สปันรีบขับไล่ความคิดไร้สาระในหัวออกไปทันที เพราะตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องผู้ชาย แต่เธอควรคิดเรื่องบิดาก่อนเป็นอันดับแรก
“ก้อง ปันมีเรื่องรบกวนหน่อยจ้ะ ปันอยากได้พยาบาลพิเศษ ก้องช่วยหาให้ปันหน่อยได้ไหม”
“พยาบาลพิเศษเหรอ ปันจะให้ดูแลคุณอาตอนกลางคืนใช่ไหม”
“ใช่จ้ะ ปันสงสารคุณแม่ ต้องดูแลคุณพ่อทั้งกลางวันทั้งกลางคืน ปันอยากได้พยาบาลมาช่วยดูตอนกลางคืน เพราะวันมะรืนปันต้องไปทำงานแล้ว คุณแม่จะเหนื่อยเกินไป”
“เข้าใจแล้ว ก้องจะหาให้นะ จะให้เริ่มเฝ้าคุณอาวันไหนล่ะ”
“ปันคิดว่าเริ่มวันมะรืนเลยก็ได้” สปันบอกเพื่อนแล้วถามต่อ “ก้อง คุณพ่อต้องอยู่โรงพยาบาลอีกนานแค่ไหน ค่าใช้จ่ายที่เหลืออีกประมาณเท่าไร”
“ต้องดูอาการท่านก่อน แต่ตามปกติก็สองอาทิตย์ ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายก็ไม่น่าเกินห้าแสน”
“ปันจะหามาจ่ายให้ได้”
“ก้องจะพยายามหาส่วนลดในส่วนของหมอมาให้นะ”
“ขอบใจมากนะก้อง ก้องเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของปันจริงๆ” สปันบอกเพื่อน
อชิรวิทย์อายุมากกว่าเธอสี่ปี แต่ด้วยความสนิทสนมเพราะเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก บ้านติดกันเลยชินกับการเรียกชื่อเล่นของเขาเท่านั้น สปันกับอชิรวิทย์เรียนโรงเรียนเดียวกันตั้งแต่ประถม มัธยม ก่อนจะแยกย้ายตอนเข้ามหาวิทยาลัย อชิรวิทย์สอบติดแพทย์ ส่วนเธอสอบติดเภสัชมหาวิทยาลัยของรัฐในกรุงเทพฯ ทั้งคู่
สปันเรียนจบและทำงานได้สองปี เธอเลือกอาชีพเป็นเซลส์ขายยา และที่บริษัทฟาร์มาซีที่สปันทำงานนั้นให้เงินเดือนสูง บวกกับค่าคอมมิชชั่นที่ได้ในแต่ละเดือนก็สูงลิ่ว สปันจึงมีเงินเก็บและนำมาใช้จ่ายช่วงที่บิดารักษาตัว
................................................................................................
เช้าวันต่อมาสปันมาถึงโรงพยาบาลตอนเช้าก็ต้องประหลาดใจ ดอกไม้ช่อใหญ่วางอยู่ตรงหัวเตียงของบิดา มารดาที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำ พอเห็นลูกสาวก็ยิ้มกว้าง
“มาแล้วหรือปัน”
“ค่ะคุณแม่” สปันกลับไปนอนบ้าน เพราะห้องพักไม่พอให้เธอนอนกับมารดา ตอนเช้าจึงจะมาเฝ้าไข้บิดาเป็นเพื่อนมารดา มือบางวางถุงอาหารที่หอบหิ้วมาไว้ตรงโต๊ะเตี้ยมุมหนึ่งของห้องก่อนจะถามมารดา “คุณแม่คะ ดอกไม้ใครหรือคะ”
สปันเดินไปดูใกล้ๆ ดอกลิลลี่สีขาวแซมกับกุหลาบสีชมพูในแจกันทรงโตทำให้ห้องผู้ป่วยดูสดใสขึ้นเป็นกอง ดวงตาคู่กลมโตพยายามมองหาการ์ดหรือนามบัตรที่แนบมาแต่ก็หาไม่เจอ ใครกันนะที่ส่งมา คงไม่ใช่เพื่อนเธอ เพราะถ้าใช่ก็ต้องบอกกันแล้วสิ
“ของคุณณัฐเศรษฐ์จ้ะ แม่ถามจากคนที่มาส่ง”
“คุณณัฐเศรษฐ์ไหนคะแม่” สปันเลิกคิ้วถาม
“ไม่ใช่เพื่อนของลูกหรือจ๊ะ แม่คิดว่าเพื่อนของปันเสียอีก”
สปันส่ายหน้า “ไม่ใช่ค่ะ ปันไม่มีเพื่อนชื่อนี้” สปันพยายามนึก แต่นึกอย่างไรก็นึกไม่ออกว่าเธอมีเพื่อนชื่อณัฐเศรษฐ์ตั้งแต่เมื่อไร
“คนที่มาส่งเขาบอกคุณแม่ว่ายังไงหรือคะ”
“เขาก็ไม่ได้บอกอะไรมากนะจ๊ะ แค่บอกว่าของคุณณัฐเศรษฐ์แค่นั้น แม่ก็นึกว่าเพื่อนลูกก็เลยรับไว้”
สปันขมวดคิ้ว มองช่อดอกไม้ พยายามทบทวนว่าเป็นใครที่เธออาจจะลืมชื่อไปไหม แต่ก็นึกไม่ออก ไม่ใช่เพื่อน ไม่ใช่บอสที่บริษัทแล้วจะเป็นใครกันนะ
“สงสัยเขาอาจจะส่งผิดมั้งคะคุณแม่”
ตอนที่แม่ลูกคุยกัน คนเป็นพ่อก็ตื่นขึ้นมาพอดี เนื่องจากได้หมอเก่งและครอบครัวดูแลใกล้ชิด ทำให้คุณปรเมศมีกำลังใจดีจนหายวันหายคืน สามารถขยับตัวได้ดีขึ้น
“ปันมาแล้วหรือลูก”
“ค่ะ คุณพ่อ” สปันเลยละความสนใจเรื่องดอกไม้ หันไปคุยกับบิดา “คุณพ่อคะ วันนี้ปันซื้อรังนกมาด้วย คุณพ่อกินข้าว กินยาแล้วกินรังนกนะคะ จะได้หายไวๆ”
“พ่อดีขึ้นเยอะแล้ว ปันไม่ต้องซื้อรังนกมาให้พ่อก็ได้ ราคามันแพง”
“ปันซื้อได้ค่ะ คุณพ่อไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ”
“แล้วนี่ดอกไม้ใครกันคุณญา” นายปรเมศหันไปเห็นช่อดอกไม้แล้วเอ่ยถามภรรยา
คนถูกถามส่ายหน้าไปมา “ฉันกับปันยังสงสัยอยู่เลยค่ะ ว่าของใคร เพราะยายปันก็บอกว่าไม่รู้จักคนให้ เขาให้ร้านดอกไม้มาส่งแล้วบอกแค่ว่าชื่อณัฐเศรษฐ์ หรือว่าเพื่อนคุณคะ”
“ผมไม่มีเพื่อนชื่อนี้นะคุณญา”
“ฉันก็ไม่มีคนรู้จักชื่อนี้เหมือนกันค่ะ”
“เขาอาจมาส่งผิดห้องก็ได้ค่ะ” สปันออกความเห็นบ้าง
“นั่นสิคะคุณ”
ข้อนี้เป็นไปได้มากที่สุด แต่สปันกับมารดาก็ไม่รู้จะทำอย่างไรกับช่อดอกไม้นี้นอกจากวางไว้ที่เดิม เพราะยังมีความเป็นไปได้ว่าอาจเป็นคนรู้จักนำมาให้ สักพักคนคนนั้นคงปรากฏตัวเอง
................................................................................................
ตอนเย็นวันเดียวกัน ขณะที่สปันกำลังนั่งพิมพ์อีเมลตอบลูกค้าที่ถามกำหนดส่งสินค้าเข้ามา เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นสองทีก่อนเสียงหวานใสของเพื่อนสนิทที่ทำงานจะดังขึ้น
“ปัน” คนมาใหม่เปิดประตูเข้ามาทักทายพร้อมกับหันไปยกมือไหว้บิดามารดาของเพื่อน “สวัสดีค่ะคุณพ่อคุณแม่”
คนป่วยที่นอนบนเตียงรับไหว้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ขณะที่นางรัญญาที่นั่งข้างๆ ก็ยกมือรับไหว้ “ไหว้พระเถอะจ้ะ”
“คุณพ่อคุณแม่คะ นี่อุ่นเพื่อนปันเองค่ะ”
อุ่นหรือกุลสตรียิ้มหวานพร้อมกับชูของเยี่ยมในมือ “ของเยี่ยมค่ะคุณลุง คุณลุงอาการเป็นยังไงบ้างคะ”
“ดีขึ้นมากแล้ว”
“คุณลุงหายไวๆ นะคะ”
“ขอบใจมากนะอุ่น” สปันพูด
“เพิ่งได้มีเวลามาเยี่ยม ขอโทษด้วยนะปัน”
“ไม่เป็นไรหรอก แค่มาเยี่ยมก็ดีใจมากแล้วจ้ะ”
“คุณลุงหน้าตาสดใส อีกไม่กี่วันก็กลับบ้านได้แล้วใช่ไหมคะ” กุลสตรีหันไปถามบิดาของเพื่อนที่นอนอยู่บนเตียง ขณะที่สปันนำของเยี่ยมไปวางไว้ที่โต๊ะเตี้ย แล้วเดินกลับมาหาเพื่อนที่ถามไถ่อาการบิดา
“เห็นคุณหมอบอกว่าต้องดูอาการก่อน ลุงเองก็อยากกลับบ้านแล้ว”
“นอนโรงพยาบาลนานๆ ก็เบื่อใช่ไหมคะ ไม่เหมือนอุ่นกับปัน ต้องมาโรงพยาบาลบ่อยจนหมอเบื่อหน้าเพราะมาทีไรก็ขายแต่ยา” กุลสตรีพูด
“หนูอุ่นดูท่าจะขายเก่ง”
“ใช่ค่ะคุณพ่อ อุ่นเขาเป็นท็อปเซลส์เลยค่ะ” สปันบอก
“อุ่นคนเดียวที่ไหน ปันก็เป็นท็อปเซลส์เหมือนกัน”
“ยายปันของพ่อคุยไม่เก่งไม่รู้เป็นเซลส์ได้ยังไง ตอนแรกพ่อนึกว่าจะขายไม่ได้แล้วเสียอีก” คนเป็นพ่อพูดกลั้วหัวเราะ
“คุณพ่อคะ ปันคุยไม่เก่งแต่มีเทคนิคการขายดีไงคะ”
“เทคนิคอะไรล่ะปัน บอกอุ่นบ้างสิ”
“คิดค่าบอกหนึ่งเปอร์เซ็นต์ของยอดขายอุ่นนะ”
“โหย ยายขี้งก”
คนทั้งหมดในห้องเลยหัวเราะพร้อมกัน ก่อนที่สปันจะพาเพื่อนออกมาคุยต่อข้างนอกห้องคนป่วย เพื่อให้บิดาได้พักผ่อน และเธอจะได้คุยงานกับเพื่อน
“มีสินค้าตัวไหนต้องเลื่อนส่งไหมอุ่น”
“ไม่มีจ้ะ อุ่นช่วยดูแทนปันแล้ว”
“ขอบใจอุ่นมากนะ พรุ่งนี้ปันก็ไปทำงานแล้วละ ไม่กล้าหยุดเยอะ เดี๋ยวเจ้านายไล่ออก” เพราะว่าเธอหยุดมาสามวันแล้ว และตอนนี้บิดาก็พ้นขีดอันตราย เหลือแค่รอดูอาการก่อนกลับบ้านเท่านั้น
“ปันดูผอมๆ ไปนะ พักผ่อนบ้างหรือเปล่า” กุลสตรีถามอย่างเป็นห่วง หลังจากทั้งคู่พากันเดินมาถึงร้านกาแฟ สปันรับหน้าที่ไปสั่งเครื่องดื่มแล้วมานั่งคุยกัน
“ก็วิ่งวุ่นที่บ้านกับโรงพยาบาล แต่ว่าปันสบายดี”
“ดูแลตัวเองด้วยนะปัน เออ ว่าแต่พี่หนึ่งมาเยี่ยมคุณพ่อของปันบ้างหรือเปล่า”
คำถามนี้ของเพื่อนทำให้สปันเงียบไปครู่หนึ่งก่อนตอบ “ไม่ได้มาเลย”
“ปันบอกพี่หนึ่งเรื่องคุณพ่อป่วยแล้วใช่ไหม”
“บอกแล้ว” สปันโทร.ไปลางานกับเขา เพราะฉะนั้นเขาต้องรู้อยู่แล้ว และยังฝากเขาบอกกับเพื่อนร่วมงานว่าบิดาป่วยเข้าโรงพยาบาล คนที่มาก็มีกุลสตรี แต่ว่าเขายังไม่ได้มา “พี่หนึ่งคงจะยุ่งละมั้ง”
“ปัน ถ้าอุ่นบอกอะไรไป ปันไม่โกรธอุ่นใช่ไหม”
สปันเงยหน้าขึ้นมอง กุลสตรีจึงตัดสินใจเล่า
“อุ่นเห็นคุณพัดชานั่งรถพี่หนึ่งออกไปจากที่บริษัท พวกเขาสนิทกันมากกว่าเพื่อนร่วมงาน อุ่นว่ามันน่าสงสัยนะ”
พัดชาคือลูกสาวเจ้าของบริษัทที่สปันทำงานอยู่ ฝ่ายนั้นเข้ามาช่วยบิดาดูแลเรื่องการเงินเมื่อเดือนที่แล้ว ส่วนพี่หนึ่งหรือจอมพลนั้นเป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาด การที่พวกเขาสนิทกันคงไม่แปลกเพราะต้องประสานงานกัน แต่การที่พัดชาซึ่งมีรถส่วนตัวเหมือนกันแต่นั่งรถจอมพลไปนั้นก็ทำให้สปันอดสงสัยไม่ได้