Chapter 5
ลับ ลวง พราง (2)
แพสชั่น ไวเนอรี สำนักงานเชียงใหม่
ภายในบริษัทผลิตไวน์อันดับสองของประเทศ พนักงานกำลังวุ่นวายอยู่กับงานในช่วงบ่าย ซึ่งต่างทำหน้าที่แตกต่างกันไปในแต่ละแผนก ส่วนในห้องประชุมที่ในนั้นล้วนมีแต่ผู้บริหารระดับสูงที่ได้รับเชิญ ละครบทดราม่ากำลังเริ่มขึ้น
ธามไทเป็นหนึ่งในนั้น เขานั่งฟังหนึ่งในทีมบริหารกำลังเปิดประเด็น
"จากการบริหารของคุณทัศนัย จะเห็นได้ว่าในปี 2561ยอดขายลดลงจากปี 2560 รวมกันแล้วเกือบหนึ่งพันล้านบาท"
"....."
"หากแยกตามกลุ่มบริษัท แพสชั่น ไวเนอรีสำนักงานใหญ่กำไรลดลงถึงห้าร้อยล้านบาท แพสชั่นโรงผลิตไวน์กำไรลดลงสามร้อยล้าน และแพสชั่นคลังสินค้าและขายส่งลดลงร้อยกว่าล้าน ทั้งนี้ยังพ่วงไปถึง Jolly valley ที่มียอดขายลดลงอย่างต่อเนื่อง..."
ธามไทลอบถอนหายใจยาว ลางสังหรณ์เขาไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก กวาดตามองไปรอบ ๆ โต๊ะประชุม ทุกคนล้วนหลบตาเขา พอหันไปสบตากับมารดา ท่านเองก็มีสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก
"นั่นหมายถึงว่า ไวน์อันดับหนึ่งของเราคุณภาพลดลง รวมทั้ง...มีคู่แข่งทางฝั่งอเมริกา ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่กวาดตลาดผู้บริโภคไปไม่น้อย"
ถ้อยคำนั้นมาจากเอกภพ เพื่อนสนิทรุ่นน้องของทัศนัยที่ร่วมก่อตั้งแพสชั่นไวเนอรีมาด้วยกัน เมื่อเอ่ยถึงไวน์อเมริกัน เขาเหลือบตามองมาทางธามไท...มันสื่ออะไรได้หลายอย่าง คนถูกมองสัมผัสได้
ทุกคนที่นั่งในนี้ต่างรู้ดี แทนไทน้องชายของเขาทำงานอะไรที่อเมริกา การที่ลูกชายประธานบริษัทเข้าไปทำงานให้กับบริษัทคู่แข่ง ไม่ต่างไปจากการเอาเท้าเหยียบหน้ากรรมการบริษัท และนี่คือสิ่งที่ทำให้เอกภพไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขาถึงกับประกาศตัดขาดกับแทนไท ชนิดตายไม่เผาผีกันเลยทีเดียว
"และผลกำไรจากไตรมาสที่ผ่านมา คาดว่าปี 2562 ผลกำไรของเราจะลดลงจากปี 2561 นี่คือตัวชี้วัดผลงานการบริหารของคุณทัศนัย เขาทำให้บริษัทขาดทุนกำไรถึงสามปีติดต่อกัน"
ทุกคนในห้องต่างนิ่งเงียบ และเช่นเคย มีเพียงเอกภพที่กล้าสบตาธามไท
ในขณะที่ธามไทนั่งกลั้นหายใจรอ มือของเขาชื้นไปด้วยเหงื่อ ลุ้นว่าฝ่ายนั้นจะเอ่ยอะไรออกมา เขาภาวนาว่าอย่าให้เป็นอย่างที่คิด
"จากการป่วยของคุณทัศนัยที่ไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น เราจึงลงความเห็นว่า...เขา...ไร้ความสามารถที่จะทำหน้าที่ของตนต่อไปได้ จึงเห็นควรให้ปลดคุณทัศนัยออกจากตำแหน่งประธานกรรมการ!"
นี่แหละคือสิ่งที่ธามไทกลัว แล้วมันก็เป็นจริง วันนี้มาถึงจนได้ แววตาคมกล้าจับจ้องไปยังเสี้ยวหน้ามารดา ท่านยังมีท่าทีสงบนิ่งไม่ออกอาการ หากแต่สองมือที่วางประสานกันอยู่บนโต๊ะนั้นกำลังเกร็งสั่น คล้ายกำลังข่มกลั้นความรู้สึกแท้จริง
"เมื่อปลดคุณทัศนัย ขอเสนอให้คุณเอกภพมานั่งเก้าอี้ประธานกรรมการแทน ถ้าใครเห็นด้วยก็ขอให้ยกมือ เราจะถือเสียงส่วนมากเป็นมติเอกฉันท์"
ทุกคนในห้องต่างทยอยยกมือราวกับมีการเตี๊ยมกันมาก่อน ธามไทนั่งนิ่งเพื่อแสดงจุดยืน เขาจะไม่มีวันโหวตให้บิดาตนเองพ้นจากตำแหน่ง แม้จะเป็นเสียงส่วนน้อยก็ตามที
"เหลือคุณธามไทกับคุณผกามาศที่ยังไม่ยกมือ"
เอกภพส่งสายตาไปทางผกามาศ เขาจ้องแต่หล่อนไม่วางตาคล้ายกำลังสื่อสารทางกระแสจิต เมื่อถูกกดดันและไม่มีทางเลือก หล่อนก็ทำในสิ่งที่เหมือนตบหน้าลูกชาย หล่อนช็อกความรู้สึกเขาด้วยการยกมือโหวตร่วมกับอีกหลาย ๆ คน
"คุณแม่! ทำไม...
หล่อนได้ยินแล้ว...น้ำเสียงที่สื่อถึงความเจ็บปวดรวดร้าว หากแต่ก็แสร้งทำใจแข็งไม่หันไปมองหน้าลูกชาย เพราะความจำเป็นถึงต้องกระทำลงไปแบบนั้น
"สรุปนะครับ นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป คุณเอกภพจะมานั่งเก้าอี้ประธานกรรมการแทนคุณทัศนัย ซึ่งเป็นมติเอกฉันท์จากทุกท่าน มีใครคัดค้านมั้ยครับ"
ธามไทเป็นคนเดียวที่ยกมือ เขาคิดว่ามันไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย
"ถ้าผมคัดค้าน ก็คงจะทำอะไรไม่ได้อยู่ดี ใช่มั้ยครับคุณอา"
แววตาคมกล้าสั่นไหว จับจ้องคนที่เคยเคารพนับถืออย่างกังขา
"เสือก็ต้องหาวิธีที่จะทำให้คณะกรรมการเปลี่ยนใจเป็นโนโหวต แต่ทุกคนต้องเล่นอยู่ในกติกา ในเมื่อผลออกมาแบบนี้ อาก็คงช่วยอะไรไม่ได้หรอกเสือ"
ธามไทไม่อาจตอบโต้ รู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังบอกให้เขาเคารพกติกา อย่าทำตัวให้หลายคนเสื่อมศรัทธาเพราะเล่นนอกกรอบ
"เอาละครับ ขอปิดประชุมแต่เพียงเท่านี้"
เป็นครั้งสุดท้ายที่ธามไทมองหน้ามารดา เขาบดกรามจนเป็นสันนูน โกรธจนไม่อาจทำใจนั่งอยู่ต่อได้ ชายหนุ่มเดินหนีออกไปเป็นคนแรก และคนอื่น ๆ ก็ทยอยตามออกไป จนทั้งห้องเหลือแค่คนสองคน
ผกามาศยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม คล้ายกับยังช็อกกับเรื่องที่เกิดขึ้น
เอกภพยกสองมือขึ้นกอดอก เขาพิงสะโพกข้างหนึ่งไว้กับขอบโต๊ะ สายตาจับจ้องไปยังผกามาศ กระตุกยิ้มคล้ายคนถือไพ่เหนือกว่า
"ยังมีอีกเรื่องที่เราต้องคุยกัน"
คนฟังตวัดตามอง หล่อนเองก็กำลังอยู่ในภาวะอารมณ์ไม่ปกติ
"เอาตรง ๆ เลยนะ ไม่อ้อมค้อม"
"อะไร! เธอต้องการอะไรอีก"
น้ำเสียงไม่สบอารมณ์ หากแต่เอกภพก็ยังคงใจเย็น
"หุ้นในส่วนของพี่ที่ถืออยู่ ผมอยากได้ห้าสิบเปอร์เซ็นต์"
".....!"
"หวังว่า...เราคงคุยกันรู้เรื่องนะครับ"
"แค่นี้ยังไม่พออีกใช่มั้ย เธอจะตะเกียกตะกายไปถึงไหน แค่ไหนถึงจะพอใจเธอ!"
ผกามาศตะโกนใส่หน้าอีกฝ่ายอย่างเหลืออด ยามนี้หล่อน
โกรธจนหน้าแดงเห่อ ลุกพรวดขึ้นแล้วทำท่าจะเดินหนีเพื่อตัดปัญหา
"ไม่! พี่จะไม่คุยเรื่องนี้กับเธอ ไม่มีทาง"
"แน่ใจน่ะครับ อย่าลืมนะว่าทุกอย่างขึ้นอยู่ที่ปากผม!"
ได้ผล คำขู่ทำให้สองขาของผกามาศหยุดกับที่ หล่อนหมุนกายกลับไปทางเก่า มองหน้าคนพูดด้วยแววตาเจือความชิงชัง
ให้ตายสิ หล่อนเกลียดรอยยิ้มเจ้าเล่ห์นี้ชะมัด
"โอนหุ้นให้ผมตามที่ผมขอ แล้วความลับก็จะเป็นความลับต่อไป แต่หากพี่ยังคงดื้อดึง ผมรับรองว่าจะไม่หยุด ทุกคนจะได้รู้ความจริงว่าพี่พยายามปกปิดอะไรเอาไว้!"
"ขู่พี่เหรอ!"
"ครับ"
ผกามาศกำมือเข้าหากันจนแน่นเพราะทำอะไรไม่ได้ ยามนี้ไม่มีใครจนตรอกเท่าหล่อนอีกแล้ว พยายามสูดลมหายใจเข้าปอดให้ลึกเพื่อตั้งสติ
"เธอควรให้เวลา ไม่ใช่กะทันหันแบบนี้"
เอกภพทำท่าครุ่นคิด เขาขบริมฝีปาก เคาะนิ้วกับโต๊ะเบา ๆ ก่อนจะคลี่ยิ้มมุมปาก
"ได้ แต่ภายในสัปดาห์นี้ทุกอย่างต้องเคลียร์"
ผกามาศขยับกายเพื่อจะเดินหนี จังหวะที่กำลังจะผลักบานประตูออกไปนั้น เสียงเข้มก็ดังแทรก
"แล้วอย่าให้ผมรู้นะ ว่าแอบโอนหุ้นส่วนที่เหลือให้ไอ้หลาน
อกตัญญู ถ้าพี่ทำแบบนั้น เราได้เห็นดีกันแน่!"
เขาหมายถึงแทนไทแน่นอน ผกามาศพาตัวเองออกมาจากความอึดอัดตรงนั้น เมื่อพ้นจากเอกภพ หล่อนก็แทบจะวิ่งเข้าห้องน้ำไปอาเจียน ความเครียดที่ถาโถมทำให้ท้องไส้ปั่นป่วนไปหมด ตลอดเส้นทางเดินที่พาไปสู่ห้องน้ำ หล่อนเผลอระบายความอัดอั้นออกมาด้วยหยาดน้ำตา ความกลัวในบางอย่างกำลังทำให้หล่อนใช้ชีวิตด้วยความหวาดระแวง
เป็นอีกวันที่ธามไทกลับเข้าบ้านด้วยความเครียด วันนี้เขาเครียดกว่าทุกวันจากความเปลี่ยนแปลงภายในบริษัท และทุกครั้งเขามักมีวิธีจัดการกับความเครียดจนไม่เหลือตกค้างภายในใจ หากแต่วันนี้ไม่เลย เขารู้สึกได้ ความท้อแท้และสิ้นหวังกำลังกัดกินใจ จนเขาหมดกำลังใจที่จะเดินต่อไปเสียแล้ว
เขาไม่เคยกลับดึกขนาดนี้ แต่เพราะอยากหลบหน้ามารดาจึงหาเรื่องไม่เข้าบ้าน อารมณ์โกรธที่ยังกรุ่นในใจทำให้ชายหนุ่มตรงดิ่งไปยังบาร์เครื่องดื่ม แทนที่จะขึ้นห้องไปนอนพักผ่อนให้สมองคลายจากความเครียดที่ถาโถม
เวลานี้เขาคิดว่าไม่มีอะไรจะดับความเครียดได้เท่าน้ำเมาอีกแล้ว หลังจากโยนแม็คบุ๊ค เนคไทและสูททิ้งไป สองมือแกะกระดุมเสื้อเม็ดบนลงมาสองแถว เขาก็เดินไปเปิดตู้ไวน์ ในนั้นมีไวน์หลากยี่ห้อเรียงรายเต็มไปหมด
"ชาร์ม แวลลีย์" คือไวน์ตัวใหม่ของแพสชั่น ไวเนอรี ที่กำลังจะเปิดตัว เขาเลือกหยิบลงมาจากชั้นวาง
ตรงมุมพักผ่อนยามดึกสงัด มีเพียงแสงไฟสลัวที่เปิดพอให้มองเห็น ไวน์แก้วแล้วแก้วเล่าถูกละเลียดลงคอโดยที่เจ้าตัวคิดเพียงแต่ว่าอยากจะมีตัวช่วยทำให้หลับง่ายขึ้นเท่านั้น หากแต่สิ่งที่ได้มานั้นคือความเมา เขาดื่มหนักเกินไป เมาจนพาตัวเองกลับขึ้นห้องไม่ได้ เอนกายลงนอนเอามือก่ายหน้าผากอยู่บนโซฟานั่นเอง
"ใครมานอนตรงนี้?"
และนั่นไม่ใช่เรื่องบังเอิญหากนันท์ภัสสรจะเดินมาเห็น เพราะสิ่งที่หล่อนทำจนชินนั่นก็คือ การลงมาป่วนธามไทที่ห้องทำงานกลางดึก และวันนี้ก็เช่นเดียวกัน แม้จะถูกเขาทำให้เจ็บหลายต่อหลายครั้ง หากแต่หล่อนก็ไม่คิดจะถอดใจ มันคือความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ได้ทำเช่นนั้น
"พี่เสือ!"
หล่อนค่อนข้างตกใจ เพราะธามไทไม่เคยมีพฤติกรรมเช่นนี้ เขาเครียดมาจากไหนจนซัดไวน์เป็นขวด ๆ ขนาดนั้น
มันไม่น่าจะใช่แค่ขวดเดียวด้วยซ้ำ หล่อนมองไปยังขวดไวน์ที่วางเคียงกันอยู่บนโต๊ะ ลองหยิบขึ้นมาเขย่าดู หล่อนต้องตกใจ เขาซัดไวน์คนเดียวหมดไปเกือบสองขวด มิน่า...ถึงได้หมอบราบคาบอยู่บนโซฟา
"พี่เสือ ลุกไหวมั้ยคะ"
มือเรียวยื่นไปแตะท่อนแขนแกร่ง เขย่าเบา ๆ เพื่อปลุกให้เขาลืมตาขึ้นมา หวังจะให้เขากลับขึ้นไปนอนบนห้อง
คนเมาปรือตามองเมื่อถูกระราน ในความลางเลือน บวกกับสติสัมปชัญญะที่ไม่เต็มร้อย ทำให้เขาสับสน แยกไม่ออกเสียแล้วว่าใครเป็นใคร
"ปลายฝน..."
"ไม่ใช่ค่ะ นี่ฟ้าไม่ใช่ฝน"
"ปลายฝน..."
เขายังคงเพ้อหาแต่ชื่อนั้น และเหมือนจะคิดว่าคนตรงหน้าคือภัคภัสสร ท่อนแขนแข็งแรงตวัดเกี่ยวกอดรั้งร่างนุ่มนิ่มให้โถมเข้าหา เมื่อไม่ทันระวังตัวว่าคนเมาจะทำแบบนั้น หล่อนก็นอนทาบทับอยู่บนกายแกร่งแบบงง ๆ
จริงอยู่ที่แอบรักเขา แต่ก็ตกใจไม่น้อยเมื่อถูกเขากอดเอาไว้จนแน่น ความอบอุ่นที่แผ่ซ่านซึมลึกทำให้หัวใจสาวเต้นระส่ำ หล่อนลืมไปชั่วขณะ...เขากอดหล่อนเพียงเพราะจำผิดคน