ระหว่างที่หญิงสาวทำการผายปอดช่วยชีวิตยุวปัญญาชนหนุ่มจากเมืองใหญ่อันศิวิไลซ์นั้นผู้คนรอบกายก็ซุบซิบกันพลางหัวเราะคิกคัก เวลาผ่านไปราวๆ10 นาที เซิ่นลี่หมิงก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาพร้อมๆ กับไอค้อกแค้ก
“แค้กๆๆ”
“ฟื้นแล้ว” ดวงตาหญิงสาวเป็นประกายด้วยความดีใจ ตาของเธอเคยบอกว่าการช่วยเหลือชีวิตคนคือบุญใหญ่ เธอซึ่งเป็นคนที่ดูแย่เต็มทีในสายตาของชาวบ้านทั่วๆ ไปวันนี้คงจะมีเรื่องดีๆ ให้พูดถึงบ้าง
แต่เรื่องกลับไม่เป็นดังนั้น มันกลับตาลปัตรเลยต่างหาก หลังจากที่มีข่าวเรื่องที่เธอกอดจูบยุวปัญญาชนชายที่หมดสติแพร่ออกไป ผู้คนต่างติฉินนินทาและกดดันให้เธอรีบแต่งงานกับเซิ่นลี่หมิงเพื่อที่ว่าผีปู่ย่าตายายประจำหมู่บ้านจะได้ให้อภัย เพราะการที่หญิงสาวชายหนุ่มแตะเนื้อต้องตัวกันทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็นสามีภรรยากันถือว่าเป็นการผิดผี อันจะนำหายนะมาสู่หมู่บ้าน
‘ฮึ!แต่งก็แต่งซิ’ หญิงสาวนึกกระหยิ่มพลางหันไปทางซ้าย ทางขวา ก็เห็นว่าผู้คนที่ช่วยกันดึงชายหนุ่มขึ้นมาจากน้ำนั้นหายจ้อยไปกันหมดแล้ว ก็คงจะไปทำหน้าที่ของพวกเขานั่นแหละ หน้าที่โทรโข่งประจำหมู่บ้านอย่างไรล่ะ และหนึ่งในโทรโข่งตัวใหญ่อย่างป้าเถิงลู่เหลียนก็เลือกที่จะวิ่งไปที่แปลงนารวมที่มีชาวบ้านอยู่รวมกันเป็นร้อย
ในอดีต หลีเฟยฮวานั้นไม่ยินยอมแต่งงานกับเซิ่นลี่หมิงท่าเดียว หญิงสาวเองก็นึกดูแคลนว่าพวกยุวปัญญาชนนั้นล้วนแต่เป็นประชากรชั้น 3 ลำพังตัวเองยังจะเอาตัวไม่รอด แล้วจะมีน้ำหน้ามาดูแลเลี้ยงดูภรรยาได้อย่างไร พวกยุวปัญญาชนที่แต่งงานกับคนในพื้นที่ก็เพราะต้องการหาคนมาช่วยดูแลหรือมาช่วยผ่อนแรงตนเท่านั้น พวกนี้ไม่เคยทำงานสมบุกสมบันเหมือนพวกชาวบ้านมาก่อน การไปลงแปลงนารวมก็ได้แค่คูปองพอประทังชีวิตไปเป็นเดือนๆ เท่านั้น หัวเด็ดตีนขาดอย่างไรเธอก็ไม่ยอมแต่งกับเซิ่นลี่หมิง ผู้ชายที่เธอช่วยชีวิตเขาจากการจมน้ำ ทั้งๆ ที่ฝ่ายชายก็ยินดีรับผิดชอบและต้องการทำการแต่งงานให้ถูกต้องตามประเพณี เขาสารภาพออกมาว่าเธอคือรักแรกพบของเขา แต่หลีเฟยฮวากลับตอกหน้าเขาไปด้วยคำว่า ‘รอให้เขามีชามข้าวเหล็ก’ เสียก่อนเถิด เธอรู้สึกเกลียดขี้หน้าผู้ชายคนนี้ เพราะเขา เพราะเซิ่นลี่หมิง จึงทำให้เธอต้องมีข่าวคาวเหม็นโฉ่ กลายเป็นขี้ปากชาวบ้าน เธอไม่น่าไปช่วยคนอย่างนี้เลย ที่เขาแสดงออกว่าต้องการแต่งงานกับเธอคงเพราะรู้ว่าเธอเป็นใครและต้องการจับเธอให้อยู่หมัดละสิ เป็นเช่นนี้มีหรือคนอย่างหลีเฟยฮวาจะยอม วันต่อมาเธอก็ใช้มารยาหญิงออดอ้อนจูเหวินเต๋อและเอาอาหารอันโอชะมาล่อเขาโดยวางยาปลุกกำหนัดชนิดรุนแรงทั้งตัวเขาและตัวเธอเอง ผลก็คือ…ทั้งคู่ได้เสียเป็นผัวเมียกันที่บ้านของฝ่ายชายนั่นเอง ในเมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้แล้วอย่างไรก็ต้องเปลี่ยนตัวเจ้าบ่าวกลับมาเป็นจูเหวินเต๋อเช่นเดิม
…แต่อนิจจา หลังจากแต่งงานได้ 2 ปี หลีเฟยฮวาก็โดนวางยาจนต้องตายอย่างทุกข์ทรมาน และคนที่อยู่เบื้องหลังนั้นก็ไม่ใช่ใคร เป็นสามีสุดที่รักและน้องสาวที่แสนดีนั่นเอง
เซิ่นลี่หมิงที่ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมารู้สึกงงงวย หากเขาตาไม่ฝาดหรือตาพร่ามัวไป คนที่อยู่ตรงหน้าของเขาคือหญิงสาวที่ชื่อหลีเฟยฮวาใช่หรือไม่ เขารู้จักเธอ แต่เธออาจจะไม่รู้จักเขา ที่เขารู้จักเธอเพราะเธอนั้นคือหญิงสาวที่โดดเด่นที่สุดในหมู่บ้าน มีหนุ่มๆ ที่อาศัยที่แคมป์ของยุวปัญญาชนนั้นพูดถึงเธออยู่หลายๆ คน หากจะว่ากันไปตามตรงก็คือมียุวปัญญาชนหนุ่มหลายคนตัดสินใจที่จะหาผู้หญิงในชนบทแห่งนี้แต่งงานเพื่อปักหลักให้กับชีวิตเพราะพวกเขาไม่รู้ว่าอีกกี่เดือนกี่ปีกันแน่ที่จะมีโอกาสได้กลับถิ่นฐานภูมิลำเนา
…และหนึ่งในสตรีที่บรรดาหนุ่มๆ ยุวปัญญาชนหมายปองก็คือหลีเฟยฮวาเพราะเธอคือหลานสาวของผู้ใหญ่บ้านที่มีความสามารถและมีเส้นมีสาย…ชีวิตของพวกเขาอาจจะง่ายขึ้น
เซิ่นลี่หมิงเคยเห็นหลีเฟยฮวาปั่นจักรยานโฉบไปโฉบมาอยู่บ่อยครั้ง เขายอมรับว่าหญิงสาวผู้นี้สวยกว่าหญิงสาวนางอื่นๆ ในหมู่บ้านจริง แต่ก็มิได้สนใจมากนักเพราะคิดว่าเธอคงจะไม่มองหนุ่มๆ ยุวปัญญาชนที่เวลานี้ผู้คนในชนบทต่างก็มองว่าไร้ค่า ถือเป็นประชากรชั้นที่ 3 ก็ว่าได้ ทว่า…การพบเจอเธอครั้งนี้ทำให้ความรู้สึกของเขาเปลี่ยนไป มันคือความรู้สึกใหม่ๆ ที่เขาไม่เข้าใจและไม่เคยคาดคิดว่ามันจะเกิดขึ้น
“คุณ คุณฟื้นแล้ว รอดตายแล้วนะ” เธอพูดพลางฉีกยิ้มแสนหวานให้เซิ่นลี่หมิง น้ำเสียงของเธอช่างไพเราะ อ่อนหวานและอบอุ่นดั่งสายลมแห่งวสัตฤดู
วินาทีที่ดวงตาดอกท้อของเขาสบเข้ากับดวงตาเมล็ดซิ่งของเธอ ชายหนุ่มรู้สึกราวกับว่า…ทุกอย่างหยุดนิ่ง
…โลกหยุดหมุน ฤดูกาลหยุดหมุนเปลี่ยน สายน้ำหยุดไหล พระอาทิตย์พระจันทร์หยุดส่องแสง วิหคหยุดบิน ปลาหยุดแหวกว่ายสายธารา หมู่มวลบุปผาหยุดร่วงโรย ส่วนตัวเขาเองนั้น…แทบจะหยุดหายใจ มันเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางที่ซับซ้อนของหัวใจ มีความปรารถนาบางอย่างอันลึกซึ้งผลิบานราวกับดอกไม้แห่งวสันตฤดู ใช่แล้ว…มันคือความรักใช่หรือไม่ ชายหนุ่มรู้สึกราวกับว่านี่คือรักแรกพบ เพราะถึงแม้ว่าเขาจะเคยเห็นหน้าเธอมาก่อนหน้านี้ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาและเธอได้มีโอกาสสนทนากัน ว่ากันว่า…รักแรกพบนั้นคือความทรงจำที่ลบไม่ออก มัยจะฝังอยู่ในห้วงความคิดและหัวใจของผู้คนตลอดไป มันเป็นความรู้สึกที่อยู่เหนือตรรกะและเหตุผลทั้งปวง
…ทั้งหมดนี้มันเกิดขึ้นจากอะไรกันล่ะ
เซิ่นลี่หมิงรู้สึกว่าตนเองนั้นเป็นกลีบดอกโบตั๋นที่ถูกจุมพิตอย่างแผ่วเบาและทนุถนอมโดยหยาดน้ำค้างยามเช้า เสียงหัวใจเวลานี้เต้นเป็นจังหวะซิมโฟนีด้วยท่วงทำนองอันแสนหวาน รอยยิ้มของเธอคือเวทมนต์ที่ครอบงำหัวใจของเขาให้ตราตรึงไปด้วยความคิดคำนึงถึงเธอ
…ความเอ๋ย ความรัก
ผู้คนในหมู่บ้านต่างพากันติฉินนินทาเธอว่าเป็นพวกเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ โมโหร้าย เอาแต่ใจ เอาเปรียบและรังแกน้องสาวต่างมารดา แต่สำหรับเขาแล้วเธอเป็นสตรีที่กล้าหาญ เด็ดเดี่ยวและมีน้ำใจ มีเมตตา มีความอารี เธอช่วยชีวิตเขาโดยไม่ลังเลว่าตนจะได้รับผลเสียหายจากการกระทำครั้งนี้หรือไม่ เธอเห็นว่าชีวิตมนุษย์นั้นเป็นเรื่องสำคัญ …นี่ใช่สตรีร้ายกาจอย่างที่ชาวบ้านตัดสินเธอเช่นนั้นหรือ สำหรับเขาแล้วนอกจากเธอจะไม่ใช่สตรีร้ายกาจแต่เป็นสตรีที่แสนดีต่างหาก
…รู้ตัวอีกทีก็รักเธอไปแล้ว
“อะ…เอ่อ ขอบคุณครับ คุณหลีเฟยฮวา ที่ช่วยชีวิตผมไว้” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างซาบซึ้ง ดวงตาจ้องมองเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่ายราวกับจะค้นหาอะไรบางอย่าง
“ไม่เป็นไรค่ะ พอช่วยกันได้ก็ช่วยกันไป ฉันคงปล่อยให้คนตายไปต่อหน้าต่อตาไม่ได้หรอก ว่าแต่คุณเถอะ ว่ายน้ำไม่เป็นหรืออย่างไรคะ?” เธอถามออกไปด้วยความแปลกใจ ปกติแล้วชายหนุ่มในชนบทนั้นมักจะว่ายน้ำเก่งกันทุกคนเพราะพวกเขาต้องต่อสู้ดิ้นรนมาตั้งแต่เกิด แต่สำหรับชายหนุ่มที่มาจากเมืองใหญ่เธอก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน
เซิ่นลี่หมิงยิ้มแห้งๆ พลางส่ายหน้าเบาๆ
“พอว่ายได้ แต่ว่ายน้ำไม่แข็งหรอกครับ”
หลีเฟยฮวาส่ายหน้าน้อยๆ พลางถอนหายใจ
“หากคิดจะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ต้องรู้จักปรับตัว ต้องฝึกว่ายน้ำให้เก่งค่ะ เอ่อ เดี๋ยวฉันต้องไปแล้ว ว่าจะเข้าไปซื้อของที่เขตเสียหน่อย คุณพักที่แคมป์ของพวกยุวปัญญาชนใช่ไหมคะ?” เธอแสร้งถาม หลีเฟยฮวารู้ว่าชีวิตก่อนของเธอนั้นชายหนุ่มย้ายออกมาจากแคมป์และมาเช่าบ้านเก่าๆ ของยายเม้าปากมากเถิงลู่เหลียนอยู่ แต่ไม่รู้ว่าการกลับมาอีกครั้งในชีวิตนี้ทุกสิ่งทุกอย่างจะยังเหมือนเดิมหรือไม่