เมื่อฮ่องเต้ตอบบุตรชายเสร็จก็หันหน้าไปบอกท่านเสนาบดีที่ยืนอยู่ด้านข้างว่า “ท่านรีบพาเหม่ยอิงกลับไปพักผ่อนเถิด เรื่องเทียบเชิญ ข้าจะให้คนจัดการส่งไปให้ในสิบวันต่อจากนี้” เมื่อร่างสูงกล่าวจบก็หันไปมองเหม่ยอิงแล้วยิ้มให้เล็กน้อย ซึ่งการกระทำนั้นอยู่ในสายตาของอ๋องแปดทั้งหมด ชายหนุ่มครุ่นคิดไปไกลว่าเสด็จพ่อเกิดติดตราตรึงใจในคุณหนูผู้นี้ที่ยืนข้างเขาอยู่ไม่น้อย สายตาที่บิดาใช้มองนางอ่อนโยนอย่างที่ไม่เคยมองใครเช่นนี้มาก่อน ฉับพลันความรู้สึกบางอย่างก็แล่นเข้ามาที่กลางหน้าอก มันไม่สามารถบอกได้ว่าความรู้สึกนี้เป็นเช่นไร แต่สิ่งหนึ่งในตอนนี้ที่บอกได้คือเขารู้สึกไม่พอใจ แต่ก็ไม่รู้ว่าทรงไม่พอพระทัยเสด็จพ่อหรือแม่นางคนนี้กันแน่
“กระหม่อมทูลลาพ่ะย่ะค่ะ” ท่านเสนาบดีทำความเคารพ บอกลาฮ่องเต้และองค์ชายแปด เหม่ยอิงที่เห็นดังนั้นจึงรีบย่อกายทำความเคารพฮ่องเต้และท่านอ๋องแปด พร้อมกับรีบเดินตามติดบิดาของตนไปทันที เมื่อท่านเสนาบดีและคุณหนูรองจากไปแล้ว ฮ่องเต้จึงหันไปถามลูกชายทันทีพร้อมกับเดินไปนั่งลงที่โต๊ะหินอ่อนกลางศาลาริมน้ำ
“เจ้ามีเรื่องอะไรจะคุยกับพ่อหรือเว่ยเอ๋อร์” ฮ่องเต้ยกถ้วยชาที่ขันทีอู่เพิ่งรินน้ำชาร้อน ๆ ให้ขึ้นจิบช้า ๆ อ๋องแปดหรือองค์ชายแปดรีบนั่งลงตรงข้ามและถามในสิ่งที่ตนอยากรู้ ซึ่งสิ่งนี้เองเป็นเหตุผลที่ชายหนุ่มร้อนรนรีบเข้าวังมาทันที
“จริงหรือไม่พ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อที่จะให้ลูกแต่งงานกับคุณหนูใหญ่ตระกูลเซี่ย” อ๋องแปดมีสีหน้าร้อนรนผิดปกติ เดิมแล้วเขาจะเป็นคนนิ่งและสุขุมมากกว่านี้
“อะไรกันเว่ยเอ๋อร์ พ่อยังไม่ทันได้บอกใคร ข่าวนี้ไปถึงเจ้าไวเสียเหลือเกิน” ฮ่องเต้ทรงพระสรวลออกมาเบา ๆ อย่างเอ็นดูองค์ชายแปด
“ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ” อ๋องแปดรีบก้มหน้าลงทันที แล้วเก็บสีหน้าอาการที่ไม่ควรเสียมารยาทต่อหน้าพระพักตร์
“อย่างไรพ่อก็จะเรียกเจ้าเข้าวังมาเพื่อบอกเรื่องนี้อยู่พอดี การที่เจ้ามารอพบก่อนถือว่าเป็นเรื่องที่ดียิ่ง” ฮ่องเต้หยิบขนมกุ้ยฮัวขึ้นมาเสวยอย่างอารมณ์ดี รสชาติขนมหวานที่ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานทำให้นึกไปถึงสหายรักในสมัยเด็ก ทั้งสองเคยให้สัญญากันไว้ว่าหากลูกของเราโตขึ้นก็อยากจะให้หมั้นหมายกัน แม้ว่าฮ่องเต้จะมีลูกมากมาย แต่มีเพียงไม่กี่คนที่เป็นคนโปรด เขาจึงอยากให้ลูกชายที่รักที่สุดได้ดูแลลูกสาวของน้องสาวของสหายรัก เพราะว่าสหายของพระองค์มีอายุสั้น จึงได้ตายไปเสียก่อนจะมีทายาท อ๋องแปดเห็นเสด็จพ่อทานขนมกุ้ยฮัวนี้ทีไรก็จะมีอาการเหม่อลอยไปเสียทุกครั้ง และครั้งนี้ก็เช่นกัน ด้วยความที่ชายหนุ่มไม่อยากรบกวนช่วงเวลาพักผ่อนของเสด็จพ่อ จึงนั่งจิบชาเป็นเพื่อนอยู่อย่างนั้นนานหลายชั่วยาม
เมื่อเหม่ยอิงเดินตามบิดาออกมาจากพระราชวังและนั่งรถม้ากลับจนมาถึงจวนเสนาบดี ในระหว่างทางเขาก็พูดเรื่องสำคัญหลายอย่างกับนาง และเรื่องที่สำคัญที่สุดพอสตรีได้ฟังแล้วก็รู้สึกเป็นกังวลอย่างมาก
“เหม่ยอิง เจ้าจะต้องแต่งงานกับท่านอ๋องแปดแทนพี่ใหญ่ของเจ้า” ท่านพ่อพูดเสียงดุและทำหน้าตาเกรงขามใส่เหม่ยอิงที่นั่งตัวลีบอยู่ด้านข้าง
“เหตุใดท่านพ่อถึงให้ลูกแต่งงานแทนพี่ใหญ่ด้วยเจ้าคะ” เหม่ยอิงรู้สึกตกใจ พยายามหาเหตุผลเพื่อเอ่ยปฏิเสธผู้เป็นบิดา
“ฮ่องเต้ทรงมีรับสั่งว่าจะต้องเป็นเจ้าเท่านั้น แต่ติดตรงที่เจ้าเป็นคุณหนูรอง แต่ต่อไปนี้เจ้าจะเป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลเซี่ย แบกรับหน้าที่นี้เเทนพี่ใหญ่ ถือว่าข้าลงโทษที่เจ้าทำใบหน้าของกุ้ยเหนียงอัปลักษณ์ และ ถ้าไม่อยากให้แม่ของเจ้าต้องเดือดร้อนก็รีบทำตามคำสั่งของข้าเสีย” เมื่อผู้เป็นบิดาพูดจบก็หันหน้าไปจดจ่อกับหนังสือในมือของตนต่ออย่างไม่รู้สึกสะทกสะท้านอันใดเลย เหม่ยอิงได้แต่ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก แม้ใจนางอยากจะเถียงก็เถียงไม่ได้ ได้แต่นั่งคิดไม่ตกว่าจะหาทางออกเรื่องนี้อย่างไรดี
หลังจากที่ทั้งสองเดินทางกลับมาถึงจวนเสนาบดี จากเดิมที่เหม่ยอิงเคยอาศัยอยู่เรือนหลังเล็กที่อยู่ห่างออกไปราวหนึ่งลี้ที่ตั้งอยู่ทางด้านหลังของจวนเสนาบดี ก็ถูกบิดาให้ย้ายเข้ามาอยู่บนเรือนใหญ่ ซึ่งก็คือห้องเดิมที่ใช้แต่งตัวเมื่อตอนเช้านี้เอง ฉิงเจียเดินถือถาดอาหารเย็นเข้ามาวางไว้บนโต๊ะกลางห้อง เมื่อมองไปทางซ้ายก็เห็นคุณหนูรองที่ตอนนี้ถูกเลื่อนขั้นให้เป็นคุณหนูใหญ่กำลังนั่งเหม่อลอยมองคันฉ่องทองเหลืองอยู่ตรงโต๊ะเครื่องแป้ง
“อาหารเย็นมาแล้วเจ้าค่ะ” ฉิงเจียซึ่งเป็นสาวใช้ประจำตัวบอกหญิงสาว เหม่ยอิงนั่งเหม่อลอยครุ่นคิดวิตกกังวลว่าจะทำอย่างไรดี เรื่องแต่งงานเป็นเรื่องที่ใหญ่เกินไป ตอนอยู่โลกก่อน ตัวเซี่ยเหม่ยอิงคนนี้ก็ไม่เคยคิดแม้กระทั่งเรื่องของความรัก นางไม่เคยมีคนรักสักคน ทำแต่งาน เพราะงานคือทุกสิ่ง ไม่มีงานคือไม่มีเงิน มีแต่การแข่งขันแก่งแย่งชิงดีกว่าจะได้ตำแหน่งผู้จัดการแผนกมาได้ต้องใช้เวลาตั้งหลายปี แล้วอยู่ดี ๆ ก็ต้องมาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ตายโดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัว หญิงสาวน้ำตาคลอ รู้สึกว่าชีวิตไม่ว่าโลกนี้หรือโลกที่ผ่านมาก็ล้วนแต่ไม่มีความจีรังอะไรทั้งนั้น
“คุณหนู ท่านร้องไห้ทำไมกันเจ้าคะ” ฉิงเจียเดินเข้ามาดูใกล้ ๆ ก็เห็นผู้เป็นนายนั่งน้ำตาคลอเอ่อล้นอยู่เต็มนัยน์ตาหงส์
เหม่ยอิงรู้สึกตัวรีบกะพริบตาไล่น้ำตาแห่งความอ่อนแอนั้นทิ้งไป แล้วหันหน้าไปยิ้มให้สาวรับใช้และได้แต่เอ่ยบอกว่า “ข้าไม่เป็นอันใด อาหารเย็นมาแล้วหรือ เราไปกินกันเถอะ” เหม่ยอิงฝืนยิ้มสดใสให้สาวน้อยตรงหน้า ลุกขึ้นยืนและเอื้อมมือไปจับมือหญิงสาวตรงหน้าพากันไปนั่งที่โต๊ะกลางห้องแล้วลงมือทานอาหารร่วมกัน ฉิงเจียที่ตอนแรกไม่ได้อยากนั่งร่วมโต๊ะเสมอผู้เป็นนาย แต่พอได้สบตากลมโตหวานใสคู่นั้นก็ได้แต่จำใจนั่งทานข้าวเป็นเพื่อน ในใจรู้สึกสงสารคุณหนูจับใจ เมื่อทานอาหารเย็นเสร็จ ฉิงเจียก็ยกสำรับไปเก็บ ภายในห้องจึงเหลือแต่คุณหนูรองที่ตอนนี้จำใจต้องกลายมาเป็นคุณใหญ่แทน
อีกฟากหนึ่งของจวนอ๋องแปด เวลานี้เข้าสู่ยามซวี ท้องฟ้ามืดครึ้ม ดวงจันทร์ส่องสว่างสดใส คืนนี้จันทร์เต็มดวงไร้เมฆหมอกมาบดบังความสวยงาม ยิ่งมองดูก็ยิ่งรู้สึกสวยงามจับใจนัก ภายในศาลาริมน้ำมีชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่งมัดผมเพียงครึ่งศีรษะ ผูกผ้ามัดผมสีขาว สวมชุดสีขาวขลิบทองกำลังนั่งดีดฉินอย่างสง่างาม บรรเลงเพลงทำนองหวานซึ้งกินใจคล้ายคนตกอยู่ในห้วงแห่งความรัก แม้จะมีสีหน้าเรียบนิ่งคล้ายไม่นึกคิดสิ่งใด มือเรียวทั้งสองของบุรุษก็บรรจงดีดฉิน เขาหลับตาลง ปล่อยใจให้ครุ่นคิดกับราชโองการของเสด็จพ่อที่ทรงพระราชทานให้แต่งงานกับคุณหนูใหญ่ตระกูลเซี่ยนามว่า ‘เซี่ยเหม่ยอิง’ เพียงเท่านั้นจิตใจชายแทบไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
เขาบอกไม่ได้ว่าแท้จริงแล้วตนเองรู้สึกดีใจหรือเสียใจหรือไม่ ในใจลึก ๆ เขาอยากจะขัดราชโองการแต่ก็ไม่สามารถเอ่ยออกไปได้ ในเมื่อเสด็จพ่อมีรับสั่งจะสามารถปฏิเสธได้เช่นไร หากวันนี้ไม่แต่ง ยังไงเสียวันหน้าก็ต้องแต่งอยู่ดี ถึงแม้จะใช่หรือไม่ใช่คุณหนูใหญ่ตระกูลเซี่ย ยังไงก็ต้องเป็นคุณหนูจากตระกูลไหนสักตระกูลหนึ่งที่มีอิทธิพลในราชสำนัก ซึ่งนอกจากตระกูลเซี่ยแล้วก็ยังมีตระกูลฮุ่ยของท่านเสนาบดีกรมพระคลังที่พอจะสูสีกันอยู่บ้าง