“เฟิงหู่ เจ้าว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลเซี่ยผู้นี้เป็นอย่างไรบ้าง” อ๋องแปดเอ่ยถามองครักษ์คู่กายนามว่า ‘ลู่เฟิงหู่’ ที่ยืนนิ่งอยู่ด้านข้าง
ลู่เฟิงหู่ผู้นี้เป็นทั้งองครักษ์ที่มีฝีมือดี เก่งกาจเรื่องเพลงดาบหาผู้ใดเปรียบได้ ทั้งยังเป็นสหายคู่ใจ ไม่ว่าท่านอ๋องจะคิดเรื่องใด เฟิงหู่ก็รับรู้ได้โดยที่ไม่ต้องเอ่ยปาก
“มิบังอาจ หากแต่คุณหนูใหญ่ผู้นี้จากที่กระหม่อมเฝ้าสังเกต นางมีนิสัยไม่ค่อยเหมือนอย่างคุณหนูตระกูลอื่นพ่ะย่ะค่ะ” เฟิงหู่ก้มหน้าลงเล็กน้อยเอ่ยตอบผู้เป็นเจ้านาย
อ๋องแปดครุ่นคิดตามที่องครักษ์คู่ใจบอกแล้วหยุดบรรเลงเพลงลง วางมือบนเส้นสายกู่ฉินที่กำลังสั่นไหวเพื่อให้มันหยุดสั่นสะเทือน “จริงอย่างที่เจ้าว่า นางไม่เหมือนผู้ใด แถมยังซุ่มซ่ามเป็นที่หนึ่ง” บุรุษพูดจบก็ยกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยบางเบา แต่ก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาดุจเหยี่ยวขององครักษ์คู่ใจไปได้ เฟิงหู่มองเห็นความพึงพอใจในแววตาคมเรียวยาวคู่นั้น มันสะท้อนความรู้สึกบางอย่างที่เผลอแสดงออกมาเพียงเสี้ยววินาที
หลังจากที่ฉิงเจียยกสำรับอาหารออกจากห้องไป เหม่ยอิงก็อยากจะออกไปเดินเล่นย่อยอาหารที่นอกเรือนนี้เสียหน่อย จึงเดินออกจากห้องนอนลงจากเรือนใหญ่ไปตามทางแล้วหยุดลงที่กลางลานกว้าง นางเงยหน้าขึ้นมองบนท้องฟ้า เห็นดวงจันทร์เต็มดวงสุกใสสว่างสวยงามแบบที่ไม่เคยได้เห็นที่ไหนมาก่อนบนจีนแผ่นดินใหญ่ที่เต็มไปด้วยตึกสูงมีแสงสีเต็มไปหมด ไม่อาจจะมองหาดวงจันทร์ที่งดงามสบายตาเหมือนอย่างที่นี่ได้
“งดงามมาก” เหม่ยอิงพูดพึมพำ สายตาหงส์จดจ้องที่ความงามลึกล้ำนั้น ส่งผ่านคิดถึงบ้านไปให้ดวงจันทร์ และหวังว่าลึก ๆ ดวงจันทร์นั้นจะรับรู้ถึงความรู้สึกที่กำลังสับสนอยู่ในใจดวงนี้ได้
“เจ้ายังไม่นอนอีกหรือ” เสียงทุ้มเข้มเอ่ยถาม
เหม่ยอิงรีบหันหลังไปมองผู้ที่เอ่ยถามขึ้นทันที เห็นเป็นบิดาของตนเองแต่งกายด้วยชุดสบาย ๆ มีท่าทีผ่อนคลาย ยืนมองนางด้วยสายตาเรียบนิ่ง
“ลูกกำลังจะไปนอนแล้วเจ้าค่ะ” เหม่ยอิงเกิดความรู้สึกประหม่า รีบก้มหน้าเดินผ่านบิดาเพื่อกลับขึ้นเรือนใหญ่ทันที ความรู้สึกอึดอัดทำหญิงสาวเกิดอาการหงุดหงิด นางเดินกลับขึ้นไปบนเรือน พอเดินมาถึงหน้าห้อง ฉิงเจียที่ยืนรออยู่ก็รีบเดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าร้อนรน
“คุณหนู ท่านหายไปไหนมาเจ้าคะ”
เหม่ยอิงทำเพียงยิ้มให้สาวน้อยตรงหน้าเล็กน้อยพร้อมกับบอกสั้น ๆ ว่า “ไปเดินเล่นมา” แล้วนางก็เดินเข้าห้องตัวเองไปในทันที ทำให้ฉิงเจียต้องรีบเดินตามเข้าไปด้วยแทบไม่ทัน เหม่ยอิงล้มตัวลงบนที่นอนแล้วหลับตาลง ฉิงเจียเห็นดังนั้นเลยไม่อยากรบกวน จึงรีบดับเทียนแล้วเดินออกจากห้อง กลับเรือนคนรับใช้เพื่อไปพักผ่อนเช่นกัน
หลายวันต่อมา ยามเหม่า
“คุณหนู ตื่นได้แล้วเจ้าค่ะ” ฉิงเจียทำหน้าที่คอยปลุกคุณหนูให้ตื่นขึ้นมาล้างหน้าแปรงฟัน อาบน้ำชำระล้างร่างกาย วันนี้ถือเป็นวันดี คุณหนูรองผู้อาภัพจะได้ใช้ชีวิตแบบคุณหนูใหญ่เต็มตัวเสียที เมื่อเหม่ยอิงที่นอนหลับอยู่บนเตียงได้ยินเสียงปลุกจากสาวรับใช้ข้างกาย ก็รีบดึงผ้าห่มขึ้นคลุมโปงหนีทันที ฉิงเจียผู้ไม่เคยต้องตามปลุกคุณหนูถึงเตียงนอนแบบนี้มาก่อนได้แต่ส่ายหน้าลำบากใจ ตั้งแต่คุณหนูฟื้นขึ้นมาจากการจมน้ำ หญิงสาวก็มีลักษณะนิสัยเปลี่ยนไปมาก จากที่เป็นคนตื่นเช้าก็กลับกลายเป็นตื่นสายจนตะวันแทบตั้งตรงถึงกลางหัว และจากที่นางเคยเก่งเรื่องงานเย็บปักถักร้อย ก็กลายเป็นว่าแม้แต่ปักผ้าเช็ดหน้าลายนกเป็ดน้ำง่าย ๆ คุณหนูยังทำไม่ได้
“ถ้าท่านยังไม่ลุกจากเตียง ข้าจะไปรายงานท่านเสนาบดีว่าท่านอู้เรียน ไม่ตั้งใจเตรียมออกเรือนนะเจ้าคะ” ฉิงเจียงัดไม้เด็ดขึ้นมาข่มขู่คุณหนูของตน แม้ใจไม่อยากทำ แต่ถ้าไม่ใช้ไม้นี้คุณหนูก็จะไม่ยอมลุกออกจากเตียงเป็นแน่ พอเหม่ยอิงได้ยินคำว่าท่านเสนาบดีก็รีบกระเด้งตัวลุกขึ้นนั่งบนเตียง ส่วนฉิงเจียที่ยืนรออยู่แล้วได้แต่ส่งรอยยิ้มสดใสไปให้คุณหนูของตนทันที
พอเหม่ยอิงรู้ตัวว่าถูกหลอกก็ทำท่าจะล้มตัวนอนลงอีกหน แต่สาวใช้ตัวดีก็ฉุดดึงมือของหญิงสาวไว้ได้ทัน
“คุณหนูไม่ดื้อนะเจ้าคะ อีกไม่ถึงสิบวันท่านจะต้องออกเรือนแล้ว ถ้าเป็นอย่างนี้ท่านอ๋องแปดอาจจะตำหนิท่านได้ ถ้าคุณหนูไม่อยากอยู่ที่นั่นอย่างยากลำบาก ต้องรีบตั้งใจเรียนนะเจ้าคะ” ฉิงเจียเอ่ยขอร้องคุณหนูด้วยความเป็นห่วง เหม่ยอิงคิดตามที่ฉิงเจียพูดจึงยอมลุกไปล้างหน้าแปรงฟันอาบน้ำแต่งตัวแต่โดยดี
ครึ่งชั่วยามต่อมา เหม่ยอิงพร้อมด้วยสาวรับใช้ข้างกายก็เดินมาที่เรือนรับรอง ซึ่งภายในเรือนมีท่านพ่อพร้อมด้วยท่านแม่ทั้งสอง และมีแขกที่หญิงสาวไม่ได้คาดคิดว่าจะต้องเจอที่นี่ เหม่ยอิงจึงหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูเรือน และไม่ยอมก้าวเท้าเดินเข้าไปในเรือน ฉิงเจียที่เดินตามมาด้านหลังไม่ทันเงยหน้าขึ้นมองเลยทำให้ชนเข้ากับคุณหนูพอดี
‘โอ๊ย’ เสียงร้องของฉิงเจียดังเข้าไปถึงด้านในเรือนรับรอง
เหม่ยอิงตกใจกับเสียงร้องของฉิงเจียจึงได้แต่รีบดึงชายกระโปรงสาวรับใช้ให้รีบเบาเสียงลง แต่ก็ไม่ทัน เมื่อเสียงนั้นดังเข้าไปรบกวนการพูดคุยของผู้ใหญ่ และทั้งห้าคนหันมามองที่นางเป็นตาเดียว
“เหม่ยอิง เจ้าไปยืนทำอะไรอยู่ตรงนั้น รีบเข้ามาถวายบังคมท่านอ๋องแปดเร็วเข้า” เสนาบดีเซี่ยรีบเรียกเหม่ยอิงทันทีที่เห็นนางยืนทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่ที่หน้าประตูเรือน เหม่ยอิงจึงได้แต่เดินก้มหน้าก้มตาลง พยายามไม่สบสายตาใคร รีบเดินเข้าไปหยุดที่หน้าบุคคลทั้งห้า โดยคนที่นั่งอยู่ตรงกลางคือท่านอ๋องแปด ด้านซ้ายมือเป็นชายหนุ่มอายุราวยี่สิบ คาดว่าน่าจะเป็นองครักษ์คู่กาย ส่วนด้านขวาคือท่านพ่อ รองลงมาตามลำดับคือฮูหยินใหญ่และฮูหยินรอง หญิงสาวรีบย่อตัวลง พยายามทำให้อ่อนช้อยงดงามมากที่สุด แล้วพูดทักทายท่านอ๋องแปดไปว่า
“ถวายบังคมเพคะท่านอ๋อง” ร่างบางก้มหน้าลงเล็กน้อย ไม่สบสายตาคมที่จ้องมองมาอย่างไม่วางตา ทุกการกระทำของท่านอ๋องแปดอยู่ในสายตาของท่านเสนาบดีทั้งหมด
อ๋องแปด ชายหนุ่มวัยยี่สิบต้น รูปโฉมหล่อเหลาสง่างาม วันนี้เดินทางมาดูตัวเจ้าสาวตามประเพณี เขาจ้องมองหญิงสาวร่างบอบบางตรงหน้าด้วยความลืมตัว ความงามตามแบบธรรมชาติมันช่างสะกดใจชายหนุ่มโสดให้เลือดลมไหลเวียนขึ้นมาดีทีเดียว แต่กระนั้นชายหนุ่มก็รีบเปลี่ยนสีหน้าโดยไวแม้ว่าจะไม่ทันเสียแล้วก็ตาม
“ไม่ต้องมากพิธีไปคุณหนูเซี่ย เชิญเจ้านั่งลงก่อน” ท่านอ๋องแปดรีบบอกหญิงสาวทันที เหม่ยอิงจึงเดินไปนั่งลงที่เก้าอี้ข้างกับท่านแม่ของตน ส่วนท่านพ่อกับฮูหยินใหญ่ก็พูดคุยกับท่านอ๋องเรื่องส่งเทียบเชิญต่ออีกสักพัก และก่อนที่ท่านอ๋องแปดจะเสด็จกลับจวนก็หันสายตามาสบตากับเหม่ยอิงอีกเพียงเสี้ยววินาทีหนึ่ง สายตาเรียวคมนั่นทำคนถูกมองรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ ชอบกล
‘หรือว่าท่านอ๋องจะเกิดชอบนางขึ้นมาแล้วใช่หรือไม่’ ใจของเหม่ยอิงไม่อยากให้เป็นเช่นนั้นเลย
พอท่านอ๋องแปดเสด็จกลับไปแล้ว ท่านแม่ก็พาเหม่ยอิงไปเรียนเย็บปักถักร้อยและการบ้านการเรือนต่อ หลังจากที่ท่านอ๋องแปดออกมาจากจวนเสนาบดี ชายหนุ่มก็ยิ้มอย่างอารมณ์ดีพร้อมกับรีบสั่งให้พ่อบ้านจินไปจัดการเรื่องเทียบเชิญแต่งงาน ส่วนท่านอ๋องแปดและองครักษ์คู่กายก็เตรียมเดินทางไปท่าเรือช่างม่านที่อยู่ห่างจากตัวเมืองเหยี่ยนไปราว ๆ สามร้อยลี้ ทั้งสองเดินทางด้วยอาชาศึกที่ท่านอ๋องได้รับพระราชทานจากฮ่องเต้เมื่อตอนวันเกิดครบสิบแปดหนาว ม้าสีขาวตัวใหญ่องอาจที่ท่านอ๋องแปดขี่อยู่ชื่อ ‘เฟย’ เป็นม้าเพศผู้ สามารถเดินทางไกลได้หลายร้อยลี้ในคราวเดียวโดยไม่หยุดพักและอาชาไม่เหนื่อยล้าง่าย ๆ และอาชาขององครักษ์ข้างกายก็เป็นม้าศึกสีดำที่แข็งแกร่งไม่แพ้กัน