“ท่านอ๋อง เราจำเป็นต้องเดินทางไปที่เมืองช่างม่านด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ” เฟิงหู่ที่เพิ่งทราบเรื่องเมื่อไม่ถึงครึ่งชั่วยามก่อนเอ่ยถามด้วยความสงสัย ท่านอ๋องแปดยิ้มเพียงมุมปาก ไม่ยอมตอบคำถามของเฟิงหู่ แล้วรีบควบขี่ม้าเดินทางไปเมืองช่างม่านทันที
“ย่าาา”
เหม่ยอิงนั่งเรียนปักผ้าอยู่บนเรือนใหญ่ในห้องของฮูหยินรอง ด้วยความที่นางไม่ถนัดงานเย็บปักถักร้อยจึงทำให้ผ้าที่ถูกปักออกมามีรูปทรงบิดเบี้ยวไม่สวยงาม ฮูหยินรองทนมองไม่ไหวจึงเอ่ยขึ้นว่า
“เหม่ยอิง ทำไมถึงปักผ้าเป็นเช่นนั้นกัน ตั้งแต่เจ้าฟื้นขึ้นมาความสามารถก็ถดถอยลงไปด้วยหรือ” ฮูหยินรองถามขึ้นด้วยสีหน้าเป็นกังวล
เหม่ยอิงที่นั่งปักผ้าไปหาวไปได้แต่ยิ้มแหย ๆ ด้วยความเกรงใจ ‘ข้าจะทำเช่นไรดี งานเย็บปักถักร้อยแบบสตรีเช่นนี้ข้าหาได้ถนัดไม่’ หญิงสาวคิดกังวลอยู่ในใจ
“ท่านแม่ ลูกเป็นอันใดก็ไม่รู้เจ้าค่ะ ตั้งแต่ฟื้นขึ้นความจำก็เลอะเลือน อะไรที่เคยทำได้ลูกก็ไม่สามารถทำได้ หากเป็นเช่นนี้แล้วลูกไม่แต่งงานไม่ได้หรือเจ้าคะ” เหม่ยอิงได้ทีออดอ้อนผู้เป็นแม่ อย่างไรเสียความทรงจำของเหม่ยอิงคนเก่าที่ฉายชัดอยู่ในหัวของนางราวกับว่าเป็นคนเดียวกันทำให้ได้รู้ว่าแม้ฮูหยินรองไม่มีอำนาจบารมี แต่ก็คอยปกป้องนางเสมอมา
‘มีหรือว่าหากนางออดอ้อนเช่นนี้แล้วท่านแม่จะไม่ใจอ่อน ยอมไปคุยกับท่านพ่อที่ดุอย่างกับเสือนั่นให้ข้าได้’ เหม่ยอิงวางแผนการไว้ในหัว นึกยิ้มขึ้นอย่างอารมณ์ดี
ฮูหยินรองมองดรุณีน้อยที่เข้ามากอด ใช้ศีรษะมาถูไถที่ข้างแขน จึงอดยิ้มเอ็นดูไม่ได้ ‘ลูกคนนี้ ต่อให้ลำบากอย่างไรก็ไม่เคยเอ่ยปากบ่น แต่กับเรื่องนี้นางถึงกับเอ่ยปากขอ แต่ต่อให้ข้าไปเอ่ยขอร้องท่านพี่ อย่างไรเสียเรื่องการแต่งงานก็เป็นเรื่องที่ฮ่องเต้ทรงประทานมาให้ แม้จะบอกว่าให้แต่งกับคุณหนูใหญ่ตระกูลเซี่ย แต่กลับระบุชื่อเหม่ยอิงมาชัดเจน เรื่องนี้ฮ่องเต้คงมีส่วนเกี่ยวข้องไม่น้อย’ ฮูหยินรองรู้สึกลำบากใจอยู่ลึก ๆ จึงดันร่างของเหม่ยอิงที่เข้ามากอดออกอย่างทะนุถนอม
“เหม่ยอิง เจ้าโตถึงวัยที่ควรออกเรือนได้แล้ว อย่างไรแม่ก็ช่วยเจ้าไม่ได้ ตัดใจเสียเถิด ฝึกปักผ้าไป ถ้าหากลูกยังปักแม้แต่ลายนกเป็ดน้ำไม่ได้ ก็อย่าได้ก้าวออกจากห้องนี้เด็ดขาด” ฮูหยินรองกล่าวจบก็ลุกขึ้นออกจากห้อง และก่อนออกไปยังหันหน้าไปสั่งฉิงเจียว่า
“ฉิงเจีย เฝ้าคุณหนูไว้ให้ดี หากนางปักเสร็จแล้วก็ให้ไปตามข้าที่เรือนกลาง” ฉิงเจียได้แต่พยักหน้ารับคำสั่ง
“เจ้าค่ะฮูหยินรอง”
เหม่ยอิงรู้สึกขัดอกขัดใจไม่น้อย
‘อะไรกัน ข้ายอมลงทุนเอาหัวไปถูไถแขนท่านเลยนะ จะไม่ยอมใจอ่อนช่วยข้าสักครั้งหรือไร’
ฉิงเจียที่เห็นคุณหนูนั่งทำหน้าหงุดหงิดอยู่นั้นได้แต่ส่ายหน้าด้วยความเหน็ดเหนื่อยใจ จนเวลาผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วยาม เหม่ยอิงเผลอสัปหงกจนปลายเข็มที่ใช้ปักผ้าพลั้งทิ่มไปโดนนิ้วมือของนางจนต้องตกใจตื่นขึ้นจนเต็มตา พร้อมกับร้องโวยวายลั่น
‘โอ๊ย’ เข็มทิ่มไปที่นิ้วมือของหญิงสาวจนเลือดไหลออกมาไม่หยุด
ฉิงเจียที่เผลอสัปหงกไปเช่นกันรีบลืมตาตื่นขึ้นด้วยความตกใจ “คุณหนู ท่านเป็นอะไรหรือ นั่นเลือดนี่เจ้าคะ” ฉิงเจียรีบดึงมือเรียวสวยของคุณหนูเข้ามาดูแต่เหม่ยอิงรีบชักมือกลับและใช้ปากดูดเลือดที่นิ้วทันทีจนเลือดหยุดไหล
ฉิงเจียจึงลุกออกจากห้องเพื่อไปหายามาใส่แผลให้คุณหนูของตนและก็ต้องตกใจอย่างมาก เมื่อพบเข้ากับคุณหนูใหญ่ตัวจริงที่ใส่ผ้าปิดบังใบหน้ายืนอยู่ที่หน้าประตูห้อง “คะ คุณหนูใหญ่…” ฉิงเจียก้มหน้านิ่งด้วยความกลัวจับใจ
กุ้ยเหนียงแสยะยิ้มร้าย ดวงตาเรียวจดจ้องบ่าวรับใช้อย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ “ยังจำได้หรือว่าข้าคือคุณหนูใหญ่ตัวจริง ไม่ใช่คุณหนูรองที่สมอ้างเป็นคุณหนูใหญ่กำมะลอนั่น” กุ้ยเหนียงส่งเสียงเอะอะโวยวายจนบ่าวรับใช้ที่อยู่บริเวณนั้นต้องวิ่งมาดู พ่อบ้านเหล่ยที่บังเอิญอยู่แถวนั้นเห็นเหตุการณ์พอดีจึงรีบสั่งให้บ่าวรับใช้ชายไปตามท่านเสนาบดีที่กำลังอ่านหนังสืออยู่ที่ห้องหนังสือทันทีเพราะเกรงว่าจะเกิดเหตุขึ้น
เหม่ยอิงที่ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายที่หน้าประตูจึงรีบเดินออกไปดู เห็นเงาสีดำตะคุ่ม ๆ อยู่สองเงา และเงาหนึ่งเงื้อมือขึ้นสูงคล้ายจะตบใครสักคน หญิงสาวจึงรีบเปิดประตูห้องออกไปทันที
“เกิดอันใดขึ้น” เหม่ยอิงถามขึ้นอย่างสงสัย
เมื่อเปิดประตูไปเห็นคุณหนูใหญ่สวมผ้าปิดบังใบหน้าเพื่อปกปิดรอยแผลเป็นบริเวณแก้มซ้ายด้านล่างใกล้กับริมฝีปากที่ดูน่าเกลียดน่ากลัว เมื่อกุ้ยเหนียงเห็นน้องสาวคนละแม่ที่ตนเองเกลียดเป็นนักหนาโผล่หน้าออกมาให้เห็น ความเคียดแค้นชิงชังจึงปะทุขึ้น ยกมือชี้หน้าหญิงสาวตรงหน้าด้วยความเกลียดชัง แววตาจดจ้องอย่างไม่วางตา
“เจ้าทำลายใบหน้าข้าแล้วยังกล้าแย่งท่านอ๋องแปดไปจากข้าอีก วันนี้เจ้าต้องตาย” กุ้ยเหนียงเอามีดสั้นที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อออกมา แสงจากคมมีดที่วาววับมีประกายสีเงินส่องเข้านัยน์ตาหงส์ของเหม่ยอิงจนหญิงสาวเบิกตากว้างด้วยความตกใจ และไวกว่าความคิด กุ้ยเหนียงเงื้อมีดคมหมายจะปักที่กลางอกซ้ายของน้องสาว แต่กลับถูกก้อนหินที่ดีดมาอย่างแรงชนเข้าที่ข้อมือบางจนนางต้องปล่อยมีดลง เสียงของมีดเล่มนั้นเมื่อตกลงที่พื้นกลับมีเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ผิดกับเหม่ยอิงที่ยืนตกใจนิ่งค้างไป ทุกอย่างในสายตานางเป็นภาพช้าไปทั้งหมด แล้วร่างบางก็เป็นลมสติดับวูบไป
ฉิงเจียตกใจกับเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างมาก แต่เมื่อเห็นมีดเล่มนั้นหลุดออกจากมือคุณหนูใหญ่ นางก็รีบหันไปมองคุณหนูรองที่เป็นลมหมดสติไปทันทีด้วยความเป็นห่วง กุ้ยเหนียงกุมมือที่ถูกก้อนหินดีดมาโดนจนเลือดไหลด้วยความเจ็บปวด ฮูหยินใหญ่รีบวิ่งเข้ามาประคองกอดลูกสาวของตนด้วยความเป็นห่วงเป็นใย ส่วนหญิงสาวน้ำตานองหน้า รู้สึกเจ็บปวดทั้งใจและกาย นั่งมองร่างบางที่เป็นลมหมดสติไปด้วยแววตาชิงชัง เสนาบดีเดินเข้ามาเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดจึงตัดสินใจช่วยลูกสาวคนรองด้วยการดีดก้อนหินไปที่ข้อมือลูกสาวคนโตเพื่อหยุดการกระทำที่น่าหวาดเสียวนั้น แม้น้อยครั้งนักที่เขาคิดจะยื่นมือเข้ามายุ่งกับเรื่องของสตรีในเรือน แต่ครั้งนี้กลับไม่ลังเล เหตุเพราะหากเหม่ยอิงเป็นอะไรไป ฮ่องเต้คงต้องสั่งลงโทษตระกูลเซี่ยทั้งหมดเป็นแน่ กุ้ยเหนียงเห็นบิดาเดินเข้ามาใกล้จึงรีบคลานไปเกาะขาแล้วฟ้องทันที
“ข้าไม่ได้ทำนะเจ้าคะ เหม่ยอิงต่างหากที่พยายามจะทำร้ายลูกก่อน” กุ้ยเหนียงพูดวกวนไปมาคล้ายคนสิ้นสติ ท่านเสนาบดีมองลูกสาวคนโปรดด้วยความสมเพชอยู่ในใจ
“ฮูหยินใหญ่ เจ้าพากุ้ยเหนียงไปพักผ่อน และห้ามนางขึ้นมาที่เรือนใหญ่เด็ดขาด หากมีครั้งหน้า เจ้าทั้งคู่จะต้องย้ายไปอยู่เรือนด้านหลังตระกูลเซี่ย” ท่านเสนาบดีสั่งเสร็จก็สะบัดขาออกจากการเกาะกุมจากลูกสาวคนโตทันที ฮูหยินใหญ่ก้มหน้าทำตามคำสั่งด้วยความเคียดแค้นไม่ต่างกับลูกสาว ทั้งคู่ประคองกันลงจากเรือนใหญ่
ฉิงเจียประคองคุณหนูรองอยู่จึงได้แต่ก้มหน้าลง รู้สึกโล่งใจที่เรื่องทั้งหมดไม่ร้ายแรงมากไปกว่านี้ หากเป็นช่วงก่อนหน้าที่ยังไม่มีราชโองการให้คุณหนูแต่งงานแล้วละก็ ทุกอย่างในวันนี้คงกลับตาลปัตรกันไปหมด
“เจ้าต้องดูแลคุณหนูรองให้ดี ถ้าหากนางเป็นอะไรแม้แต่ปลายเล็บ เจ้าจะต้องได้รับโทษ” เสนาบดีพูดจบก็เดินหันหลังกลับเรือนกลางไปทันที
ฉิงเจียและบ่าวรับใช้อีกสองคนช่วยกันประคองคุณหนูรองกลับห้องนอน พร้อมกับนำผ้าชุบน้ำมาเช็ดตัว ต้มยาขมมาให้คุณหนูดื่มและให้นอนพักผ่อน
ยามเว่ย ท่านอ๋องแปดและองครักษ์คู่กายก็เดินทางมาถึงท่าเรือช่างม่าน เมืองที่เต็มไปด้วยเรือสำเภาน้อยใหญ่ที่มาติดต่อการค้ากับแคว้นเหยี่ยน
“ถวายบังคมท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ” ชายวัยกลางคนเป็นพ่อค้าคนกลางคุมสินค้าที่นำเข้ามาขายจากต่างแคว้นทำความเคารพท่านอ๋องแปด