“ถวายพระพรฝ่าบาท ขอจงทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นหมื่นปี” ทุกคนในห้องยอบกายลงจนแทบติดพื้น มีเพียงคนเจ็บเท่านั้นที่ยังนั่งอยู่บนเตียง
“พวกเจ้าลุกขึ้น อี้เอ๋อร์ เป็นอย่างไรบ้างลูกพ่อ” สองขาแกร่งเร่งรีบเข้ามาดูบุตรสาวคนโตอย่างเป็นห่วง
“ดีขึ้นแล้วเพคะเสด็จพ่อ” หญิงสาวส่งยิ้มเอาใจไปให้ อย่างน้อยตราบใดที่ตนยังต้องวนเวียนอยู่ในวังหลวง การพึ่งพาอำนาจของพระบิดาคือสิ่งจำเป็น
“เจ้าก็มาเยี่ยมอี้เอ๋อร์ด้วยอย่างนั้นหรือฮองเฮา” เว่ยตงหยางหันไปกล่าวด้วยน้ำเสียงปกติ แต่ดวงตากลับยังคงสำรวจใบหน้าซีดเซียวไม่หันไปมองคู่สนทนา
“เพคะเสด็จพี่” ซ่งเนี่ยเจินรับคำพลางก้มหน้าซ่อนสายตาตัดพ้อ
“ข่าวไปถึงเจ้าเร็วยิ่งนัก ขนาดข้ารีบวางราชกิจทิ้งไว้ยังมาช้ากว่าเจ้าเสียได้” คำพูดนั้นทำให้ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ ความหมายที่สื่อว่าฮองเฮาวางคนไว้จับตาดูตำหนักขององค์หญิงใหญ่ไม่ว่ามองเช่นไรก็ดูไม่ดีแม้แต่น้อย
“เป็นลูกที่ส่งนางกำนัลไปแจ้งยังเสด็จพ่อ เสด็จแม่ และฮองเฮาเองเพคะ อย่างไรเสียลูกก็ไม่อยากเป็นผู้ที่ทำให้ทุกพระองค์ต้องกังวล” เสียงหวานแหบแห้งออกรับแทนทำเอาผู้ใหญ่ทั้งสองรู้สึกงุนงงไม่น้อย แต่ไหนแต่ไรองค์หญิงใหญ่ไม่เคยถูกกับฮองเฮา เจอหน้ากันทีไรต้องปะทะคารมกันเกือบทุกครั้ง
“อี้เอ๋อร์ช่างรู้ความ สีหน้าเจ้าไม่ค่อยดีแล้ว พักผ่อนให้มากเถิด เช่นนั้นพรุ่งนี้พ่อจะมาเยี่ยมเจ้าใหม่” เห็นบุตรีคนโตเริ่มมีสีหน้าไม่สู้ดีฮ่องเต้แห่งแคว้นเว่ยจึงไม่อยากรบกวนเวลาพัก
“ข้าเองก็ไม่อยู่รบกวนเจ้าแล้ว ดูแลรักษาตัวให้มากนะ” ซ่งฮองเฮาเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
“ขอบพระทัยทั้งสองพระองค์มากเพคะที่ทรงห่วงใย ลูกเสียมารยาทแล้วที่ไม่ได้ไปส่งด้วยตนเอง”
เมื่อกล่าวจบทั้งสองก็เดินเคียงข้างกันออกจากตำหนักไป ทิ้งคนป่วยให้ถอนหายใจรอบที่เท่าไหร่ก็ลืมนับไปแล้ว เพียงแค่นางฟื้นขึ้นมาวันแรกก็แทบไม่ได้หยุดพักสมอง แล้วแบบนี้ชีวิตที่นางวาดหวังมันจะเป็นจริงได้หรือไม่ นี่ขนาดยังไม่เจอเหล่าบรรดาพี่น้องร่วมบิดาอีก เพียงแค่คิดนางก็อยากนอนหลับไปยาวๆ อีกหลายวันเสียแล้ว
เพล้ง!
ทางด้านตำหนักที่ประทับของฮองเฮายามนี้แก้วชาใบโปรดถูกขว้างกระเด็นลงพื้นจนแตกละเอียดด้วยฝีมือเจ้าของ ใบหน้าสวยหวานถมึงทึงอย่างมีโทสะ
“ฮองเฮาเพคะ โปรดระงับอารมณ์ก่อนเถิด” นางกำนัลคนสนิทเอ่ยเตือนด้วยความหวังดี น้อยครั้งนักที่จะเห็นผู้เป็นนายแสดงอารม์ชัดเจนถึงเพียงนี้ นอกเสียจากเป็นเรื่องของหวงกุ้ยเฟย
“เสด็จพี่กล้าต่อว่าข้าต่อหน้านางกำนัลในตำหนักองค์หญิงใหญ่! อีกทั้งนังเด็กนั่นกล้าเสียดสีข้าด้วยการยกมารดาขึ้นข่ม เจ้าจะให้ข้าระงับอารมณ์เยี่ยงไร!!” มือขาวบางกำชายอาภรณ์แน่นจนยับย่น อกอิ่มกระเพื่อมขึ้นลงตามแรงหายใจที่กรุ่นโกรธจนล้นปรี่
คนอื่นอาจฟังความนัยของประโยคที่เว่ยซินอี้ออกหน้าแทนซ่งฮองเฮาไม่ออกแต่เจ้าตัวกลับฟังออกได้ในทันที องค์หญิงใหญ่จงใจเอ่ยชื่อมารดาของตนขึ้นก่อนนาง ทั้งที่ตามฐานะแล้วการกล่าวถึงย่อมควรเอ่ยถึงนางผู้เป็นฮองเฮาต่อจากฮ่องเต้จึงเหมาะสม
“น่าแปลกที่องค์หญิงใหญ่ดูเรียบร้อยมากกว่าปกตินะเพคะ” เป้าหมายที่ทรงไปยังตำหนักนั้นเนื่องจากรู้ดีว่านิสัยเอาแต่ใจขององค์หญิงใหญ่กับความไม่ชอบหน้าฮองเฮาจะทำให้อีกฝ่ายอาละวาดออกมา เพราะคงคิดไปว่าที่ตนต้องบาดเจ็บเช่นนี้จะเป็นฝีมือใครไม่ได้นอกจากคนที่ตนเกลียด
“ใช่ การต่อสู้ด้วยวาจาเช่นนี้ไม่สมควรออกมาจากปากนังเด็กนั่นเลยแม้แต่น้อย” ยิ่งการแสดงท่าทางออกรับแทนทำให้ป่านนี้คงมีข่าวลือใหม่เกิดขึ้นในวังหลังแล้วกระมัง
“หม่อมฉันจะจัดการเรื่องข่าวลือเองเพคะ” นางกำนัลผู้แสนรู้ใจเอ่ยปากทันทีที่มองเห็นประกายบางอย่างในดวงตาของเจ้านาย
“สั่งคนของเราให้ระวังตัว วันนี้ฝ่าบาทมองออกแล้วว่ามีหนอนอยู่ในตำหนักนั้น ต่อไปคงไม่ง่ายที่จะลงมือทำสิ่งใด” มือบางหยิบถ้วยชาใบใหม่ขึ้นมาจิบสงบสติอารมณ์พลางสั่งการเพื่อแผนการต่อไป
“เพคะ” นางกำนัลอาวุโสรับคำก่อนจะถอยออกไปจัดการตามคำสั่ง
ร่างระหงในชุดสีแดงเพลิงครุ่นคิดถึงท่าทางของเด็กสาวในวันนี้ ใช่ว่านี่เป็นการปะทะกันครั้งแรกของพวกนางเสียเมื่อไหร่กัน แต่เหตุใดกลับรู้สึกว่าคนตรงหน้าหาใช่มะพลับนิ่มที่พร้อมจะโดนบีบให้แหลกคามืออีกต่อไปไม่ หมากที่เคยจับจูงอย่างว่าง่ายแปรเปลี่ยนเป็นหมากที่ไม่สามารถคาดเดาได้เสียแล้ว ต่อไปนี้นางคงต้องคอยจับตาดูอีกฝ่ายเอาไว้
จวนตระกูลหลิว
“นายท่าน ยามนี้มีข่าวจากในวังว่าองค์หญิงใหญ่ทรงฟื้นขึ้นมาแล้วขอรับ” เงาสีดำร่างหนึ่งปรากฏขึ้นในห้องหนังสือที่ผู้เป็นนายนั่งอยู่ก่อนจะรีบรายงาน
“อาการของนางเป็นเช่นไรบ้าง” ดวงตาคมทอประกายยินดีเพียงชั่วครู่ก่อนจะกลับมาเป็นปกติ
“เห็นท่านหมอหลวงกล่าวว่าบาดแผลภายนอกไม่มีอันใดน่าเป็นห่วง ส่วนบาดแผลภายในตรวจดูแล้วก็ปกติดีขอรับ ยามนี้คงเหลือเพียงการบำรุงร่างกายเท่านั้น” ซานเฉินกล่าวไปตามที่ตนแอบฟังมา
“อืม เจ้าไปเฝ้าดูแลนางให้ดี หากมีใครปองร้ายนางให้สังหารทิ้งทันที” เสียงทุ้มเอ่ยจริงจังทำให้ลูกน้องคนสนิทได้แต่รับคำโดยกลืนความสงสัยลงท้องไปจนหมด
“ขอรับ” ร่างเงาสีดำหายไปจากห้องทันทีที่รับคำจบ เหลือทิ้งไว้เพียงเจ้าของเรือนที่กำลังนั่งครุ่นคิดบางสิ่งบางอย่าง
บุรุษผู้นี้คือหลิวอู๋ซวน บุตรชายคนเดียวของตระกูลผู้ได้ชื่อว่าเป็นอัจฉริยะซึ่งสอบขุนนางขั้นซิ่วไฉผ่านในวัยเพียง 16 หนาว ทั้งยังได้ตำแหน่งจอหงวนในวัยเพียง 18 หนาว อีกด้วย ในยามนั้นตระกูลหลิวกำลังตกต่ำเนื่องจากผู้นำคนก่อนเกิดเจ็บป่วยจนต้องลาออกจากตำแหน่งราชครู แต่บุตรชายกลับแสดงความสามารถจนสืบทอดตำแหน่งต่อจากบิดาได้อย่างไม่มีข้อครหา หลายตระกูลพยายามเกี่ยวดองผ่านการดูตัวซึ่งก็ล้มเหลว หลิวอู๋ซวนผู้นี้ยังคงไม่แต่งงานจวบจนอายุ 25 หนาวแล้ว
ถึงอย่างนั้นเขาก็เป็นที่เฝ้าฝันถึงของสตรีน้อยใหญ่มากมายรวมไปถึงองค์หญิงใหญ่แห่งแคว้นเว่ยที่ตามเกี้ยวเขาอย่างออกหน้าออกตา แม้ชายหนุ่มจะปฏิเสธตรงๆ ไปแล้วหลายครั้งแต่เหมือนอีกฝ่ายจะไม่ตัดใจโดยง่าย เขาเองจึงขีดเส้นชัดเจนว่าไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับสตรีนางนี้ไม่ว่าจะกรณีใด จนมีข่าวลือว่าองค์หญิงใหญ่ไร้ยางอายตามตอแยบุรุษที่ไม่ชายตามองตน ดีแต่เอาฐานะกดข่มผู้อื่น ลุกลามไปถึงการตำหนิหวงกุ้ยเฟยว่าสั่งสอนบุตรสาวได้ไม่ดีพอไม่รู้จักการเป็นกุลสตรี
เรื่องนี้ถ้ามองให้ลึกก็รู้ว่าใครที่ฉวยโอกาสสร้างเรื่องขึ้นมาเพื่อใช้โจมตีฝั่งพระสนมหวงกุ้ยเฟย เรื่องราวคงวุ่นวายจากการแย่งชิงตำแหน่งไท่จื่อซึ่งกำลังโดนจับตามอง ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาก็คงปล่อยผ่านเนื่องจากไม่ต้องการเข้าสู่มรสุมวังวนอำนาจที่เต็มไปด้วยเลือดและซากศพ เนื่องจากตระกูลหลิวหาใช่ตระกูลใหญ่ บิดามีมารดาเป็นภรรยาเพียงหนึ่งเดียว การเข้าร่วมการต่อสู้ของราชวงศ์จะทำให้คนตระกูลหลิวลำบากกว่าที่คิด แต่ในเวลานี้ทุกอย่างล้วนเปลี่ยนไปแล้ว เปลี่ยนไปตั้งแต่งานล่าสัตว์ที่หญิงสาวได้รับบาดเจ็บ
“องค์หญิงใหญ่ จากนี้ไปจะเป็นกระหม่อมที่บังอาจตามเกี้ยวพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”