“ตื่นมาครานี้เจ้าดูเติบโตขึ้นมาก” หวงกุ้ยเฟยมองบุตรสาวด้วยความสนใจ นางเลี้ยงบุตรทั้งสองมาเองกับมือมีหรือที่การเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยจะสามารถหลุดลอดไปจากสายตาได้
“การที่ลูกได้เหยียบย่างไปเยือนปรโลกมาแล้วครั้งหนึ่งมันทำให้ลูกเข้าใจแล้วว่าสิ่งใดในโลกล้วนแต่ว่างเปล่าเพคะ มีเพียงความสงบเท่านั้นที่เป็นความสุขของชีวิตอย่างแท้จริง” ป่วยการที่จะปิดบังพระมารดา คนตรงหน้าเฉลียวฉลาดและช่างสังเกตเกินไป ยิ่งโกหกก็มีแต่จะน่าสงสัยมากขึ้นเท่านั้น
“พูดราวกับผู้ออกบวช เจ้าเป็นถึงองค์หญิงใหญ่แห่งแคว้นเว่ย แค่ฐานะของเจ้าก็หาความสงบได้ยากยิ่งแล้ว” มือขาวผ่องเคาะหน้าผากมนด้วยความหมั่นเขี้ยว แม้ในใจจะรู้สึกดีที่บุตรสาวซึ่งเคยจมปลักอยู่กับภาพมายาเริ่มคิดได้เสียที
“นั่นสิเพคะ” เว่ยซินอี้ทอดถอนใจอย่างเหนื่อยหน่าย นางรึก็อุตส่าห์ตัดสินใจว่าจะใช้ชีวิตใหม่นี้อย่างเงียบสงบ อยู่เงียบๆ ไม่สุงสิงกับผู้ใด ไม่เหยียบย่างไปยังเรื่องวุ่นวายทั้งหลายทั้งปวง แต่กลับลืมไปเสียได้ว่าแค่ฐานะของนางก็หาความสงบที่ว่านั่นยากเย็นแสนเข็น
“หึหึ อย่าทำหน้าเบื่อเช่นนั้น พักผ่อนให้มากแล้วแม่จะมาเยี่ยมเจ้าใหม่” สตรีที่เป็นรองเพียงผู้ครองแคว้นยกยิ้มขำ
“ทรงรักษาพระวรกายด้วยนะเพคะ”
สองแม่ลูกร่ำลากันเล็กน้อยก่อนที่สวีโม่โฉวผู้เป็นมารดาจะเดินออกจากตำหนักไป
“เจ้าคิดเห็นเช่นไร” เสียงหวานเอ่ยถามนางกำนัลอาวุโสที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ก่อนถวายตัวเข้าวัง
“องค์หญิงใหญ่ทรงเปลี่ยนไปมากเพคะ สุขุม เงียบสงบ ดูราวกับคนที่ผ่านชีวิตมามาก ถ้าเป็นแต่ก่อนเมื่อตื่นขึ้นมาคงได้ร้องไห้โวยวายหาตัวผู้กระทำผิดก่อนสิ่งใดเพคะ” ทันทีที่กลับมาถึงตำหนักของตนผู้เป็นนายก็ไล่สาวใช้ที่เหลือออกไปหมดแล้วถามความเห็นอย่างครุ่นคิด ซึ่งนางเองก็ตอบไปตามตรงเช่นกัน
“สมแล้วที่เจ้าดูแลนางมาตั้งแต่เกิด นิสัยคนเราจะเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนั้นเลยหรือ” แม้ท่าทางภายนอกจะดูเรียบร้อยขึ้นเล็กน้อย แต่บรรยากาศรอบตัวมันทำให้รู้สึกแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง
“พระองค์ทรงคิดว่า…” คำว่าผีสิงถูกกลืนลงคอด้วยไม่กล้าเอ่ยวาจาจาบจ้วงออกมา
“ไม่ใช่หรอก ไม่มีทางที่อี้เอ๋อร์จะโดนสิงหรือมนต์ดำเป็นแน่ เจ้าก็น่าจะจำเรื่องนั้นได้” คิ้วบางขมวดอย่างคิดไม่ตก อย่างไรเสียอีกฝ่ายก็คือลูกสาวที่นางเฝ้าเลี้ยงมา การเปลี่ยนไปอย่างกระทันหันเช่นนี้ย่อมสร้างความไม่สบายใจอยู่บ้าง
“เพคะ หม่อมฉันจำได้”
ย้อนกลับไปครั้งที่หวงกุ้ยเฟยยังเป็นเพียงพระชายา บุตรสาวคนแรกของอ๋องที่คุมหัวเมืองทางใต้ได้ถือกำเนิดขึ้น ในวันนั้นท้องฟ้ามีปรากฏการณ์แสงสีรุ้งล้อมรอบดวงอาทิตย์ จากนั้นก็มีนักพรตผู้หนึ่งมาขอเข้าเฝ้าฉีอ๋อง ก่อนจะกราบทูลว่าท่านหญิงน้อยที่ถือกำเนิดจะประสบพบเคราะห์หนักหนึ่งครั้ง ก่อนที่จิตวิญญาณอันแท้จริงจะถือกำเนิด อีกทั้งนางยังได้รับการคุ้มครองจากเทพเซียนจึงจะรอดพ้นจากมนต์ดำภูติผีปีศาจทุกอย่างบนโลกใบนี้อีกด้วย เรื่องนี้มีเพียงฉีอ๋องและพระชายารองเท่านั้นที่ทราบ คนภายนอกได้รับข่าวเพียงว่าท่านหญิงน้อยถือกำเนิดมามีโชคดี
“หมายความว่าการตกม้าขององค์หญิงใหญ่คือเคราะห์หนักที่นักพรตผู้นั้นหมายถึงหรือเพคะ” หลัวมามาถามขึ้นเมื่อคิดบางสิ่งได้
“ข้าก็คิดเช่นนั้นและที่อี้เอ๋อร์ดูราวกับเติบใหญ่เพียงข้ามวันเช่นนี้คงเพราะจิตวิญญาณอันแท้จริงซึ่งนักพรตเคยเอ่ยถึงได้ตื่นขึ้นมาแล้วกระมัง คราแรกข้ายังคิดว่าเป็นเรื่องเหลวไหลอยู่เลย” เพราะหลังจากวันนั้นเรื่องราวก็ผ่านมานานนับ 17 ปี นางจึงลืมไปเสียสิ้น
“เป็นเช่นนี้ย่อมดีกับตัวองค์หญิงเองนะเพคะ” ตั้งแต่เล็กพระนางมอบความรักให้กับองค์หญิงเป็นอย่างมาก นั่นทำให้องค์หญิงทรงเป็นคนร่าเริงแต่กลับไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมของคนในวังหลวง
“ใช่ เป็นเช่นนี้ดีแล้ว” ดวงตาดอกท้อหม่นหมองลงไปเล็กน้อย นางอาจผิดเองที่ไร้ทางเลือกต้องแต่งให้กับองค์ชายเพื่อตระกูล จับพลัดจับผลูได้ขึ้นเป็นถึงหวงกุ้ยเฟยจึงต้องพยายามทุกวิถีทางปกป้องบุตรอันเป็นที่รัก และในวังหลวงที่เต็มไปด้วยอันตรายจะมีสิ่งใดปกป้องเราได้ดีกว่าอำนาจเล่า ดังนั้นนางจึงรวบรวมอำนาจให้พอดีแล้วเลี้ยงดูลูกทั้งสองให้มีชีวิตวัยเด็กที่มีความสุข…แต่มันก็มิอาจหนีพ้นวังวนการแย่งชิงอำนาจของเชื้อพระวงศ์ไปได้
ในตำหนักขององค์หญิงใหญ่บัดนี้เงียบสงบจากการไล่เหล่าข้ารับใช้ออกไปจนหมด ร่างบอบบางนั่งพิงหัวเตียงหลังจากทานอาหารเสร็จ สมองน้อยๆ ใคร่ครวญเรื่องราวมากมายและความทรงจำที่ผสมปนเปกันวุ่นวาย ก่อนจะทอดถอนใจอย่างอ่อนแรง
“เฮ้อ เอาเป็นว่าถ้าใครไม่มายุ่งกับข้า ข้าก็จะอยู่อย่างเงียบเชียบเพื่อชีวิตที่สงบสุขอันหาได้ยากก็แล้วกัน”
“ขอประทานอภัยเพคะองค์หญิง ฮองเฮากำลังมาที่ตำหนักเพื่อเยี่ยมเยียนพระองค์เพคะ” มู่หนัน หนึ่งในนางกำนัลคนสนิทเข้ามาบอกด้วยความเร่งรีบ
“ยอดเยี่ยมจริงๆ” มือบางกุมขมับแล้วพึมพำออกมา พูดยังไม่ทันขาดคำเรื่องก็วิ่งเข้าหานางเสียแล้ว
“หม่อมฉันจะเตรียมการต้อนรับเองเพคะ” เข่อซิงรับคำแข็งขันก่อนจะออกไปสั่งงานนางกำนัลทั้งหมด เพียงไม่นานแขกผู้มาเยือนก็มาถึง
“ถวายพระพรฮองเฮา ขอจงทรงพระเจริญพันปี พันพันปี”
เสียงขานรับของเหล่าข้ารับใช้ดังไปทั่วบริเวณแสดงถึงอำนาจของมารดาแผ่นดินเป็นอย่างดี
“ข้าได้ข่าวว่าองค์หญิงใหญ่ฟื้นแล้วอย่างนั้นหรือ” เสียงหวานทรงอำนาจเอื้อนเอ่ยพร้อมกับเดินเข้าตำหนักไป
“กราบทูลฮองเฮา องค์หญิงใหญ่ทรงฟื้นขึ้นมาไม่นานนี้เองเพคะ” ร่างเล็กของนางกำนัลตัวน้อยตอบขณะเดินตามมาติดๆ
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว” ซ่งเนี่ยเจินกวาดสายตามองตำหนักของบุตรสาวสตรีคู่อริของตน
นางเป็นถึงองค์หญิงจากแคว้นหมิงที่ถูกส่งมาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับแคว้นเว่ย ยามต้องแต่งให้อ๋องที่เป็นองค์ชายคนสุดท้องทำให้รู้ว่าอนาคตของนางคงมืดมนเป็นแน่ แม้จะครอบครองตำแหน่งพระชายาเอกแต่กลับตั้งท้องพร้อมกันกับสตรีอีกนางที่เป็นพระชายารอง ยังดีที่ยามคลอดผู้เป็นพระสวามียังไว้หน้าแคว้นหมิงยอมให้บุตรชายที่เกิดจากนางได้เป็นบุตรชายคนโตแม้นจะเกิดทีหลังถึง 3 วัน อายุของทั้งสองจึงไล่เลี่ยกันมาก
ต่อมาโชคดีก็หล่นทับเมื่ออยู่ๆ ทางเมืองหลวงเกิดโรคระบาดผู้คนล้มตายจำนวนมากโดยเฉพาะเหล่าเชื้อพระวงศ์ พระสวามีของนางที่เป็นเพียงอ๋องหัวเมืองจึงได้ก้าวขึ้นสู่บัลลังก์มังกรแบบที่มือไม่เปื้อนเลือดแม้แต่น้อย หลังจากนั้นอยู่ดีๆ พระชายารองที่ไม่เคยมีปากมีเสียงกลับขยายฐานอำนาจในฐานะของหวงกุ้ยเฟยจนตอนนี้ตำแหน่งฮองเฮาของนางยังสั่นคลอน บรรดาขุนนางเฒ่าที่ไม่ต้องการให้ไท่จื่อแคว้นเว่ยมีสายเลือดแคว้นอื่นปะปนก็พากันสนับสนุนองค์ชายรอง นั่นยิ่งทำให้ความเกลียดชังทับถมกองสุมกันจนแน่นอกไปหมด ยังดีที่พี่ชายของนางได้ขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้ของแคว้นหมิง ดังนั้นขุนนางที่เล็งเห็นผลประโยชน์จึงยังคงสนับสนุนองค์ชายใหญ่อยู่
“ถวายพระพรฮองเฮา ขอจงทรงพระเจริญพันปี พันพันปีต้องขอประทานอภัยที่หม่อมฉันมิอาจลุกขึ้นคำนับได้เพคะ” เสียงหวานโรยแรงเอ่ยทักทายดึงสติของซ่งฮองเฮาให้กลับมายังปัจจุบัน
“อย่ามากพิธีไปเลย เจ้าเป็นคนป่วยอยู่ เห็นเจ้าฟื้นขึ้นมาเช่นนี้ข้าก็เบาใจนัก” ฮองเฮาแห่งแคว้นนั่งลงที่ข้างเตียงคนป่วยก่อนจะเอื้อมไปจับมืออีกฝ่ายมาตบหลังมือเบาๆ
“ขอบพระทัยที่ทรงเป็นห่วงเพคะ” เว่ยซินอี้ยิ้มแย้มเหมือนปกติ เพียงแต่ในใจกลับส่ายหัวให้ท่าทางเล่นงิ้วเช่นนั้น มิรู้ว่าทำให้ใครดู
“ฝ่าบาทเสด็จ!” เสียงทุ้มแหลมของขันทีหน้าตำหนักทำให้คนงามลอบกรีดร้องอยู่ข้างใน ในที่สุดนางก็รู้แล้วว่าสตรีตรงหน้ามาเล่นงิ้วให้ผู้ใดชม