงทุกอย่างเอาไว้เหมือนเดิม
"ทำไมเดี๋ยวนี้พี่เสือชอบดุฟ้า แต่ก่อนไม่เห็นเป็นแบบนี้"
หล่อนนึกน้อยใจ ไปหาแทนไทก็โดนไล่ตะเพิดแถมถูกด่ากลับมา พอมาหาคนปลอบใจ เขาก็ทำท่าไม่อยากให้หล่อนเข้าใกล้ เก็บเอามาคิดจนเกิดเป็นปมเล็ก ๆ ขึ้นมาในใจอย่างไม่รู้ตัว
'จะบอกเธอยังไงดีนะปลายฟ้า ทุกอย่างมันไม่เหมือนเดิม'
สีหน้าที่ม่อยลงไป แววตากลมโตดำขลับที่จับจ้องนั้นเจืออารมณ์ตัดพ้อ ทำให้คนถูกมองหัวใจอ่อนยวบ แต่เขาก็อยากแสดงให้หล่อนคิดได้เองว่าควรระวังเรื่องความชิดใกล้ให้มากกว่านี้
การแสดงออกของเขายิ่งทำให้ความรู้สึกพิเศษแน่นอก เหมือนอยากบอกให้เขารู้เพื่อคลายความอึดอัด หล่อนจึงโผเข้าหาร่างสูงแล้วสอดแขนคล้องเกี่ยว ใบหน้าซุกเข้าหาอกแกร่ง ท่ามกลางความตกตะลึงของธามไท
"ฟ้ามีอะไรจะบอกพี่เสือ ฟ้า..."
"อย่าทำแบบนี้ปลายฟ้า ปล่อยพี่!"
ไม่ทันได้พูดมากกว่านั้น ธามไทขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงดุ ๆ สองมือของเขาแกะท่อนแขนที่สวมกอดออกราวรังเกียจ ถอยห่างไปยืนจนไกล
"ทำไมคะ! ทีเมื่อก่อนฟ้าก็กอดพี่เสือแบบนี้"
"ก็นั่นมันเมื่อก่อน ตอนนี้โตแล้ว จะทำเหมือนเดิมไม่ได้"
นันท์ภัสสรแค่นหัวเราะ ฝืนยิ้มหน้าเป็นใส่คนตัวโต
"หวงตัวแบบนี้ แสดงว่าพี่เสือคิดไม่ซื่อกับฟ้าใช่มั้ยคะ"
แสร้งทำเป็นล้อเลียน ยิ้มใส่ตาของคนที่ยืนทำหน้ายักษ์คล้ายหล่อนสร้างเรื่องใหญ่โต
"ใช่แน่ ๆ เงียบแบบนี้"
"ใครจะบ้าคิดกับเธอแบบนั้น แล้วก็หยุดความคิดบ้า ๆ ของเธอ ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีก แล้วจะหาว่าพี่ใจร้ายไม่ได้นะ จำเอาไว้!"
ธามไททิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงจริงจัง ก่อนจะทำฟึดฟัดเดินหนีอกไปจากห้องทำงาน ทิ้งให้นันท์ภัสสรยืนคว้างอยู่เพียงลำพัง เขาไปโดยไม่คิดจะใยดีความรู้สึก ไม่สนด้วยซ้ำว่าหล่อนจะน้อยใจมาก
เพียงไหน
นานเท่าไหร่ไม่อาจทราบที่หล่อนยืนนิ่งอยู่ที่เดิมหลังคนใจร้ายออกไป แต่ก็ต้องสะดุ้งเมื่อมีเสียงใครบางคนดังขึ้นทำลายความเงียบ
"ไปหาคนโน้นทีคนนี้ที ต้องเป็นผู้หญิงแบบไหนกันที่ทำแบบนี้ได้"
ถ้อยคำถากถางแบบนี้มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะปล่อยมันหลุดจากปาก...แทนไท...เขาเดินเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มที่คนโลกสวยเท่านั้นที่จะมองไม่ออกว่าเขากำลังดูถูก
หล่อนยังเจ็บที่ถูกเขาด่า และยังเคืองที่เขาสาดค็อกเทลใส่หน้า จึงนิ่งเงียบไม่ยอมโต้ตอบ นั่นยิ่งทำให้แทนไทไม่ยอมลดราวาศอก
"เมื่อกี้ฉันเห็นนะ เธอทำอะไร"
นันท์ภัสสรตวัดมองหน้าหล่อ ๆ แต่นิสัยเสีย ใจเต้นโครมครามเมื่อได้รู้ว่ามีคนเห็นพฤติกรรม
"แล้วพี่สิงห์ลงมาที่นี่ทำไมตอนนี้ ไหนบอกจะนอนไงคะ เพิ่งรู้ว่ามีนิสัยชอบส่องชาวบ้าน!"
คำด่าแบบเด็กอนุบาลไม่ได้ทำให้แทนไทสะดุ้งสะเทือน
ตรงกันข้าม เขากลับกระตุกยิ้มเยาะ แววตาฉายแววชิงชังไล่มองคนตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้า
แต่มันช่างน่าแปลก...ทำไมเขาไม่นึกอยากหาเรื่องหล่อนเท่าภัคภัสสร ฝ่ายนั้นเหมือนมีแรงดึงดูดบางอย่างดึงเขาเข้าไป ทำ
ให้คิดหมายหัวแฝดพี่เป็นคนแรกตั้งแต่เหยียบย่างเข้ามา
"ถามจริง ๆ เถอะ เธอชอบหมอนั่นเหรอ"
นันท์ภัสสรทำหน้าเลิ่กลั่ก เล่นถามกันตรง ๆ แบบนี้ หล่อนไม่มีทางสารภาพกับผู้ชายคนนี้แน่
"มะ ไม่ ไม่ได้ชอบ!"
"แล้ว...คนเป็นพี่น้องกันเขากอดกันด้วยเหรอปลายฟ้า"
".....!"
ใช่แล้ว...เขาเห็นจริง ๆ แล้วหล่อนก็ต้องแพ้พ่ายสายตาคาดคั้นคู่นั้น หลุบตาหนีราวเด็กทำความผิดแล้วพยายามโกหก
"ให้ท่าแบบนี้...ถ้าเป็นฉัน ก็คงไม่ยืนเฉยแบบพี่เสือของเธอแน่ ของฟรีมีให้ถึงที่ ไม่เอาก็บ้าแล้ว! "
"พี่สิงห์!"
"ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ก็ขอให้ทำสำเร็จโดยเร็วล่ะ รีบเอาเรือนร่างเข้าแลกจับพี่ชายของฉันให้ได้ เพราะ...ฉันก็ไม่รู้เลยว่าเธอจะได้ลอยหน้าลอยตาอยู่ในบ้านหลังนี้อีกนานแค่ไหน จำเอาไว้นะปลายฟ้า ถ้าที่นี่มีฉัน จะต้องไม่มีพวกเธอสองคน!"
"....."
บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบงัน เมื่อนันท์ภัสสรเลือกนิ่ง
เงียบ หล่อนจำคำที่พี่สาวบอก หากตอบโต้ผู้ชายคนนี้จะยิ่งไม่หยุด
"แต่ถ้ามารยาของเธอได้ผล ก็ระวังเสียตัวฟรีล่ะ แล้วจะหาว่าฉันไม่เตือน"
แทนไทหัวเราะอยู่ในลำคอ เขาเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ตัวนั้นแทนพี่ชาย นันท์ภัสสรมองตามราวกับข้องใจในถ้อยคำถากถาง...เขาพูดเหมือนว่ารู้เช่นเห็นชาติกันดี
หรือเพราะความเป็นฝาแฝด เขาจึงรู้ว่าตัวตนอีกคนเป็นเช่นไร เหมือนจะบอกหล่อนว่าบางทีสิ่งที่ตาเห็นอาจไม่ใช่อย่างที่คิด
แต่ก็ป่วยการที่จะเก็บคำพูดของคนแบบนี้มาคิด และหล่อนก็ไม่เห็นประโยชน์ที่จะอยู่ต่อ จึงเลือกเดินหนีเพื่อกลับขึ้นไปนอน
หากแต่ก็ต้องชะงักฝีเท้า เมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้...ร่างสมส่วนหมุนกายกลับไปทางเก่า มองแผ่นหลังกว้างผึ่งผายเปล่งประกายความหยิ่งผยอง มีบางสิ่งที่อยากบอกให้เขารู้
เผื่อเขาจะหันมองดูตัวเองบ้าง
"แต่พี่สิงห์ก็ควรจะรู้อะไรไว้อย่างนะคะ"
เขายังคงไม่หันมา ทำเหมือนหล่อนเป็นอากาศธาตุที่ไร้ตัวตน...นันท์ภัสสรสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอด ก่อนทำใจกล้าโพล่งออกมา แม้เขาจะทำหูทวนลม
"ฟ้าไม่ได้จงใจแต่งตัวไปยั่วพี่สิงห์ที่หน้าห้อง เพราะปกติฟ้าก็เป็นของฟ้าแบบนี้ บางทีพี่สิงห์ควรลดความมั่นหน้าลงบ้างนะคะ พี่สิงห์ไม่ได้เป็นศูนย์กลางของโลกใบนี้ และพี่สิงห์ก็ไม่ได้มีเสน่ห์สำหรับผู้หญิงทุกคน และเห็นแบบนี้ ฟ้าก็เลือกนะคะ ไม่ใช่เอาไม้เขี่ย ๆ แล้วเจอก็คว้าไว้หมด เสียใจด้วยที่พี่สิงห์ไม่ใช่ตัวเลือกของฟ้า ไม่ได้อยู่ในสายตาของฟ้าเลยสักนิด พี่สิงห์ไม่ใช่พี่เสือ ไม่มีวันเหมือน มันเทียบกันไม่ได้เลยสักนิดเดียว ใน...ทุก ๆ เรื่อง และ...ไม่
มีวันแทนกันได้!"
หล่อนรัวออกมาจนแทบลืมหายใจ ยืนหายใจแรงถี่ ๆ รอดูท่าทีของเขา...เช่นเคย...ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำไมเขายังนิ่งเฉยไม่ตอบโต้ เขาควรจะเจ็บใจสิ นั่นคือความต้องการของนันท์ภัสสร หล่อนอยากทำให้เขาเสียหน้า
หรืออาจช็อคไปแล้ว คิดพลางขยับเข้าไปใกล้อีกนิด
"พี่สิงห์ ฟังอยู่หรือเปล่าคะ!"
แทนไทหันไปมอง หล่อนคงคิดว่าเขาจะเจ็บกับการร่ายยาวแบบนั้น แต่เปล่าเลย เลเวลเขาสูงกว่าที่คิด หล่อนยังเด็กน้อยที่จะมาต่อกรกับคนเช่นเขา
"แล้วฉันต้องทำไงเหรอปลายฟ้า ลงไปนอนดิ้นกับพื้นน้ำลายฟูมปาก เจ็บกับคำพูดเธองั้นเรอะ"
คนบ้าอะไรมีหลากหลายบุคลิก บทจะนิ่งเขาก็นิ่งราวเป็นคนละคน จนหล่อนเองตามไม่ทัน
หรือเขาจะเป็นไบโพลาร์กำลังกินยารักษา เขาอาจป่วยโดยไม่บอกใคร หญิงสาวคิดอย่างไม่เข้าใจในตัวผู้ชายตรงหน้า
"มันดึกแล้วฉันไม่อยากทะเลาะ เอาไว้พรุ่งนี้มาเริ่มทะเลาะกันใหม่ แต่ถ้าเธอยังยืนอยู่ตรงนี้ ฉันก็ไม่รับปากว่าจะเกิดอะไรขึ้นในห้องนี้ ฉันไม่ใช่พี่เสือของเธอที่ปากอย่างใจอย่าง หึ! ทำเป็นไม่
เอา ๆ ที่แท้ก็อยากจะขย้ำเธอจนตัวสั่นเหมือนกันนั่นแหละ!"
ไม่วายวกมากัดพี่ชายตัวเองราวกับเกลียดกันมาแต่ปางไหน...แต่การที่เขาลุกจากเก้าอี้แล้วเดินเข้ามาหา ทำท่าจะคว้าข้อมือของหล่อนเพื่อกระชากเข้าหา ก็ทำให้หญิงสาวรีบวิ่งหนีออกไปจากตรงนี้เพื่อความปลอดภัยของตน
เมื่ออยู่เพียงลำพัง แทนไทก็เก็บเอาคำพูดของนันท์ภัสสรมาครุ่นคิด เขาติดใจเรื่องเดียว หล่อนบอกเขาแสนไร้เสน่ห์ เขาสู้ธามไทไม่ได้ในทุก ๆ เรื่อง มันคือคำปรามาสที่รับไม่ได้จริง ๆ
'ไร้เสน่ห์อย่างนั้นเหรอ ฉันเนี่ยนะด้อยกว่าหมอนั่น หึ ชักจะปากดีเกินไปแล้ว'
เขาชักอยากทำให้หล่อนเปลี่ยนใจเสียแล้ว และเป็นอีกครั้งที่เขากำลังคิดแผนการเพื่อจัดการนันท์ภัสสร นอกเหนือไปจากแผนการที่จะเอาคืนภัคภัสสร...ไม่ทันข้ามคืนที่เขากลับมาเผชิญหน้ากับพวกหล่อน เขาก็สัมผัสได้เสียแล้วว่าสองสาวมีบางสิ่งบางอย่างที่แตกต่างกัน...ความอ่อนแอที่ซ่อนอยู่ใต้ส่วนลึกของจิตใจ คนใดคนหนึ่งในนั้นกำลังพยายามกดมันเอาไว้ไม่แสดงออกมา
และที่เขามาในห้องทำงานก็เพื่อจะมาสำรวจห้องทำงานของบิดา ไม่ได้ตั้งใจจะมาเห็นคนกอดกันกลางดึก และนั่นทำให้เขาได้รู้เห็นความลับอย่างบังเอิญ...นันท์ภัสสรคิดไม่ซื่อกับพี่ชายตัวเอง
ถัดไปราวสองเมตร มีโต๊ะทำงานอีกตัว เขาเดินไปสำรวจใกล้ ๆ สิ่งของต่าง ๆ ที่วางอยู่บนโต๊ะ ชายหนุ่มจึงเดาว่านี่คือโต๊ะ
ของบิดา
เขาหยิบกรอบรูปตั้งโต๊ะขึ้นมาดู...ในกรอบคือภาพถ่ายของเด็กชายสองคนนั่งกอดคอกัน ไม่บอกก็รู้ว่านั่นคือเขาและพี่ชายในวัยเด็ก ถ้าจำไม่ผิด ตอนถ่ายรูปนี้ยังไม่มีสองสาวฝาแฝดเข้ามาในชีวิต
พี่ชายเขาอยากมีน้องสาว ไม่แปลกที่จะรักและเอ็นดูทั้งสองคน ต่างจากเขาซึ่งเกลียดเด็กผู้หญิง เมื่อมีอีกสองชีวิตมาร่วมชายคา สงครามในบ้านจึงเกิดขึ้นเรื่อยมา จนบิดาต้องห้ามทัพด้วยการส่งเขาไปเรียนอเมริกา
ยังมีรูปถ่ายอีกใบที่เหมือนจะปริ๊นซ์มาจากคอมพิวเตอร์ มันถูกเสียบไว้กับคลิปหนีบกระดาษ ชายหนุ่มดึงออกมาดู มันคือตัวเขาในปัจจุบันตอนอยู่อเมริกา บิดาของเขานำมาไว้บนโต๊ะทำงาน เขาก็เพิ่งเห็นว่าท่านมีโมเม้นท์แบบนี้
สงสัยจะแอบไปดูดภาพของเขามาจากอินเตอร์เน็ต คิดพลางเสียบรูปตัวเองไว้ที่เดิม
'รูปถ่ายแทนความคิดถึงงั้นเหรอ หึ เชยจังเลยนะครับคุณพ่อ'
ไม่วายอคติ จากที่เริ่มอ่อนไหวอยู่ลึก ๆ ข้างใน เขาพยายามหาทุกเหตุผลมาหักล้างความผูกพัน ถึงอย่างไรท่านก็เป็นคนไล่เขาออกจากบ้าน ไม่มีอะไรมาหักล้างกันได้
ก็เหมือนกับการทำดี ทำดีก็ส่วนทำดี แต่ไม่อาจนำมาหักล้างกับบาปกรรมที่เคยกระทำได้
แต่ขณะเดียวกันก็นึกใจหาย คำพูดของพี่ชายยังคงดังก้องอยู่ในหัว แววตาแดงก่ำจับจ้องไปยังโต๊ะทำงานของบิดาอีกครั้ง เขาไม่อาจห้ามขอบตาไม่ให้ร้อนผ่าวเมื่อนึกไปถึงว่าเจ้าของโต๊ะอาจจะไม่ได้กลับมานั่งอีกตลอดกาล
แต่เขาก็ยังคงเชื่อมั่น เขาจะเป็นคนแหกกฎความน่าจะเป็น บิดาจะต้องกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง ลุกขึ้นมาเดินได้เหมือนคนปกติในเร็ววัน
++++++++