“เป็นเขามิผิดแน่…” คิดมาถึงตรงนี้ใบหน้าฟ้าประทานนั่นก็ซ้อนทับกับบุรุษที่นางเฝ้ารักเฝ้าตามเกี้ยวมาหลายภพชาติ ทุกชาติล้วนทำทุกอย่างเพื่อให้ตนได้ครองคู่กับเขา แต่ใครเลยจะรู้ว่าต่อให้พยายามสักเท่าใดก็หาได้สมหวังสักครั้งไม่ อีกทั้งทุกชีวิตที่ผ่านมานางยังพบเจอกับความตายอันแสนอนาจจากการที่เขาปกป้องสตรีคนรัก ซึ่งแม้จะแปลกใจที่คนรักของเขานั้นไม่ใช่คนเดียวกันสักชาติแต่โอกาสไม่เคยตกมาถึงมือนาง ขนาดชาตินี้ก่อนจะได้รับความทรงจำกลับมายังไปตามเกี้ยวชายหนุ่มอยู่ตั้ง 2-3 ปี
“อ่า…น่าอายจริงๆ” หญิงสาวครวญแผ่วกับการตามเอาใจบุรุษของตนในทุกภพชาติ แต่ละชาตินางไม่เคยรำลึกความทรงจำได้เช่นนี้ มิเช่นนั้นคงเลิกรักเขาไปเสียนานแล้วไม่ปล่อยให้พัวพันยาวนานมาถึง 8 ชาติหรอกหนา
“หรือบางทีอาจจะเป็นเวรกรรมที่ร่วมทำกันมาและข้าคือผู้ที่ต้องชดใช้ก็เป็นได้” ในเมื่อเรื่องเหนือธรรมชาติเช่นนี้เกิดขึ้นกับตนเองก็ทำให้ไม่สามารถคิดเป็นอย่างอื่นได้
พรึ่บ
ร่างบางพยายามขยับแต่เนื่องจากร่างกายนี้ได้รับบาดเจ็บและนอนไม่ได้สติยาวนานเกินไปทำให้ไม่มีเรี่ยวแรง สุดท้ายจึงทำได้แค่เพียงนอนเรียบเรียงความคิดทั้งหมดของตนต่อไป
แกร่ก แอ๊ดดด
เสียงเปิดประตูดังขึ้นทำให้คนที่เริ่มสะลึมสะลือตื่นเต็มตาอีกครั้ง ดวงตาหงส์เหลือบมองคนที่เข้ามาในห้องก่อนจะจดจำได้ว่าอีกฝ่ายคือนางกำนัลคนสนิท
“องค์หญิง! ทรงฟื้นแล้วหรือเพคะ!! เจ้าไปตามท่านหมอหลวงมาเดี๋ยวนี้!” เสียงตะโกนโหวกเหวกท่ามกลางความแตกตื่นดังขึ้นไปทั่วตำหนัก ก่อนร่างเล็กจะพุ่งตรงมาดูแลเช็ดตัวให้กับผู้เป็นนาย
“เข่อซิง” เสียงแหบแห้งทำให้นางกำนัลน้อยหลั่งน้ำตา รีบร้อนรินน้ำชามาประคองให้คนป่วยได้จิบทีละนิดจนหมดถ้วย
“องค์หญิง อย่าเพิ่งกล่าวสิ่งใดเลยเพคะ รอท่านหมอหลวงมาตรวจเสียก่อนเถิด” นางกำนัลคนสนิทบอกด้วยน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม ทำให้โฉมสคราญพยักหน้ารับเบาๆ ก่อนจะครุ่นคิดถึงสถานการณ์ของตน
ที่นางต้องมานอนซมเช่นนี้เพราะมีคนปองร้ายวางอุบายกับม้าที่เป็นสัตว์ขี่ประจำพระองค์ จำเพาะเจาะจงว่าเป้าหมายคือนางมิผิดแน่ คงไม่พ้นเรื่องวังหลังของบรรดาองค์หญิงองค์ชายกับฝ่ายในทั้งหลาย เนื่องจากพี่ชายของนางเกิดไล่เลี่ยกับองค์ชายใหญ่ที่เป็นพระโอรสของฮองเฮา อีกทั้งพระบิดายังไม่ยื่นมือเข้ามายุ่งนอกเสียจากจะมีการนำหลักฐานแล้วขึ้นทูลฟ้องด้วยตนเองซึ่งนั่นคงเป็นทางเลือกสุดท้ายของบรรดาคนในวังเช่นกัน เพราะพวกเขาคงเลิกสังหารอีกฝ่ายให้ตายตกไปเลยมันง่ายดายกว่ามาก
ส่วนใหญ่แล้วการแข่งขันในหมู่องค์ชายถือเป็นเรื่องปกติโดยเฉพาะเมื่อยามตำแหน่งไท่จื่อยังมิได้มีใครครอบครอง สืบเนื่องมาจากฮ่องเต้องค์ปัจจุบันขึ้นครองราชย์โดยไม่ทันตั้งตัว เมื่อ 12 ปีก่อนเกิดโรคระบาดขึ้นในวังหลวงจากการเยี่ยมเยือนของทูตต่างแคว้น ครานั้นทำให้ราชวงศ์เข้าสู่วิกฤตด้วยอดีตฮ่องเต้กับบรรดาอ๋องทั้งหลายต่างสิ้นพระชนม์กันหมด เหลือเพียงแค่ เว่ยตงหยาง ที่ยามนั้นดำรงตำแหน่งฉีอ๋อง ปกครองหัวเมืองทางใต้ซึ่งติดพันสงครามชนเผ่าทำให้ไม่ได้เข้าเมืองหลวง
นับว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายนางเองก็เหน็ดเหนื่อยกับเรื่องนี้เต็มทน จากที่เป็นเพียงสงครามตำหนักเล็กของเหล่าพระชายา 3-4 คนกับบุตรอีกหนึ่งโขยง มายามนี้กลายเป็นสงครามวังหลังที่มีสนมนับร้อย บุตรอีกเป็นสิบ มิหนำซ้ำเสด็จพ่อก็แสนจะมีความสุขกับการตั้งชื่อลูกๆ ถ้าเกิดเป็นบุรุษจะมีนามขึ้นต้นด้วยคำว่า ซี ซึ่งมีความหมายว่า ยามตะวันลับฟ้า ส่วนบุตรที่เกิดเป็นสตรีจะมีนามขึ้นต้นด้วยคำว่า ซิน ซึ่งมีความหมายว่า ยามตะวันจะโผล่พ้นขอบฟ้า ดังนั้นการนับพี่น้องจึงยิ่งปวดหัวมากขึ้น
“ท่านหมอหลวงมาแล้วเพคะ”
ขณะที่คนงามกำลังนอนนึกถึงเรื่องครอบครัวของตนในชาตินี้เพลินๆ เสียงใสของคนสนิทก็เอ่ยอย่างดีใจก่อนจะเชื้อเชิญร่างสูงโปร่งของหมอหลวงให้รีบเข้ามาตรวจเจ้านาย
“ถวายพระพรองค์หญิงใหญ่ กระหม่อมต้องทูลขออนุญาตตรวจชีพจรและบาดแผลเล็กน้อยพ่ะย่ะค่ะ” เสียงทุ้มนุ่มนวลเอ่ยพร้อมรอยยิ้มบางช่วยให้ใบหน้าอ่อนโยนนั้นดูดีมากยิ่งขึ้น
เว่ยซินอี้พยักหน้ารับก่อนจะยื่นแขนไปวางพาดหมอนที่นางกำนัลเตรียมไว้ ผ้าสีขาวบางถูกนำมากั้นระหว่างนิ้วมือของบุรุษหนึ่งเดียวในห้องกับข้อมือขาวนวลของคนป่วย หลังจากตรวจไปสักพักจึงสอบถามอาการเพิ่มเติม
“พระองค์ทรงเจ็บปวดพระวรกายมากรึไม่พ่ะย่ะค่ะ” เนื่องจากบาดแผลส่วนมากได้รับการรักษาแล้ว ยามนี้จึงน่าจะเหลือเพียงอาการบาดเจ็บภายในเท่านั้น
“ไม่แล้ว เพียงยังปวดหัวอยู่บ้าง” นางเองก็แปลกใจไม่น้อยที่บาดแผลดูเหมือนจะหายไปจนหมด
“จากการตรวจชีพจรพระวรกายของพระองค์ทรงแข็งแรงขึ้นมาก อาการปวดที่เหลือคงเป็นเพียงอาการตกค้างของการหลับนานเกินไป กระหม่อมจะจัดยามาถวายและขอให้ช่วงนี้ทรงเสวยอาหารอ่อนๆ ไปก่อน เช่นนั้นกระหม่อมทูลลาพ่ะย่ะค่ะ” โจววั่งซูจดบันทึกอาการก่อนจะขอตัวไปเตรียมยา
“ขอบคุณท่านหมอมาก” องค์หญิงใหญ่แห่งแคว้นเว่ยเอ่ยขึ้นพลางยิ้มเล็กน้อยเป็นมารยาท แต่นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ทุกคนในห้องตกละลึง ตลอดมาแม้องค์หญิงใหญ่จะร่าเริงหากก็เป็นคนเอาแต่ใจไม่น้อยมิได้ดูสง่าเรียบร้อยเช่นนี้ถึงอย่างนั้นทุกคนก็เงียบปากเพราะรู้ดีว่าในวังหลวงบางสิ่งควรพูด บางสิ่งก็ไม่ควรพูด
“อี้เอ๋อร์!” ร่างบางของสตรีสูงศักดิ์พุ่งพรวดเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ก่อนจะเห็นคนที่ตนเป็นห่วงกำลังนอนส่งยิ้มบางมาให้
“เสด็จแม่” เว่ยซินอี้มองมารดาในชาตินี้แล้วก็ดีใจนัก ในความทรงจำมีบางชาติที่นางไร้มารดาและบางชาติมารดาก็หาได้รักนางไม่ แต่ชีวิตครั้งนี้เสด็จแม่หวงกุ้ยเฟยกลับรักนางและพี่ชายมากเหลือเกิน เรียกได้ว่าที่พยายามรวบรวมอำนาจก็เพื่อเป็นเกราะป้องกันให้กับบุตรโดยแท้
“ลูกแม่ เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง” ใบหน้างดงามของหวงกุ้ยเฟยฉายชัดถึงความเป็นห่วง ก่อนจะนำร่างตนมานั่งข้างกายบุตรี
“มิเป็นไรแล้วเพคะ” ก่อนที่ความทรงจำจะกลับมานางได้ทำเรื่องราวให้พระมารดาต้องปวดหัวมากมายยิ่งนัก นับว่าช่างอกตัญญูจริงๆ เอาเถิด…ตั้งแต่นี้ไปนางจะอยู่เงียบๆ ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขหลุดพ้นจากเรื่องน่าเหนื่อยหน่ายเสียที เบื่อแล้วกับการต้องไปแย่งชิงความรักจากบุรุษ ไม่ว่าจะบิดาหรือคนรัก นางก็อยากจะพอทุกสิ่ง
“รู้รึไม่ว่าแม่เป็นห่วงเจ้ามากเพียงใด” มือบางเอื้อมมาสัมผัสใบหน้าซูบผอมด้วยหัวใจที่เจ็บปวด
“ลูกผิดไปแล้วเพคะเสด็จแม่ ลูกจะรีบหายไวๆ จะได้มิต้องทำให้เสด็จแม่ทรงเป็นกังวลเพราะลูกเพคะ” องค์หญิงใหญ่ออดอ้อนมารดาอย่างน่ารัก ทำให้คนฟังอดไม่ได้ที่จะบีบจมูกรั้นอย่างหมั่นเขี้ยว
“หายโดยเร็วเถิด เสด็จพ่อกับเสด็จพี่ของเจ้ากระวนกระวายแย่แล้ว” แม้จะติดราชกิจมากมายแต่ก็ยังหาเวลามาเยี่ยมองค์หญิงใหญ่เสมอ ทำให้หลายคนต่างรู้ถึงน้ำหนักในหทัยมังกรว่ารักพระธิดาองค์แรกนี้มากเพียงใด
“คงมิว่างมาห่วงลูกกระมังเพคะ” องค์หญิงแห่งแคว้นเว่ยหยอกเย้าไปถึงบิดาและพี่ชายที่งานท่วมตัวไปหมด ที่สำคัญยามนี้นางมองทุกอย่างกว้างไกลกว่าเดิมมาก ความรักของเสด็จพ่อที่เคยถือดีว่าตนได้รับความสำคัญแท้จริงแล้วก็เป็นการคานอำนาจกันในวังหลวงเสียหลายส่วน โชคดีไม่น้อยที่นางรู้ความแล้วว่าอะไรเป็นอะไร จะได้ไม่หลงระเริงไปกับความจอมปลอมในวังแห่งนี้อีก