ยังไม่ถึงครึ่งชั่วโมงดี ตติยะก็เปิดประตูห้องพักแพทย์เวรมาด้วยสีหน้าเรียบๆ เขาเลิกคิ้วมองธานุวัตน์อย่างแปลกใจที่มีผู้หญิงมานั่งด้วยในห้อง
“ว่าไงไอ้ธิม แกปลุกฉันมากลางดึกทำไม มาดูคนไข้ฉุกเฉินอย่างที่ฉันเข้าใจรึเปล่า ถ้าไม่ใช่ขอเหตุผลที่สมเหตุสมผลด้วย”
“มีเหตุผลสิวะ ไม่อย่างนั้นจะเรียกมาทำไม มีคนมาหาแกน่ะ” เขาบุ้ยไปทางอนามิกาที่ทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยมอยู่
“ผู้หญิงคนนี้มาหาฉันเหรอ มาทำไมล่ะ” เขากระซิบถามธานุวัตน์ ตติยะไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไหร่ที่เห็นผู้หญิงสวย เพราะว่าหัวใจของเขาได้ตายด้านมานานเกินกว่าที่จะสนใจเรื่องแบบนี้แล้ว... เขาจึงได้แต่มองผู้มาใหม่ด้วยสายตาและใบหน้าเรียบนิ่งติดจะขรึมๆ ตามเดิม
“เขามีเรื่องจะถามแก บอกว่าเป็นเรื่องสำคัญ” คนเป็นเพื่อนบอก ก่อนจะเรียกอนามิกามาหาตติยะ แล้วเจ้าตัวก็เตรียมจะผละออกมา
“คุยกันเองนะครับ”
อนามิกาเห็นตติยะครั้งแรกก็จำได้ทันทีว่าคนนี้แหล่ะที่เป็นคนในรูปที่กล่องของพี่พรีม พรีมพริมา พี่สาวเพื่อนสนิทของหล่อน
“คุณ หมอต้นใช่ไหมคะ”
“ใช่ครับ” เขาตอบ ใบหน้าขรึมของเขานั้นมีแววแห่งความงงเล็กน้อยที่หล่อนเรียกเขาอย่างสนิทสนมราวกับเป็นคนรู้จักกัน ในขณะที่เขานั้นไม่คุ้นหน้าหล่อนเลย
“คุณเคยเป็นแฟนพี่พรีมใช่ไหมคะ”
คำถามของหล่อนทำให้ใบหน้าเขาเปลี่ยนจากนิ่งเฉยเป็นโกรธขึ้งได้ในทันทีทันใด... และเหมือนว่าจะมีดวงไฟลุกโชนในตาชายหนุ่มด้วยซ้ำ...
“ถ้าคุณจะมาถามเรื่องไร้สาระแบบนี้ ผมก็ไม่มีคำตอบให้หรอกนะครับ อย่าบอกนะว่าคุณปลุกผมมาเพื่อที่จะมาถามคำถามเท่านี้น่ะ”
“ก็ฉันอยากรู้นี่คะ”
“ถ้าคุณต้องการถามแค่นี้ ผมก็ไม่มีอะไรจะบอกแล้วครับ ขอโทษด้วยนะครับ” เขาบอกอย่างสุภาพแต่ปลายเสียงนั้นตวัดใส่หน้าหล่อนอย่างเห็นได้ชัด แล้วเขาก็หันหลังจะเดินหนีไป อนามิกาถลาไปรั้งแขนเขาไว้แทบไม่ทัน
อนามิกาจะไม่ยอมให้เขาไป กว่าจะหาเขาเจอได้ เขาไม่รู้หรอกว่าหล่อนนั้นยากลำบากแค่ไหน
“คุณตอบฉันมาก่อนนะคะ ช่วยฉันที พี่พรีมเองก็ไม่รู้ว่าทำไมคุณถึงบอกเลิก แล้วพวกคุณคิดจะหันกลับไปรักกันหรือเปล่าคะ”
ตติยะแกะมือของอนามิกาออกอย่างใจเย็น...
“ผมไม่ได้รักเขา ไม่รักมาตั้งแต่ต้น และไม่คิดจะกลับไปคบ ไม่อยากแม้แต่จะรู้จัก จบไหมครับ”
อนามิกาอึ้งกับคำตอบ ใบหน้าของหล่อนเจื่อนไป... และหล่อนก็ปล่อยแขนเขาช้าๆ...
“จริงเหรอคะ”
“จริงคับ”
ตติยะบอกอย่างนั้นแล้วก็ออกไปจากห้องพักเวรไม่สนใจใครอีกเลย
ด้วยความโมโหที่ได้ยินเรื่องราวที่ไม่เสนาะหูเขาจึงออกไปด้วยอารมณ์ไม่ฟังใครเลย เขาไม่รู้ตัวว่า เขาได้ปล่อยให้อนามิกามองตามไปด้วยความผิดหวังเสียแล้ว...
เมื่อธานุวัตน์เดินกลับเข้ามาที่ห้องอีกครั้งหลังจากที่ไปชงกาแฟแก้วที่สองมา เขาเห็นอนามิกานั่งหน้างออยู่คนเดียวก็เดินเข้ามาถาม
“อ้าวคุณ คุยกันรู้เรื่องแล้วเหรอ ทำไมเพื่อนผมกลับเร็วจังล่ะ”
“ก็ยังคุยกันไม่รู้เรื่องน่ะสิ เพื่อนคุณนั่นแหล่ะไม่รู้จะรีบกลับอะไรนักหนา ถามอะไรก็ไม่ยอมบอก โอย ฉันอยากจะบ้า ฉันทุ่มเททำมาขนาดนี้ แต่ว่าทำไมเขาไม่ให้ความร่วมมือเลยนะ” อนามิกาบ่นพึมพำกับตัวเอง...
“ผมว่ามันคงไม่อยากพูดนะครับ สองคนนั้นอาจจะเลิกกันไป เลยไม่อยากพูดถึงอีก นี่ผมเป็นเพื่อนมันยังไม่ค่อยพูดถึงพรีมเลย... ตอนแรกๆ เผลอพูดทีไร มันหงุดหงิดทุกทีเลย” เขาบอก
“เขาไม่ได้เลิกกันนะคะ หมอต้นเป็นคนเลิกคนเดียวน่ะสิ พี่พรีมยังไม่รู้เลยว่าทำไมถึงเลิก อยู่ดีๆ เขาก็ห่างไปเอง”
“จริงเหรอ แล้วคุณรู้เรื่องนี้ได้ยังไง พรีมเล่าให้ฟังเหรอ”
“เอ่อ.... เปล่าหรอกค่ะ ฉันไปอ่านเจอในไดอารี่ของพี่พรีม” หล่อนหัวเราะแหะๆ ขึ้นมา แต่ท่าทีตึงตังของหล่อนก็เกิดขึ้นเมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้...
“ฉันว่าเรื่องมันต้องมีเงื่อนงำ และฉันก็ยอมไม่ได้หรอกค่ะที่จะให้มันเป็นอย่างนี้ต่อไป ฉันต้องทำให้พวกเขากลับมาคืนดีไม่ได้ อย่างน้อยไม่ใช่เพื่อตัวเองก็เพื่อความสุขของพี่รีม”
“แน่ใจเหรอว่าทำเพื่อคนอื่น” เขาพูดแล้วมองหล่อนหัวจรดเท้าเหมือนว่ารู้ทันอะไรบางอย่าง...
“แน่ใจสิ คุณอย่ามาพูดมากน่า ในฐานะที่คุณเป็นเพื่อนหมอต้น คุณต้องช่วยฉันให้เขามาคืนดีกัน แม้ว่าจะมีอุปสรรคมากมายเท่าไหร่ก็ตาม”
“ผมไม่ว่างขนาดนั้นหรอกนะ งานผมยุ่งจะตาย”
“อย่ามาอ้างหน่อยเลย... ไม่อยากช่วยก็ว่ามาเถอะ แต่ถึงอย่างไรฉันก็จะให้คุณช่วยอยู่ดี ฉันไม่ยอมให้คุณถอนตัวหรอกนะจะบอกไห้ ไหนๆ ก็ชวยกันแล้ว ก็ช่วยให้มันได้ตลอดทีเถอะ” หล่อนบอก ไม่สนใจเลยว่าเขานั้นจะทำหน้าแบบไหน
“เรื่องอะไรเนี่ย อยู่ดีๆ ก็มาหาเหาใส่หัวผม...”
“ไม่รู้ล่ะ ฉันจะนับคุณเป็นผู้ร่วมกระบวนการคนหนึ่งก็แล้วกัน”
“ถ้างั้นคุณต้องมีข้อแลกเปลี่ยนกับผมนะ”
“ข้อแลกเปลี่ยนอะไร”
“ให้ผมดูที่หลังใบหูของคุณหน่อยสิ” คำพูดของเขาทำให้หล่อนแทบคิดว่าตัวเองหูฝาดไป เพราะไม่รู้ว่าถ้าเขาพูดตามที่หล่อนได้ยินจริงแล้วเขาจะพูดเพื่ออะไร
“คุณว่าอะไรนะ”
“ผมสัญญาว่าจะช่วย แต่ขอดูหลังใบหูหน่อยสิ อยากรู้ว่ามันจะเป็นอย่างไร”
เขาแค่อยากรู้ว่ามันจะเป็นอย่างที่คำทำนายจริงหรือเปล่า ก็เท่านั้น...
“งั้นก็ได้ อย่าผิดสัญญานะ” หล่อนชี้หน้าเขาคาดโทษเอาไว้ แล้วก็หันหลังให้เขาอย่างเต็มอกเต็มใจ
“ อยากดูก็ดูไปค่ะ ฉันจะได้กลับไปหลับไปนอน แล้วคิดหาแผนเหมาะๆ สำหรับวันต่อไป” หล่อนเร่งเขาเพราะง่วงเต็มทีแล้ว
ธานุวัตน์ค่อยๆ เอานิ้วเกี่ยวเอาเส้นผมยาวนุ่มสลวยของหล่อนยกขึ้นมา แล้วมองที่หลังใบหูข้างขวาสีขาวสะอาดของหล่อน ก่อนที่เขาจะถอนหายใจยาวเหยียดขึ้นมาเพราะไม่ได้อย่างใจหวัง
หลังใบหูขาวๆ ของหล่อนนั้นไม่ได้มีไฝหรืออะไรเลย มีเพียงก้านต่างหูลายดอกไม้สีทองเท่านั้นที่เห็นเด่นขึ้นมา...
“ไม่มี” เขาพูดกับตัวเองเบาๆ “หรือว่าจะไม่ใช่คนนี้”
“คุณดูอะไรของคุณนี่” หล่อนถามเมื่อเห็นว่าเขานิ่งไปนาน... อะไรมันจะดูนานขนาดนั้นกัน
“เอ่อ ไม่มีอะไรหรอก”
แล้วเขาก็ต้องหัวเราะเยาะตัวเองในใจ เขาน่าจะรู้แล้วว่ามันไม่มีอย่างที่เจ้าแม่อะไรนั่นว่าหรอก เรื่องมันไร้สาระทั้งเพ แล้วยังจะมาพิสูจน์ทำไมให้เสียเวลา
อ้อ หรือจะไม่เสียเพราะว่าพิสูจน์แล้วรู้ว่ามันไม่มีจริง...
“ขอบคุณมากนะ ผมดูเสร็จแล้วแหล่ะ” เขาบอก
“แล้วคุณจะดูไปทำไมเหรอ ฉันไม่เข้าใจ”
“แค่อยากรู้แน่ะ ว่าเอ่อ...” เขาพูดเสียงตะกุกตะกักเพราะไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไร “เอ่อ... คือว่า... ผมทำวิจัยอยู่เกี่ยวกับลักษณะหูและความผิดปรกติทางระบบประสาทน่ะ” เขาสมอ้างไปมั่วๆ
“เหรอคะ แล้วหูฉันเป็นไง ใกล้เคียงคนบ้าหรือเปล่าคะ” หล่อนถามเขาอย่างพาซื่อ หมอหนุ่มกลั้นหัวเราะแทบตายที่หล่อนยอมเชื่อเขาง่ายๆ
“เอ่อ ใกล้เคียงกลุ่มคนที่อาการขาดๆ เกินๆ มากเลยครับ แต่ว่าโดยรวมคุณก็ดูปรกติดีนะครับ”
อนามิกาลูบหน้าลูบตาตัวเองอารามตกใจ นี่หล่อนหูเหมือนคนบ้าอย่างนั้นหรือ หรือว่าหล่อนบ้าไปแล้ว ยิ่งเคยมีคนแซวบ่อยๆ ว่าหล่อนน่ะไม่เต็มเลย...
หรือว่ามันจะจริง...
“ผมว่าคุณกลับไปนอนพักผ่อนเถอะนะครับ”
เขาบอกหล่อนแล้วหล่อนก็ลากลับบ้านไป ตอนออกไปนั้นเจ้าตัวยังเดินไปแบบงงๆ เพราะยังติดใจเรื่องประสาทของตนเองอยู่...
ถ้าอนามิกาเหลียวหลังมามองสักนิด นิดเดียวเท่านั้น หล่อนก็จะเห็นว่าธานุวัตน์ถอนหายใจอย่างโล่งอกเลยทีเดียว...