‘Sss..ในคืนที่พระจันทร์ทอแสงทองอร่าม...เพียงแค่ปลดเปื้องอาภรณ์บนร่างกายออก...Sss ทุกอย่างในชีวิตของเธอจะเปลี่ยนไปตลอดกาล...’
“ปะ เปลี่ยนยังไง ฉันไม่เข้าใจ”
‘Ssss...อยากรู้ก็เตรียมนมสดให้เต็มถังไม้ใบใหญ่กับน้ำหวานจากเกสรดอกกุหลาบเอาไว้...Sss..มาหาฉันที่นี่ในคืนที่พระจันทร์ส่องแสง...’
คำตอบที่อสรพิษเบื้องหน้าโต้รับกลับมาดูไม่ค่อยตรงกับสิ่งที่อยากรู้เท่าไหร่ ดังนั้นฉันจึงอ้าปากที่จะถามออกไปเป็นหนที่สอง ทว่า ยังไม่ทันได้ถาม
“โบอา!” เสียงหวานใจดีแสนคุ้นเคยซึ่งดังขึ้นจากเบื้องหลังดันเรียกความสนใจจากสายตาซึ่งตอนแรกจดจ่ออยู่กับนัยน์ตาสีสวยของงูใหญ่ตรงหน้า ให้เหลียวมองไปยังต้นเสียงด้วยความสงสัยจนได้พบเข้ากับหญิงสาววัยกลางคนในชุดชาวบ้านธรรมดาสามัญชน
และเธอคือแม่ของฉันเอง
“ลูกมานั่งทำอะไรอยู่ที่นี่...” ด้วยยังไม่คลายความช็อกกับสิ่งที่ได้รับรู้และพบเจอ สิ่งที่ใช้ตอบคำถามของผู้เป็นแม่ได้ปลายนิ้วสั่นๆ ซึ่งชี้ไปยังต้นโอ๊คใหญ่จนท่านมองตามด้วยความสงสัย จากนั้นจึงเอ่ยถาม “ทำไมจ๊ะ ที่ต้นโอ๊คมันมีอะไร?”
น้ำเสียงของแม่ทำฉันตัดสินใจหันกลับไปมองยังต้นโอ๊คยักษ์เบื้องหน้าอีกครั้ง และพบว่าบางสิ่งบางยางที่เคยรัดเลื้อยจนเหมือนใช้ร่างกายกลืนกินลำต้นขนาดใหญ่ทั้งหมดบัดนี้มันได้อันตรธานหายไปแล้วราวกับเกิดเหตุอัศจรรย์ตรงหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าทั้งที่ไม่ใช่ความฝัน
“เฮ้! แม่เด็กดื้อ คิดจะเล่นอะไรพิเรนๆ กับแม่อยู่หรือไง”
กลายเป็นว่าท่าทางที่แสดงออกไปเป็นเหมือนมุกตลกขำขันไปเสียอย่างนั้น
“มาเร็วลูก หยิบกระเป๋าแล้วออกไปรับคุณพ่อกัน”
“คุณพ่อเหรอคะ?” ฉันถามแบบไม่เต็มเสียงสักเท่าไหร่
“จ๊ะ คุณพ่อกำลังกลับจากในเมือง มาเร็วออกไปรับคุณพ่อด้วยกัน” แม่ไม่ได้แค่เชิญชวนด้วยปากและเสียง ท่านยื่นมือส่งมาหาฉันที่นั่งจมอยู่บนพื้นหญ้า แววตาและรอยยิ้มใจดีที่ไม่เคยมองฉันเป็นตัวประหลาดเหมือนอย่างวัยรุ่นคนอื่นๆ ของแม่มักช่วยทำให้ความรู้สึกกลับมาเป็นปกติได้อยู่เสมอๆ
แม้แต่ในครั้งนี้ที่ต้องพบเจอเรื่องน่าตกใจ...
ฉันเคยบอกหรือเปล่าว่า...
คุณพ่อฉันท่านเป็นนายพราน เป็นคนตัดไม้และชอบหาของป่าเข้าไปขายในเมือง
เวลาคุณพ่อเข้าเมืองฉันจึงมักต้องอยู่กับแม่ที่บ้านพักกลางป่าเพียงสองต่อสอง กว่าคุณพ่อจะกลับมา ก็ใช้เวลาเกือบ 3- 5 วัน ทุกครั้งที่พ่อกลับบ้าน บนโต๊ะอาหารมื้อค่ำก็มักจะเต็มไปด้วยอาหารมากหน้าหลายตาฝีมือของแม่ เสียงหัวเราะ และคำพูดบ่งบอกความคิดถึง
“โบอา พ่อซื้อกำลังนี่มาให้ลูกด้วยนะ…” แล้วก็รวมไปถึงของฝากแปลกๆ ที่ฉันไม่เคยมีโอกาสได้เข้าไปเดินเลือกซื้อด้วยตัวเองในมือ
“ว้าว มันสวยมากเลยค่ะคุณพ่อ ขอบคุณนะคะ” ฉันโผเข้าสวมกอดพ่อผู้เป็นที่รักเมื่อเครื่องประดับคล้ายอัญมณีสีเงินถูกพ่อสวมคล้องคอ
“ผมสีแดงของลูก พอมีเครื่องประดับชิ้นนี้สวมอยู่ที่คอแล้ว ยิ่งดูสวยกว่าสีผมของคนปกติอีกนะเนี่ย” พ่อเอ่ยชมอีกครั้งขณะผละตัวออกไป ฉันเข้าใจว่านั่นคือคำชม แต่มันคงเป็นคำชทซึ่งฉันไม่ค่อยชอบมันเท่าไหร่
“เป็นอะไรไปคนดี ทำไมทำหน้าบูดแบบนั้นล่ะ” ซึ่งแม่ก็คงสังเกตได้จากสีหน้าจึงได้ทักขึ้น
“หนูไม่ชอบสีผมตัวเองที่เป็นแบบนี้เลย...” คำพูดประโยคดังกล่าวทำเอาทั้งผู้เป็นแม่และพ่อหันมองหน้ากัน ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังยิ้มยามที่ต้องมองหน้าฉัน
“มันคือสัญลักษณ์ที่พระเจ้าประทานลงมาให้ลูกยังไงล่ะโบอา พระเจ้าทรง…” ส่วนประโยคนี้คือถ้อยคำที่ฉันมักได้ยินบ่อยๆจนสามารถพูดตามคำพูดของแม่ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
“แต้มสีแดงไว้ที่เรือนผม เพื่อให้รู้ว่าลูกคือบุตรของพระเจ้า....หนูรู้แล้วค่ะแม่...” ซึ่งถ้าหากคนในเมืองชื่นชอบความผิดแปลกบนร่างกายฉันอย่างที่พระเจ้าชอบมันก็คงจะดี...
“ไม่เอาน่าโบอา ลูกก็รู้นี่ว่าพระเจ้าท่านเป็นห่วงลูกมากขนาดไหน ถึงได้ส่งผู้คุ้มครองลงอยู่ข้างกายลูกตั้งแต่เกิด” แต่ว่าประโยคนี้ของพ่อกลับเป็นสิ่งที่ฉันไม่เคยฟังมาก่อน “ลูกรู้ใช่ไหมว่าในวันที่ลูกเกิด ลูกมีพี่ชายด้วย...”
อ่า... ไม่ใช่ มันก็แค่เรื่องเดิมๆ ที่ฉันเคยฟังจนเบื่อแล้วต่างหาก
“มันเป็นเรื่องน่ายินดีที่ลูกเกิดลืมตาดูโลกพร้อมกับสัตว์เลือดเย็นตัวนั้นได้โดยไม่ถูกทำร้าย...”
“เขาชื่อไพธอนใช่ไหมคะคุณ” ทั้งที่คิดว่าจะไม่สนใจต่อคำพูดที่ได้ยินจนเบื่อแต่มันก็อดสะดุ้งเพราะชื่อซึ่งหลุดจากปากของผู้เป็นแม่ไม่ได้ “งูตัวเล็กสีดำที่เกิดพร้อมกับลูกของเรา...”
“มะ...แม่กับพ่อรู้จักไพธอนด้วยเหรอคะ?” ฉันถามแทรกขึ้นอย่างเสียมารยาทด้วยความแปลกใจและอดคิดไม่ได้ว่าอาการกับความรู้สึกเหล่านี้คงไม่หมดไปจากความคิดง่ายๆ หากพวกเขาไม่หยุดพูดถึงเรื่องของฉันและงูที่เกิดออกมาพร้อมกัน
“จ๊ะ” และนี่คงเป็นคำตอบของสิ่งที่สงสัย “ชาวบ้านเขาบอกกันว่างูตัวเล็กตัวนั้นเป็นงูเหลือม คุณพ่อของลูกเลยตั้งชื่อเขาว่าไพธอน ส่วนแม่ก็ตั้งชื่อหนูว่าโบอา”