ตอนที่ 1 ย้อนเวลามาจริงๆ หรือ (1)
“เฟยฮวา ผมคงต้องกลับเมืองซีเถาแล้ว แต่ผมสัญญานะครับว่าจะหาเวลามาเยี่ยมคุณที่สุสานนี้ทุกๆ ปี คุณจะอยู่ในความทรงจำของผมตลอดไปครับ” ชายหนุ่มวางดอกลิลลี่สีชมพูไว้ด้านหน้าป้ายหลุมฝังศพของเธอ อันที่จริงเขาอยากจะพูดออกมาว่า ‘เธอจะอยู่ในหัวใจของเขาตลอดไป’ ทว่า…ก็เกรงว่าบุคคลที่ยืนรออยู่ไม่ไกลจากที่ที่เขานั่งอยู่นั้นจะได้ยินและรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา
“กลับกันเถอะลูก เดี๋ยวจะค่ำมืดเสียก่อน วันนี้ป้าฉินบอกว่าจะตั้งโต๊ะไว้รอ สงสารแก แกออกไปจ่ายตลาดตั้งแต่เช้ามืด กลับไปกินข้าวเย็นฝีมือแกหน่อยนะ แกคิดถึงลูกมากนะ”
“ครับ คุณพ่อ” ชายหนุ่มรับปากบุรุษวัยกลางคนท่าทางภูมิฐาน แต่งกายดูดีนำสมัย เขาเดินตามผู้เป็นพ่อลงไปตามทางเดินซึ่งดูลาดชันเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ หันกลับมามองสุสานฝังศพที่เขาเพิ่งนำดอกลิลลี่สีชมพูนั่นไปวางไว้ เนิ่นนาน กว่าที่เขาจะหันกลับไปมองทางเดินอีกครั้งพร้อมน้ำตาคลอหน่วย
ร่างโปร่งแสงของหลีเฟยฮวาร่ำไห้ใจแทบจะขาด เธอเสียชีวิตมาได้ 10 ปี ทว่า…วิญญาณกลับติดแหงกอยู่ที่หลุมฝังศพในสุสานแห่งนี้ ตลอด 10 ปีที่ผ่านมาเธอเหงาและเศร้าเสียใจ บางครั้งต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวที่เพื่อนๆ ซึ่งเป็นวิญญาณนั้นต่างพากันไปผุดไปเกิดหมดแล้ว นานทีจึงจะมีเพื่อนใหม่เข้ามาที่สุสานนี้ แต่อยู่ไม่นานก็ได้ไปเกิดใหม่ มีเธอนี่แหละที่อยู่ที่นี่นานที่สุด 10 ปีเห็นจะได้ วิญญาณของเธอไม่สามารถออกไปไหนได้เลยยกเว้นเดินเที่ยวเตร็ดเตร่อยู่ในสุสานแห่งนี้ซึ่งเป็นสุสานฝังศพของเขตเท่านั้น ทว่า…ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีอยู่บ้าง แม้ว่าเพื่อนผีนั้นจะหาได้ยาก และไม่คงอยู่ถาวร ก็ยังมี ‘เพื่อนที่เป็นคน’ แวะเวียนมาหา มาเยี่ยมยามถามข่าว และเล่าเรื่องราวต่างๆ ของเขาให้ฟัง นอกจากนี้ยังนำอาหารสารพัดชนิดและดอกไม้มาให้เธอเป็นประจำ
…เขามิใช่คนในครอบครัว ไม่ใช่อดีตสามี แต่เขาเป็น…คนที่เคยแอบหลงรักเธอ และเป็นคนที่เธอ…เกลียดขี้หน้า
คนที่เธอเกลียดกลับดีกับเธอถึงเพียงนี้ ส่วนคนที่เธอรัก ไม่สิ ต้องพูดว่า…เคยรัก กลับทำร้ายเธอได้อย่างอำมหิต ทั้งๆ ที่เธอนั้นทุ่มเททั้งตัวและหัวใจให้กับเขา
คิดมาถึงตรงนี้หลีเฟยฮวาก็ลมหายใจติดขัด (ทั้งๆ ที่เป็นผี แต่เธอก็ยังรู้สึกว่าตนนั้นยังหายใจอยู่) มือทั้ง 2 ข้างกำแน่น ยิ่งเมื่อนึกถึงใบหน้าระรื่นของหญิงชั่วชายโฉดคู่นั้น อ้อ ไม่สิ พวกมันทั้งครอบครัวเลยต่างหาก หลีเฟยฮวาก็เคียดแค้นจนแทบกระอักเลือดออกมา
“อย่าให้ฉันได้กลับไปนะ ฉันจะจัดการหักคอพวกแกทุกคนเลย” หญิงสาวเคียดแค้นสุดขีดจนถึงกับร่ำร้องออกมา เธอทรุดลงนั่งข้างๆ หลุมฝังศพของตนเอง ดวงตาจ้องมองไปบนป้ายชื่อบนหลุมนั้น
“เธอก็ขู่ไปอย่างนั้นแหละ คิดว่าผีทุกตัวนั้นจะหักคอคนได้ มันเป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้นมาเพื่อหลอกเด็กเท่านั้น ฮ่าๆๆๆ” เสียงนั้นดังมาจากทางด้านหลัง
หลีเฟยฮวาหันขวับไปยังที่มาของเสียงทันที จากที่เธอรู้มา เวลานี้ยังไม่มีศพใหม่เข้ามาฝังที่นี่ไม่ใช่หรือ ตอนนี้สุสานของเขตซีเหยา ซึ่งเป็นสุสานรวมของทุกหมู่บ้านในเขต รวมทั้งหมู่บ้านหวงโปที่เธอเคยอยู่ด้วยเวลานี้ยังมีเธอเป็นเจ้าถิ่นอยู่แต่เพียงผู้เดียว
ทว่า…ไม่มีสิ่งใดปรากฏแก่สายตา ผีย่อมเห็นผีมิใช่หรือ มีผีชนิดไหนบ้างที่ผีทั่วๆ ไปจะมองไม่เห็น
“ใครน่ะ ออกมานะ เป็นผีมาใหม่เหรอ” หลีเฟยฮวาหันซ้ายแลขวาอย่างหวาดระแวง
“ฮ่าๆๆๆ ไม่ใช่ผีหรอก ถ้าเป็นผีเหมือนกันเธอก็คงมองเห็นแล้ว ว่าแต่เธอเถอะ หลีเฟยฮวา อยู่ที่นี่มาเป็น 10 ปีแล้วไม่ใช่เหรอ คิดอยากจะออกไปข้างนอกบ้างหรือไม่ล่ะ?” น้ำเสียงนั้นฟังดูอ่อนโยนขึ้น
หลีเฟยฮวานั่งทอดถอนใจ
“เฮ้อ!ถ้าจะให้ดีฉันอยากกลับไป อยากกลับไปในช่วงเวลาก่อนที่ฉันจะตายมากกว่า ฉันอยากจะกลับไปตอบแทนคนหลายๆ คนที่เขาแสดงความจริงใจออกมาให้ฉันรู้ว่าแท้จริงแล้วพวกเขารู้สึกอย่างไรกับฉันกันแน่” เธอพรั่งพรูความปรารถนาในใจออกมาแม้จะรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้
“อืม ถ้าอย่างนั้นเธออยากจะย้อนเวลากลับไปตอนไหนล่ะ ก่อนที่เธอจะแต่งงาน หรือว่าหลังจากแต่งงาน?” เสียงที่มองไม่เห็นตัวนั้นเอ่ยถามอย่างจริงจัง
หลีเฟยฮวาจู่ๆ ก็รู้สึกว่าหัวใจพองโต เธอเองก็เคยคิดเล่นๆ หวังลมๆ แล้งๆ ว่าหากมีพรวิเศษให้เธอสักข้อก็คงจะดี เธออยากจะขอย้อนกลับไปในอดีต ในช่วงเวลาก่อนที่เธอนั้นจะแต่งงานกับชายชั่วผู้นั้น
“ฉะ…ฉัน ฉันอยากย้อนเวลากลับไปตอนที่ฉันเพิ่งจะเจอกับ เอ่อ พี่ลี่หมิง”
สิ้นเสียงของหญิงสาวก็เกิดลมพายุแปรปรวนขึ้นมาราวกับพายุงวงช้าง ลมกรรโชกแรงนั้นได้พัดหอบเอาวิญญาณน้อยๆ ของเธอปลิวล่องลอยออกไปไกลแสนไกล ไกลขนาดที่ว่าไม่สามารถวัดเป็นระยะทางได้ แต่สามารถวัดเป็น…เวลาได้
ลมนั้นพัดพาวิญญาณของเธอย้อนไปถึง 12 ปี
…เอ๊ก อี เอ้ก เอ้ก
เสียงไก่บ้านที่เลี้ยงเอาไว้ 2 ตัวนั้นขันรับส่งกันเป็นทอดๆ กับไก่ป่าที่อยู่ในป่าละเมาะไม่ไกลไปจากบ้านนี้และไก่ที่บ้านหลังอื่นๆ ในละแวกนี้เลี้ยงเอาไว้
“เอ้า สาวๆ ตื่นกันได้แล้ว วันนี้เราต้องรีบไปลงแปลงนาก่อนคนอื่น หัวหน้าคอมมูนจะได้เห็นหน้าพวกเราก่อน บ้านเราจะได้แต้มกันเยอะๆ อย่างไรล่ะ” เจิ้งเสี่ยวหลิงร้องปลุกขณะกำลังกุลีกุจอบรรจุหมั่นโถวลงไปในชามกระเบื้องจำนวน 4 ลูก ก่อนจะนำชามนั้นวางลงไปในตะกร้าหวายสานที่มีฝาปิดอีกที
หญิงสาวนางหนึ่งปรือตาขึ้นมาพลางสบถอย่างหัวเสีย
“เช้าแล้วหรือนี่ ทำไมฉันจะต้องแหกขี้ตาตื่นแต่เช้าขนาดนี้เพื่อไปทำงานตากแดดตากลมงกๆ ทั้งๆ ที่นังพี่สาวตัวดีมันยังนอนสบายๆ ตื่นสายแค่ไหนก็ไม่มีใครว่า ปั๊ดโธ่เว๊ย!โลกช่างไม่ยุติธรรม” หลีเฟยอินเด็กสาววัย 16 ปีนั้นบ่นพลางทำท่าอิดออด เธอไม่อยากจะลุกจากที่นอนเลย อากาศเย็นๆ ยามเช้ามืดอย่างนี้กำลังนอนหลับสบายดี ส่วนน้องสาวอย่างหลีเฟยหลิง เด็กสาววัย 14 นั้นค่อนข้างว่าง่าย เธอหาวคราหนึ่งก่อนจะใช้มือขยี้ตาและลุกขึ้นไปแต่งตัวเตรียมออกไปลงแปลงนา
… ‘นังพี่สาวตัวดี’ ที่ว่านั้นกำลังนอนลืมตาโพลงอยู่ห้องข้างๆ กันนั่นเอง
หลีเฟยฮวาสะดุ้งเฮือกเมื่อเสียงบ่นอันดังของน้องสาวต่างมารดาที่นอนอยู่ห้องข้างๆ กันนั้นทำให้ตื่น นี่เธอฝันไปหรือเปล่า เธอตายไปแล้วยังจะฝันได้อีกหรือ ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่เธอตายไป เธอจำได้ว่าเธอไม่เคยฝันเลยสักครั้ง เพราะวิญญาณนั้นไม่จำเป็นต้องนอน