“ชาวบ้านเขาบอกกันว่างูตัวเล็กตัวนั้นเป็นงูเหลือม คุณพ่อของลูกเลยตั้งชื่อเขาว่าไพธอน ส่วนแม่ก็ตั้งชื่อหนูว่าโบอา”
เวลานี้หูทั้งสองข้างเริ่มอื้อไปหมด อื้อเสียงจนฉันมองเห็นแม่กับพ่อกับคุยกัน ริมฝีปากของพวกเขาขยับ แต่ว่าสิ่งที่ฉันได้ยินมีแต่เสียงของงูตัวนั้น
‘เธอคือโบอา...ส่วนฉันคือไพธอนพี่ชายของเธอ…’
ทั้งในความฝันหรือบนโลกของความเป็นจริง
‘...รอคอยมานานแล้วรู้หรือเปล่า... Ssss…คอยที่จะได้อยู่ใกล้...ดูแล...น้องสาวอย่างเธอ...’ หากว่านี่คือเรื่องจริง แล้วทำไมล่ะ
ทำไมไพธอนถึงเพิ่งกลับมาหาฉันเอาป่านนี้...
“ทำไมหรือจ๊ะ โบอาถามแม่แบบนี้ทำไม” ฉันสะดุ้งเมื่อเสียงของแม่กับที่เงียบหายไปจากโสตประสาทการรับฟังดังแทรกเข้ามาอีกครั้ง พลันต้องเหลือบสายตากวาดมองหน้าทั้งคู่ซึ่งถูกฉาบไปด้วยความสงสัย
“ปะ เปล่าค่ะ…” และเลือกที่จะปฏิเสธคำถามดังกล่าวไป เปลี่ยนเรื่องโดยยังคงเนื้อหาเดิม “ละ แล้วงูไพธอนตัวนั้นไปไหนเสียแล้วล่ะคะ?”
“ในวันที่ลูกเกิดไพธอนเกี่ยวรัดรอบคอลูกไว้ หลับตา เสมือนเป็นพี่น้องท้องเดียวกับเด็กทารกเพศหญิง...” คราวนี้คงที่เป็นฝ่ายเล่ารายละเอียดคือคุณพ่อ ท่านพูดพลางใช้มือยีมาที่ผมยุ่งๆ ของฉัน “แต่พอยัยตัวดีของพ่อส่งเสียงร้องเป็นครั้งแรก เจ้าไพธอนก็ลืมตาตื่นเหมือนกัน ไม่รู้เพราะตกใจเสียงลูกหรือเปล่างูตัวเล็กตัวนั้นถึงได้ปล่อยลำตัวที่รัดคอลูกออก แล้วเลื้อยหนีหายเข้าไปในป่า...”
“แม่รู้นะจ๊ะว่าลูกไม่ค่อยอยากฟังเรื่องเล่าพวกนี้เท่าไหร่...” แม่เสริมต่อจากพ่อทันทีที่สิ้นเสียง ราวกับรู้ว่าฉันกำลังคิดอะไร “แม่รู้ว่าลูกไม่อยากเป็นโบอา รู้ว่าลูกไม่อยากมีชะตากรรมแบบนี้ พ่อกับแม่แค่อยากให้ลูกรู้เอาไว้...”
ฝ่ามืออบอุ่นอ่อนโยนบรรจงเอื้อมมือลูบผมเพ้ายุ่งเหยิงยักโศกสีประหลาดของฉันอย่างอ่อนโยนจากนั้นก็พูดขึ้นอีกครั้ง
“ว่าไม่ว่าเมื่อไหร่ หนูยังมีพ่อกับแม่...ที่รักหนูยิ่งกว่าอะไรนะจ๊ะ” ประโยคดังกล่าวคือถ้อยคำที่ฉันฟังมาตั้งแต่เด็ก หากแต่ไม่ใช่กับอีกเสียงที่คล้ายกับแว่วมาตามเสียงลมจากในป่า
เสียงแว่วของอสรพิษที่ฉันเกลียดนักเกลียดหนา
‘Sss…พี่รักเธอ...โบอา’
เช้าวันนี้อากาศไม่แจ่มใส ฝนตั้งเค้าจนท้องฟ้ามืด ฉันยังคงพกร่มคันเดิมติดตัวออกจากบ้าน เดินผ่านต้นโอ๊ค โดยไม่ลืมหยุดเท้าลงเพื่อมองหาบางสิ่งที่น่าจะอยู่ตรงนั้น แต่ก็ไร้วี่แวว
ดังนั้นเท้าจึงเริ่มก้าวเดินไป เดินหลุดออกมาจากป่าสนได้ไม่เท่าไหร่ สายฝนเม็ดเล็กก็เริ่มโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า ทำให้ร่มที่ถือเตรียมมาเริ่มมีคุณค่าอย่างที่ควรเป็น เหมือนทุกวัน ฉันเดินไปตามทางเท้าท่ามกลางสายฝนและร่มหนึ่งคัน ตรงไปยังโรงเรียน
ฉันยังทำตัวปกติ ไม่ใช่ว่าไม่รู้สึกหรือไม่แปลกใจกับเหตุการณ์อัศจรรย์และเรื่องเล่าน่าเหลือเชื่อเมื่อวาน แต่พยายามทำให้ทุกอย่างดูเป็นเหมือนเดิมมากกว่า ชะตากรรมของมนุษย์ถูกกำหนดเอาไว้ตั้งแต่วันที่เกิด หากสิ่งที่พ่อกับแม่พูดให้ฟังเมื่อหัวค่ำวานนี้คือเรื่องจริง ฉันเองก็คงเปลี่ยนแปลงอะไรวงล้อชีวิตตัวเองไม่ได้
เพราะทำไม่ได้ก็เลยต้องทำตัวให้ทุกอย่างเหมือนปกติ และอาจเพราะพยายามทำตัวให้เหมือนปกติมากเกินไป สิ่งที่เจอเป็นประจำก็เลยเกินขึ้นไวกว่าทุกครั้ง
“เฮ้! นังแม่มด!”
ทันทีที่เท้าย่างเหยียบเข้าสู้เขตพื้นที่ของโรงเรียน พื้นที่ตรงหน้าก็ถูกลุมล้อมไปด้วยกลุ่มนักเรียนหญิง เธออยู่เกรดเดียวกับฉันแต่คนละห้อง และเป็นคนเดียวกับที่ต่อว่าฉันในคาบเรียนวิชาเคมีเมื่อวาน
ฟึ่บ!
“ร่มงี่เง่านี่เกะกะชะมัด!” หนึ่งในเพื่อนของเธอใช้มือปัดมือฉันอย่างจนทำให้ด้ามร่มในมือหลุดออก
ฉันเกลียดสายฝน แต่ก็ต้องถูกสายฝนกระหน่ำโปรยปรายลงใส่ตามร่างกาย
“ดูสภาพยัยนี่สิ น่าเกลียดชะมัด” หูได้ยินเสียงต่อว่า แต่ร่างกายและสภาพจิตใจไม่ได้รู้สึกอะไร นั่นเพราะความชิน “เฮ้! พูดด้วยก็มองหน้าสิ”
ได้ยินเสียงเร่งเร้าอย่างหาเรื่อง ฉันก็ได้แค่มอง ไม่เคยกลัว ไม่ได้รู้สึกกลัว เพราะฉันไม่ใช่คนอ่อนแอ เพียงแค่อยากตัดความน่ารำคาญเรื่องพวกนี้ออกไปจากชีวิตทั้งหมดก็แค่นั้น
“ดูสร้อยที่ยัยนี่ใส่สิ สวยจัง ฉันขอได้หรือเปล่า” เพียงสิ่งเดียวที่ฉันทนไม่ได้มากกว่าการถูกกลั่นแกล้งหรือมองฉันเป็นตัวประหลาด คือการที่คนเหล่านั้นพยายามพลัดพรากข้าวของที่ได้รับมาจากคนที่รัก
พลั่ก!
“อย่าแตะ!” ความรู้สึกเหล่านั้นทำฉันบันดาลโทสะ พลั้งมือผลักร่างของนักเรียนหญิงในชุดเสื้อกันฝน ที่พยายามทำท่าจะกระชากสร้อยคอของพ่อ จนเธอเซไปชนเข้ากลับกลุ่มเพื่อน การที่เป็นเช่นนั้น มันกำลังสร้างความไม่พอใจแกเธอและพรรคพวก
“นังบ้านี่...” หญิงสาวรูปร่างสูงเพรียว เจ้าของทรงผมซอยสั้นประบ่า ผิวสีน้ำผึ้งถลึงตาแสดงความไม่พอใจด้วยอาการฉุนขาด เธอพุ่งตัวหวือเข้าใส่ ใช้มือข้างหนึ่งผลักไหล่ ส่วนมืออีกข้างพยายามคว้ากระตุกสร้อยไปจากคอ
“บอกว่าอย่ามาแตะต้องของของฉันไงล่ะ!”
พลั่ก! ฟึ่บ!
อีกหนที่ฉันเป็นฝ่ายผละเธอออกจากตัว หากแต่นั่นก็ทำให้มือเรียวสวยของอีกฝ่ายกระตุกสร้อยอัญมณีเงินที่พ่อให้มาเมื่อวานหลุดกระจายตกไปบนพื้นด้วยเช่นกัน
เสียงหัวเราะคล้ายกับชอบใจดังรวนขึ้น ราวกับเป็นการสมน้ำหน้า ไม่ว่าเมื่อไหร่ ตอนไหน พวกเธอก็ยังมองฉันเป็นตัวตลก
“เสียใจด้วยนะคุณบราวน์ สร้อยสวยๆ ขาดเสียแล้ว ฮ่ะๆ...อะ” แต่ไม่นานนักหรอกเสียงหัวเราะโง่ๆ นั่นก็เงียบลง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเสียงกรีดร้องของความอลม่านวุ่นวาย
“อาจารย์คะ! อาจารย์คะ! งูเต็มสนามไปหมด!!!” ใบหน้าสวยๆ กับนัยน์เฉี่ยวที่มักมองคนอื่นต้อยต่ำเหมือนตัวประหลาดกำลังฉายแววความหวาดกลัว เมื่อบริเวณลานกว้างหน้าทางเข้าโรงเรียนเริ่มถูกทวงพื้นที่ด้วยอสรพิษน้อยใหญ่นับสิบตัว
พวกมันพากันเลื้อยเลาะไปบนพื้นถนน ผ่านจุดที่ยืนอยู่ ท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายลงมาหนักมากขึ้นจนรู้สึกเจ็บยามที่หยดน้ำตกกระทบบนผิวหนัง งูเงี้ยวเขี้ยวขอเหล่านั้นไม่ได้ต้องการทำร้ายใคร แต่เหมือนตั้งใจสั่งสอนให้มนุษย์รู้สึกหวาดกลัวเพียงเท่านั้น
ฉันได้ยินเสียงของพวกมันถาม
‘Sss…ไม่เป็นไรนะ...โบอา’
พวกมันทุกตัวที่เลื้อยผ่านเท้าฉันไปบ่งบอกถึงความเป็นมิตร
‘...ไม่เจ็บตรงไหนใช่ไหม....Sss…’
และพยายามปลอบปะโลมความรู้สึกที่เสียไปนานนับปี
‘...อย่าร้องไห้นะ...โบอา’ ฉันไม่เคยชอบพวกมันเลย ไม่ว่าจะตอนไหน เมื่อไหร่ แต่ว่า ในเวลาที่ฉันอยู่เพียงลำพัง ก็มีแค่สัตว์เลื้อยคลานคนละเผ่าพันธุ์เท่านั้นแหละที่พยายามพูดสื่อสารกับฉันอยู่ตลอดเวลา...
ฉันหลับตาลงเล็กน้อยและปล่อยให้สายฝนตกกระทบใส่เนื้อตัวเพื่อช่วยล้างความร้อนทางอารมณ์ให้หมดไป หูเวลานี้ได้ยินเพียงเสียงโวยวายของอาจารย์และนักเรียนเลวๆ สลับดังกับเสียงงู
แต่ไม่นานสายฝนแรงๆ ที่เคยตกกระทบร่างกายก็หยุดลง พานให้ต้องลืมตามองภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้า และได้พบเข้ากับร่างสูงของชายหนุ่มใบหน้าคุ้นตา เจ้าของนัยน์ตาสีประหลาดเหมือนอัญมณีตัดกับผมสีดำมะเดื่อ และมีบุคลิกต่างไปจากมนุษย์ปกติธรรมดา
“ฮะ...เฮนเลย์...” รอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้า แววตาอบอุ่นที่มองมา พร้อมกับร่มที่เขาถือไว้ในมือ
“เรียก..ว่าธอนสิ...โบอา...” ภาพของชายตรงหน้า สามารถทำให้ฉันรู้ได้ในทันทีว่า
เพราะเหตุใดสายฝนจึงไม่ตกลงมากระทบตัวของเรา...