เมื่อวานเว่ยซินอี้ต้องรับแขกผู้มาเยี่ยมเยือนจนกระทั่งหลับไปเพราะฤทธิ์ยา วันนี้จึงกะว่าจะได้นอนพักผ่อนอย่างเงียบสงบ แต่ก็ได้แค่คิด…
“พี่หญิงใหญ่อาการดีขึ้นมากแล้วสินะเพคะ น้องเป็นห่วงพระองค์ยิ่งนัก” เสียงหวานใสเอ่ยทักทายพร้อมรอยยิ้ม
“ขอบใจน้องหญิงรองที่เป็นห่วง” คนงามกวาดตามองไปยังแขกที่มาพร้อมกันราวกับนัดหมาย
“น้องเองก็เป็นห่วงพี่หญิงใหญ่เช่นกันนะเพคะ” องค์หญิงสามเว่ยซินหลินรีบออกตัวเช่นกัน
“ข้าเองก็เป็นห่วงพี่หญิงใหญ่พ่ะย่ะค่ะ/ข้าเองก็เป็นห่วงพี่หญิงใหญ่พ่ะย่ะค่ะ” องค์ชายสี่ องค์ชายห้า ต่างพูดขึ้นมาพร้อมกัน
“พี่หญิงใหญ่ยังเจ็บตรงไหนรึไม่พ่ะย่ะค่ะ” องค์ชายสามเว่ยซีเทียนถามอย่างห่วงใย
“เจ้ามีอาการบาดเจ็บภายในรึเปล่า พี่ควรตามหมอหลวงมาดูอาการอีกครั้งดีหรือไม่” องค์ชายรองผู้เป็นพี่ชายร่วมมารดาก็มาหาน้องสาวแต่เช้าเช่นกัน เนื่องจากเมื่อวานติดภารกิจด่วนจึงไม่ทันได้มาเยี่ยม
“หมอเพิ่งจะมาตรวจไปเมื่อวาน น้องรองเจ้าก็กังวลเกินไปแล้ว” และคนสุดท้ายจะเป็นใครไปไม่ได้เลยนอกเสียจากองค์ชายใหญ่เว่ยซีฮัน บุตรชายเพียงคนเดียวของซ่งฮองเฮา
‘อ่า….นี่เป็นวันรวมญาติสินะ’
องค์หญิงใหญ่ของแคว้นมองภาพนกกระจอกส่งเสียงวุ่นวายแล้วอยากจะขับไล่คนเหล่านี้ออกไปให้หมด แต่หากทำเช่นนั้นก็คงจะมีปัญหาตามมาอีก เสด็จพ่อที่เป็นฮ่องเต้ชอบการเล่นงิ้วครอบครัวสุขสันต์ พี่น้องรักใคร่ปรองดองกันแม้มือจะถือมีดพร้อมแทงข้างหลังก็ตามทีราวกับจะสื่อความหมายว่าถ้าอยากจะฆ่าก็ต้องทำให้แนบเนียนอย่าให้โดนจับได้ ซึ่งพระสนมทั้งหลายคงเสี้ยมสอนบุตรของตนให้ทันเล่ห์เหลี่ยมของคนในวังไม่มากก็น้อย คงมีเพียงนางในชีวิตก่อนที่จะมีความทรงจำกลับมาเท่านั้นแหละที่เชื่อว่าครอบครัวของตนรักใคร่กลมเกลียวกันจริงๆ
“ไม่ต้องตามหมอหรอกเพคะพี่ชายรอง น้องได้รับการตรวจอย่างละเอียดแล้ว ร่างกายไม่เจ็บป่วยตรงไหนอีกเพคะ ขอบคุณทุกคนมากที่เป็นห่วง” เว่ยซินอี้ยิ้มแย้มเหมือนยามปกติ
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว พี่นำของมาเยี่ยมไข้เจ้าด้วย” องค์ชายรองเว่ยซีเหวินสั่งคนให้ขนสมุนไพรบำรุงร่างกายเข้ามาหลายหีบ
“พี่เองก็เตรียมของมาเยี่ยมเจ้า” องค์ชายใหญ่เองก็ไม่น้อยหน้า ข้ารับใช้คนสนิทต่างขนอาหารบำรุงเข้ามาไม่น้อยเช่นกัน
“ข้าเองก็เตรียมมาพ่ะย่ะค่ะ/น้องเองก็เตรียมมาเพคะ” องค์หญิงองค์ชายทั้งหลายรีบให้คนขนของของตนมากองไว้ด้วย กลายเป็นว่าบัดนี้ภายในห้องผู้ป่วยกลับแออัดไปด้วยสิ่งของมากมาย
“น้ำใจของทุกคนข้าขอรับไว้ด้วยใจ พวกเจ้าเอาไปเก็บให้หมด” ในเมื่อคนเขาอยากให้ นางก็จะรับไว้ ส่วนจะใช้รึไม่ก็คงต้องตรวจสอบพิษดูก่อนล่ะนะ
“แล้ววันนี้พี่ชายใหญ่กับพี่ชายรองไม่ต้องช่วยเสด็จพ่อสะสางราชกิจหรือเพคะ” องค์หญิงรองเว่ยซินเหยียนเอ่ยถามขึ้นมาพร้อมสีหน้าสงสัย ยามปกติหาได้ยากนักที่พี่ชายทั้งสองจะมีเวลามาเจอน้องๆ แบบพร้อมหน้าพร้อมตาเช่นนี้
“วันนี้เสด็จพ่อให้พวกพี่พักผ่อนได้หนึ่งวันน่ะ พรุ่งนี้น้องสามเองก็ต้องเริ่มเข้าไปช่วยงานแล้วเหมือนกัน” ใบหน้าหล่อเหลาของผู้เป็นพี่ชายใหญ่ยิ้มบางออกมา เพราะตามพระบัญชาบุตรชายคนใดที่อายุครบ 16 หนาว จะได้รับมอบหมายให้เริ่มเข้าไปช่วยดูแลราชกิจ ตัวเขาและน้องรองอายุได้ 19 หนาว ส่วนน้องสามอายุครบ 16 หนาวแล้ว น้องสี่อายุ 15 หนาว และน้องห้าอายุ 14 หนาว นับว่าบิดาของเขามีบุตรไล่ๆ กันเลยทีเดียว
“ดีแล้วเพคะ อย่างน้อยเสด็จพี่ทั้งสองจะได้มีเวลาพักบ้าง ราชกิจที่เสด็จพ่อมอบหมายมามันมากมายจนไม่มีเวลามาเจอน้องๆ แล้ว ระวังจะโดนลืมนะเพคะ” องค์หญิงสามเอ่ยเย้าบรรดาพี่ชายอย่างน่ารัก เพราะอายุเพียง 12 หนาวเท่านั้นจึงทำให้บรรยากาศระหว่างพี่น้องดูสนิทสนมมากยิ่งขึ้น
“น้องหญิงสามพูดแบบนั้นพี่ก็เสียใจแย่ วันนี้อุตส่าห์ซื้อขนมมาฝากด้วยสิ หรือจะมีคนไม่อยากกิน…”
“กินสิเพคะ! โถ่ พี่ชายรองของน้องใจดีที่สุดอยู่แล้ว”
เสียงหัวเราะครื้นเครงดังไปทั่วห้อง เว่ยซินอี้มองภาพนั้นก่อนจะกดมุมปากทั้งสองข้างให้ลึกขึ้นเพื่อรับกับบรรยากาศครอบครัว จะดีแค่ไหนกันหากนี่คือใจจริงของทุกคน แม้จะเป็นพี่น้องต่างมารดาแต่พวกนางล้วนอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เกิด เหตุใดบัลลังก์เลือดนั่นถึงตกมาอยู่ที่ครอบครัวนี้กัน ถ้าเป็นแค่อ๋องต่างเมืองการต่อสู้ในหมู่พี่น้องก็คงไม่หนักหนาเท่าไหร่นัก
“น้องหญิงใหญ่ เจ้าเหนื่อยมากแล้วสินะ สีหน้าไม่ค่อยดีเลย” เว่ยซีเหวินมองน้องสาวแท้ๆ ด้วยความกังวล เขาคอยสังเกตอาการของนางอยู่ตลอดด้วยกลัวว่าร่างกายจะยังไม่หายดี
“ในเมื่อกินขนมเสร็จแล้วพวกเราก็กลับกันก่อนดีกว่า พี่หญิงใหญ่ของพวกเจ้ายังต้องพักผ่อนให้มาก เอาไว้วันหน้าค่อยมาเยี่ยมใหม่ก็ได้” เว่ยซีฮันพี่ชายคนโตของตระกูลเอ่ยบอกน้องๆ ทั้งหลายให้แยกย้ายกันได้แล้ว
“เช่นนั้นน้องจะมาเยี่ยมพี่หญิงใหญ่วันหลังนะเพคะ ขอให้พี่หญิงใหญ่หายโดยเร็ว” องค์หญิงรองเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าห่วงใย
“ข้าก็ขอให้พี่หญิงใหญ่สุขภาพแข็งแรงไวๆ พ่ะย่ะค่ะ” องค์ชายสี่เว่ยซีจวินบอกด้วยท่าทางแข็งขัน
“พวกข้าก็ขอให้พี่หญิงใหญ่แข็งแรงพ่ะย่ะค่ะ/เพคะ” องค์ชายห้าและองค์หญิงสามที่มีมารดาเดียวกันรีบกล่าวขึ้น
“ถ้ายังเจ็บตรงไหนต้องรีบตามหมอนะพ่ะย่ะค่ะ” องค์ชายสามมองพี่สาวคนโตไม่ละสายตา
“พี่เองก็ขอตัวก่อน พักผ่อนให้มากๆ รู้รึไม่ โอกาสหน้าพี่จะแวะมาเยี่ยมเจ้าใหม่” องค์ชายใหญ่กล่าวปิดท้ายก่อนจะเดินนำน้องๆ ที่เหลือออกไป ภายในห้องจึงเหลือเพียงสองพี่น้องร่วมมารดาเท่านั้น
“เหนื่อยรึไม่” มือหนาเอื้อมไปลูบศีรษะทุยของน้องสาวอย่างรักใคร่ นางคือสมบัติล้ำค่าที่พระมารดาสอนสั่งมาเสมอว่าต้องปกป้องน้องเอาไว้อย่างดี
“ไม่เพคะ เพียงแต่มิคิดว่าพวกเขาจะพากันมาอย่างพร้อมเพรียงเช่นนี้” แม้ในใจจะตอบไปแล้วว่าเหนื่อยสุดๆ แต่ปากก็ยังคงตอบอีกอย่างเพื่อไม่ให้ดูน่าสงสัย เพราะนางคนก่อนรักพี่น้องมากและไม่เคยสงสัยในความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวเลยสักนิด
“คงเพราะคนป่วยคือเจ้า” ในบรรดาพี่น้องทั้งหมด น้องสาวของเขาคือคนที่เอาใจใส่พี่น้องด้วยใจจริง แม้จะดื้อรั้นและเอาแต่ใจบ้างบางครั้งแต่ก็ยังมอบไมตรีให้พี่น้องทุกคนเสมอ แม้สิ่งที่ได้รับมาจะไม่มีความจริงใจปะปนมาด้วยก็ตามที ถึงอย่างนั้นในตอนนี้ก็ยังไม่สามารถตัดสินได้ว่าใครอยู่ฝ่ายไหนบ้าง จนกว่าตำแหน่งไท่จื่อจะถูกแต่งตั้งขึ้น
“เสด็จพี่…พระองค์เหนื่อยรึไม่เพคะ” หญิงสาวสบมองดวงตาคมของพี่ชายอย่างสื่อความหมาย และนั่นทำให้องค์ชายรองตกใจไม่น้อย
“อี้เอ๋อร์…” ตอนแรกเขาไม่ทันได้สังเกตว่าบรรยากาศรอบตัวของน้องสาวดูแปร่งแปลกไปจากเดิม แต่เมื่อมองสีหน้าและแววตานั่นมันทำให้เขารู้สึกตัวในทันที
“น้องเติบโตขึ้นแล้วเพคะ ต่อไปนี้เสด็จพี่มิต้องห่วงหน้าพะวงหลังอีกต่อไปแล้ว” เว่ยซินอี้มอบรอยยิ้มจากใจให้กับพี่ชาย นางรู้ว่าเขารักและเป็นห่วงนางมากเพียงใด ถึงนางจะต้องการใช้ชีวิตอย่างสงบสุขแต่ก็ใช่ว่าจะยินยอมให้ใครมาทำร้ายฝ่ายเดียวง่ายๆ ขอเพียงแค่ไม่มายุ่มย่ามกับนางก็พอ