ท่านอ๋องแปดมีนามเต็ม ๆ ว่า จางเหยียนเหว่ย เวลาออกมาติดต่อธุระภายนอกจะไม่ค่อยชอบเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงสักเท่าไร เหวินอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่พอพระทัยเมื่อได้ยินพ่อค้าคนกลางเรียกชื่อตำแหน่งที่แท้จริง จนเฟิงหู่ องครักษ์คนสนิทรับรู้ถึงความไม่พอใจนั้นจึงเอ่ยเตือนพ่อค้าคนกลางไปว่า
“ท่านมู่ หากอยู่ด้านนอกท่านไม่ควรเรียกชื่อตำแหน่ง…” เฟิงหู่ยังไม่ทันได้ตำหนิพ่อค้าคนกลางที่มีนามว่า ‘มู่หลิว’ จบ ก็ถูกท่านอ๋องแปดพูดขึ้นขัดเสียก่อนว่า
“เฟิงหู่ เจ้าอย่าตำหนิมู่หลิวเลย” ท่านอ๋องแปดปรายตามองพ่อค้าคนกลางด้วยแววตาเรียบนิ่งจนคนที่ถูกจ้องมองรู้สึกเสียวสันหลังวาบ จึงรีบคุกเข่าก้มตัวลงทันที
“ขออภัยพ่ะย่ะค่ะองค์ชาย กระหม่อมสมควรตาย” พ่อค้ามู่ลนลานรีบก้มหน้าลงกับพื้นทันที อ๋องแปดผู้ไม่ชอบเป็นจุดสนใจ แต่บัดนี้กลับถูกให้ความสนใจมากเกินไป จึงรีบเดินผ่านพ่อค้าคนกลางไปอย่างไม่สนใจไยดี ชายหนุ่มเดินไปที่ร้านค้าตระกูลหวังซึ่งอยู่ติดกับริมแม่น้ำหยางชู ซึ่งเป็นแม่น้ำเส้นหลักที่ใช้เป็นเส้นทางเดินเรือสำเภาค้าขายกับต่างแคว้น เมื่อเดินเข้าไปในร้านที่มีสินค้ามากมายให้เลือกซื้อหา พ่อค้าใหญ่ที่อยู่ในร้านเห็นบุรุษหน้าตาดีมีราศีจับ สวมใส่ด้วยเสื้อผ้าผลิตจากเส้นไหมราคาแพงนำเข้าจากเมืองแถบตะวันออก ก็รู้ได้ทันทีว่าต้องเป็นคนจากวังหลวงเป็นแน่ จึงรีบเข้ามาต้อนรับขับสู้ในทันที
“คุณชายท่านนี้สายตาหลักแหลมยิ่ง ปิ่นหยกมรกตแกะสลักเป็นดอกเหมยที่ท่านจับอยู่นั้นเป็นหยกพิเศษนำเข้ามาจากแถบตะวันออกเฉียงใต้ ถูกนำมาแกะสลักด้วยมือจากก้อนหยกทั้งชิ้น มีสีเขียวใสส่องสว่าง นับว่าเป็นของหายากและไม่ค่อยนำเข้ามาขายในแคว้นเหยี่ยนของเราสักเท่าใดนัก” พ่อค้าหวังพูดบรรยายจบก็ก้มหัวลงเล็กน้อยและยืนอย่างนอบน้อม รู้จักกาลเทศะ
จางเหยียนเหว่ย มีนามรองว่า เหวินอี้ หรือท่านอ๋องแปด เหลือบตามองพ่อค้ารูปร่างท้วมวัยกลางคนอายุราวห้าสิบหนาวด้วยท่าทีสบาย ๆ ในมือชายถือปิ่นหยกมรกตอยู่ และสิ่งที่ดึงดูดให้ชายหนุ่มเดินเข้ามาที่ร้านค้าแห่งนี้ก็เพราะสิ่งที่กำลังส่องประกายอยู่ในมือของเขา และเมื่อเพียงได้เห็นมัน ในใจชายหนุ่มก็หวนคิดถึงใบหน้าเนียนใสของคุณหนูเซี่ยผู้นั้น แม้นางจะไม่ได้แสดงท่าทีเขินอายหรือพึงพอใจให้เขาเห็นแม้เพียงสักครั้ง แต่ลึก ๆ แล้วในยามที่เขาจดจ้องนัยน์ตาหงส์แสนหวานคู่นั้น คล้ายกับว่าเขาสามารถค้นหาบางสิ่งบางอย่างจากนางได้ และมันดึงดูดให้เขาหลงอยู่ในวังวนนั้นราวกับว่ากำลัง ‘ลุ่มหลง’
อยู่ ๆ ท่านอ๋องก็พูดขึ้นมาว่า “สิ่งนี้มีราคาเท่าใด” และคำพูดนั้นเองทำให้องครักษ์หนุ่มที่ยืนอยู่ด้านข้างตกใจไม่น้อยที่เห็นท่านอ๋องแปดคิดจะซื้อของใช้สตรีเช่นนี้ จึงหันหน้ามองผู้เป็นนายอย่างไม่เชื่อสายตา
พ่อค้าหวังยิ้มกว้างแทบจะฉีกถึงใบหู ‘ปลาตัวใหญ่มาติดเบ็ดแล้วหรือนี่ ดูจากการแต่งกายแล้วต้องเป็นคนใหญ่คนโตเป็นแน่’ พ่อค้าหวังคิดในใจ แววตาวาววับ
“ห้าร้อยตำลึงทองขอรับคุณชาย” พ่อค้าหวังบอกราคาปิ่นหยกนั่นด้วยราคาสูงลิ่วเกินราคาจริงที่ตนรับมาเพียงหนึ่งร้อยตำลึงทอง
เฟิงหู่ได้ฟังราคานั้นถึงกับอดหงุดหงิดไม่ได้
“นี่ท่านพ่อค้า ท่านขายของราคาสูงลิ่วเช่นนี้คิดจะโก่งราคาคุณชายข้าใช่หรือไม่” เฟิงหู่ใช้กระบี่ชี้ไปที่คอของพ่อค้าหวัง
ท่านอ๋องแปดเห็นดังนั้นก็หัวเราะขึ้นมาเล็กน้อยพร้อมกับส่ายหน้าด้วยความสบายใจ ‘พ่อค้าคนกลางผู้นี้ตั้งราคาสูงลิ่ว ไม่เสียเที่ยวที่เสด็จพ่อให้ข้ามาสืบเรื่องราคาของนำเข้าจากต่างแคว้นที่สูงกว่าปกติ แม้ของชิ้นนี้จะควรค่าแก่ราคานี้ก็ถือว่าไม่ผิด แต่ขายของแบบไม่มีราคากลางที่แน่นอนเช่นนี้จะทำให้ราษฎรเดือดร้อนได้ และคนที่จะซื้อขายได้ย่อมเป็นชนชั้นขุนนางที่แตะต้องได้ ดังนั้นต้องแก้ปัญหานี้ให้ได้เสียก่อน’ ท่านอ๋องแปดครุ่นคิด
“หากว่าข้าเป็นเพียงคุณชายธรรมดา ไม่ได้สวมชุดไหมนำเข้าราคาแพงเช่นนี้ ท่านจะขายปิ่นหยกนี้เท่าใดกัน” ท่านอ๋องแปดมองสบนัยน์ตาของชายวัยกลางคนด้วยสายตาเรียบนิ่ง เพียงประโยคเดียวเท่านั้นพ่อค้าหวังก็รู้ได้ทันทีว่าคุณชายตรงหน้านี้ต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่ เขาจะต้องเป็นขุนนางชั้นสูง เพียงแต่ยังหนุ่มยังแน่น เช่นนี้คงไม่พ้นอาจจะเป็นองค์ชายองค์หนึ่งเป็นแน่ พอคิดได้ดังนั้นจึงไม่รีรอรีบคุกเข่าก้มลงหมอบไปกับพื้น
“ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมีตาหามีแววไม่ แม้ไม่รู้ว่าท่านเป็นใคร แต่ข้าไม่ได้ตั้งใจจะโก่งราคาท่านแม้แต่น้อย เป็นอารมณ์โลภชั่ววูบเท่านั้น” พ่อค้าวัยกลางคนวิงวอนขออภัยร่างสูงตรงหน้า
“ขอเพียงท่านไม่เอาเรื่องนี้ส่งทางการ ข้ายินดีจะมอบปิ่นหยกมรกตหายากที่มีเพียงอันเดียวนั้นให้ท่านเลยขอรับ” พ่อค้าคนกลางต่อรอง
ท่านอ๋องก้มหน้าลงมองชายผู้นั้นแล้วพูดขึ้นว่า
“ท่านคิดจะติดสินบนข้าด้วยปิ่นหยกธรรมดานี้หรือ แต่ข้าพึงพอใจในปิ่นหยกอันนี้ไม่น้อย จะถือว่าเรื่องวันนี้ไม่เคยเกิดขึ้น” อ๋องแปดพูดจบก็วางปิ่นมรกตนั้นลงไว้ตามเดิมแล้วเดินออกมาจากร้าน เฟิงหู่คับข้องใจว่าเหตุใดท่านอ๋องแปดถึงยอมปล่อยเรื่องนี้ไปง่าย ๆ แต่ก็ไม่พูดอะไร เพียงแต่เดินตามพระองค์มาเงียบ ๆ
“เฟิงหู่ ส่งคนไปติดตามการเคลื่อนไหวของร้านค้านำเข้าทุกร้าน หากร้านไหนขายเกินราคาให้รายงานทันที ข้าจะนำฎีกาถวายให้เสด็จพ่อ” ท่านอ๋องแปดพูดจบก็เดินนำหน้าไปทันที
ยามเซิน เหม่ยอิงได้นอนพักจนเต็มอิ่มก็ตื่นขึ้นมาแล้วยกมือขวาขึ้นกุมศีรษะบางด้วยอาการมึนหัว พยายามนึกย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์เมื่อหนึ่งชั่วยามก่อน ตอนที่เห็นกุ้ยเหนียงเงื้อมีดสั้นแสงวาววับจากใบมีดนั้นสะท้อนเข้านัยน์ตาหงส์ อยู่ ๆ ภาพเหตุการณ์ในโลกก่อนก็ปรากฏขึ้นในหัว แสงไฟจากในผับคืนเกิดเหตุวันนั้นช่างคุ้นตามากนัก ชั่วขณะหนึ่งตอนที่ทุกคนกำลังสนุกกันอยู่ เหม่ยอิงเผลอไปสบตากับชายคนหนึ่งที่โต๊ะฝั่งตรงข้ามห่างไปประมาณสามสี่โต๊ะ ดวงตาเรียวรี ใบหน้าหล่อเหลา ช่างรู้สึกคุ้นตา แต่ก็เห็นได้ไม่ชัด ชายหนุ่มนั่งอยู่ในมุมมืด ผู้คนมากมายและเหล่าผีเสื้อราตรีโยกย้ายร่างกาย ไฟแสงสีหลากหลายสลับกันไปมาอย่างละลานตาไปหมด ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไปก่อนหน้านี้เริ่มทำงาน ภาพทุกอย่างตรงหน้าเริ่มพร่าเลือน แม้จะพยายามจ้องมองดวงตาคู่นั้นกลับยิ่งมองเห็นไม่ชัดเจน แต่หญิงสาวกลับรู้สึกได้ถึงความคุ้นเคย แม้จะนึกเท่าไรก็นึกไม่ออก จากนั้นสติของนางก็ดับวูบไป เหม่ยอิงที่นั่งอยู่บนเตียงใช้สองมือกุมศีรษะบางไว้ พยายามนึกเหตุการณ์คืนนั้นเท่าไรก็นึกไม่ออก จากตอนแรกที่นางลืมเหตุการณ์นี้ไปแล้วเพราะไม่ได้เก็บมาใส่ใจ แต่อยู่ ๆ ในหัวปรากฏภาพเหตุการณ์นั้นขึ้นมา ทำให้หญิงสาวกลับรู้สึกอยากรู้ว่าเหตุใดจึงเหมือนจะเคยพบเจอนัยน์ตาคมคู่นั้นที่ไหน
“คุณหนู ท่านตื่นแล้วหรือเจ้าคะ” เสียงของฉิงเจียที่ดังเข้ามาพร้อมกับเดินถือถาดอาหารมาด้วย เหม่ยอิงได้แต่พยักหน้าเล็กน้อยให้ฉิงเจียแล้วก็เลิกนึกถึงเหตุการณ์นั้นไป
“คุณหนู ต่อไปนี้ท่านเสนาบดีอนุญาตให้ท่านรับประทานอาหารที่ห้องได้ ไม่ต้องไปร่วมโต๊ะกับพวกท่านแล้วเจ้าค่ะ” ฉิงเจียจัดอาหารบนโต๊ะเสร็จก็มาช่วยพยุงคุณหนูมาที่โต๊ะอาหาร บนโต๊ะมีอาหารมากมายที่ถูกจัดเตรียมขึ้น ทำให้เหม่ยอิงหันไปมองฉิงเจียด้วยความสงสัยว่าเหตุใดถึงเตรียมอาหารมามากมายขนาดนี้
“ข้าต้องทานอาหารคนเดียวใช่หรือไม่ เหตุใดถึงจัดเตรียมมามากมายเช่นนี้” เหม่ยอิงนั่งลงที่เก้าอี้แล้วมองไปที่อาหารห้าอย่างบนโต๊ะ
“เจ้านั่งลงสิ” เหม่ยอิงหันไปพูดกับสาวรับใช้ที่ยืนก้มหน้าถือถาดอาหารอยู่ข้าง ๆ