ข้านี่แหล่ะ ฮูหยินของท่านแม่ทัพ
บทที่ 5. ฮ่องเต้ที่ยังดูหนุ่มแน่น
บรรยากาศในศาลารับลมริมทะเลสาปที่ใช้เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงเต็มไปด้วยเสียงของดนตรีจากเครื่องสายนา ๆ ชนิด และเสียงพูดคุยกันอย่างสนุกสนานของผู้มาร่วมงาน ตรงกลางมีนางรำห้าคนกำลังร่ายรำเข้าจังหวะเสียงเพลงด้วยท่าทางอ่อนช้อยงดงาม
บัดนี้ใบหน้างดงามของเยว่ซืององ้ำ ดวงตากลมใสขุ่นมัว ริมฝีปากสีชาดเม้มสนิท คิ้วเรียวสวยขมวดมุ่น องค์ประกอบทั้งหมดล้วนบ่งบอกอารมณ์หงุดหงิดของสตรีสาวร่างบางได้เป็นอย่างดี
เยว่ซือถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง นับเป็นครั้งที่ร้อยได้แล้วกระมังตั้งแต่นางเหยียบย่างก้าวเข้ามาในบริเวณงานเลี้ยงที่น่าเบื่อหน่ายแห่งนี้
"ช่วงนี้เป็นเช่นไรบ้างแม่ทัพหยาง?"
ขุนนางท่านหนึ่งเอ่ยถามหยางเฟยฉี และเยว่ซือก็ได้ยินบทสนทนาทั้งหมด แม้จะไม่คิดตั้งใจฟังก็ตาม
"ข้าสบายดี ไม่ได้เจ็บป่วยอะไร"
หยางเฟยฉีเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย
"ข้าได้ยินมาว่า แคว้นฉู่จะส่งองค์หญิงทั้งสองมาเป็นเครื่องบรรนาการต่อฝ่าบาท แม่ทัพหยางดูท่าทางเรื่องนี้คงมิผิดไปจากท่านอีกแล้ว เป็นคนโปรดของฝ่าบาทก็ลำบากหน่อยนะ"
ขุนนางคนเดิมยังพูดจ้อไม่หยุด และประโยคที่ว่านั้นก็ทำให้เยว่ซือถึงกับหูผึ่ง จะไม่ให้นางสนใจได้ยังไง ในเมื่อเหตุการณ์ที่ขุนนางผู้นี้กำลังกล่าวถึงอยู่นั้น มันตรงกับในนิยายของนาง และแคว้นฉู่ที่ว่านี้ก็มีความคิดที่จะส่งองค์หญิงมาที่แคว้นชิวจริง หากแต่ส่งมาเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น หาได้ส่งมาถึงสองพระองค์ไม่ ดูท่าแล้วขุนนางปากมากท่านนี้คงจะได้ยินเรื่องราวมาผิด ๆ เป็นแน่
"เหตุใดแม่ทัพหยางต้องลำบากด้วยเล่า"
เยว่ซือเอ่ยคำถามทะลุขึ้นมากลางปล้อง และเหตุที่ต้องเอ่ยถาม นั่นก็เป็นเพราะว่าหยางเฟยฉีผู้นี้มิเคยลำบากเรื่องใด นั่นเพราะเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ ไม่ว่าจะเอ่ยทูลขอหรือกราบทูลในเรื่องใด พระองค์ก็ทรงเห็นดีเห็นงามด้วยตลอด
"ฮูหยินน้อย เจ้าไม่รู้อะไร สตรีมีมากมายทั่วหล้า แต่ฝ่าบาททรงพึงใจรักฮองเฮาเพียงผู้เดียว ไม่ว่าใครจะส่งหญิงงามสักเพียงไหนมาถวายให้เป็นพระสนม พระองค์ก็หาได้สนใจไม่ กลับพระราชทานสตรีเหล่านั้นให้ผู้อื่นจนหมดสิ้น ข้อนี้แม่ทัพหนุ่มรู้ดีแก่ใจ"
"อ้อ... ที่แท้แม่ทัพหยางก็รับจบแต่เพียงผู้เดียวนี่เอง"
เยว่ซือกล่าวประชดประชันร่างสูงที่นั่งอยู่เคียงข้าง หากแต่คิ้วเรียวสวยกลับขมวดเข้าหากันจนยุ่ง ต้องมีสิ่งใดผิดพลาดแน่ ๆ ในนิยายของนาง ฮ่องเต่ 'ซ่งเสวียนเจิน ' ผู้นี้ มิได้รักใครใยดีต่อฮองเฮาที่มีนามว่า 'หลี่ซุ่ยเหลียน ' เลยแม้แต่นิดเดียว บัดนี้กลับเปลี่ยนจากหลังมือเป็นหน้ามือไปเสียได้
"ฮ่องเต้เสด็จ!"
เยว่ซือไม่มีเวลาให้คิดและไตร่ตรองถึงความเปลี่ยนแปลงนี้ เสียงของขันทีชั้นอาวุโสก็ร้องตะโกนขึ้นมาเป็นการบอกกล่าวให้เหล่าขุนนางและผู้คนทั้งหลายรับรู้ว่า บัดนี้ฮ่องเต้ซ่งเสวียนเจินได้เดินทางมาถึงแล้ว
"ถวายบังคมฝ่าบาท ทรงพระเจริญหมื่น ๆ ปี"
ผู้คนต่างหมอบกราบยอบกายลงเพื่อถวายความเคารพแด่องค์ฮ่องเต้ มีเพียงผู้เดียวที่นั่งเฉยด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าหน้าของฮ่องเต้ที่นางเป็นคนสร้างขึ้นมานั้นจะเป็นเช่นไร
"ห้ามเสียมารยาทต่อหน้าพระพักตร์"
เสียงทุ้มห้าวจากคนข้างตัวดังขึ้นในระยะกระชั้นชิด ส่งผลให้เยว่ซือต้องหันไปมองอย่างไม่พอใจ ครั้นเมื่อนางยังนิ่งเฉยไม่นำพาต่อคำพูดของตน มือหนาจึงเอื้อมไปกดศีระเล็กให้ก้มต่ำลง และนั่นก็ทำให้หน้าผากนูนกระแทกกับพื้นทันที หากแต่ไม่รุนแรงนัก
"ทุกท่านไม่ต้องมากพิธี เชิญตามสบาย"
ฮ่องเต้ซ่งเสวียนเจินในชุดเครื่องทรงมังกรของกษัตริย์ตรัสอย่างอารมณ์ดี ก่อนที่พระพักตร์จะหันมายังหยางเฟยฉีและภรรยาของเขา
"เฟยฉีเจ้าพาภรรยามาด้วยเรอะ เป็นอย่างไรบ้างเยว่ซือ เจ้าปรับตัวเข้ากับจวนสกุลหยางได้แล้วรึยัง?"
ประโยคแรกฮ่องเต้ทรงตรัสถามกับแม่ทัพหนุ่ม ส่วนประโยคต่อมานั้นทรงกล่าวกับเยว่ซืออย่างเป็นกันเอง
เยว่ซือเงยหน้าขึ้นทันที ด้วยเพราะอยากรู้อยู่แล้วว่าหน้าตาของฮ่องเต้นั้นจะเป็นเช่นไร ครั้นเมื่อเห็นแล้วนางก็ถึงกับอ้าปากค้าง
ฮ่องเต้ซ่งเสวียนเจินผู้นี้มีพระพักตร์หล่อเหลาอ่อนโยน พระเนตรสีน้ำตาลเข้มฉายแววอบอุ่น บุคลิกท่าทางสง่างามยิ่งนัก คะเนจากรูปลักษณ์แล้วน่าจะอายุสักสามสิบต้น ๆ
ซึ่ง...
มันเป็นสิ่งที่ผิดไปจากเดิม!
ในนิยาย ฮ่องเต้ซ่งเสวียนเจินผู้นี้อายุห้าสิบหกปีเข้าไปแล้วต่างหาก มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย เหตุใดพระองค์จึงยังหนุ่มแน่นเช่นนี้ไปได้ เยว่ซือสับสนไปหมดแล้ว
"ยังไม่รีบถวายบังคมฝ่าบาทอีก"
เสียงทุ้มเอ่ยเตือน ทำให้เยว่ซือรีบทำตามอย่างผิด ๆ ถูก ๆ
"เยว่ซือถวายบังคมเพคะฝ่าบาท ขอจงทรงพระเจริญหมื่น ๆ ปี"
"ไม่ต้องมากพิธีไปหรอกเยว่ซือ เราคนกันเองทั้งนั้น"
ฮ่องเต้หนุ่มทรงแย้มสรวญอย่างมิถือตัว
"เราไม่รู้มาก่อนว่าเฟยฉีจะพาเจ้ามาด้วย เช่นนั้นเราคงพาฮองเฮามาด้วยแล้ว นางเองก็อยากพบเจ้า รบเร้าขอเราออกนอกกำแพงวังไม่เว้นวัน"
"หม่อมฉันก็ไม่ได้ได้อยากจะมาหรอกเพคะ"
เยว่ซือเอ่ยเสียงเบาราวกับกระซิบ กระนั้นฮ่องเต้หนุ่มก็ยังได้ยิน หากแต่ไม่ชัดนักจึงทรงตรัสถาม
"เจ้าว่าอะไรนะเยว่ซือ"
"อ๋อ... หม่อมฉันว่า อากาศในศาลารับแห่งนี้ช่างเย็นสบาย เหมาะแก่การจัดงานเลี้ยงยิ่งนักเพคะ"
"ดีใจที่เจ้าชอบ ว่าแต่... เหตุใดจึงเพิ่งมาเอ่ยชม ในเมื่อตอนที่เจ้ายังอยู่ในวัง ก็เคยมาที่นี่กับฮองเฮาตั้งหลายครั้งนี่นา"
เป็นอีกครั้งที่เยว่ซืออยากจะหายวับไปจากตรงนี้ให้รู้แล้วรู้รอด ไม่ควรเลยที่จะพูดอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังออกไปแบบนี้
"อุบัติเหตุรถม้าของเจ้าสาวที่ตกเหวไปในวันนั้น ทำให้นางกลายเป็นสตรีที่เลอะเลือนเช่นนี้ ขอฝ่าบาทอย่าถือสาหาความนางเลย"
หยางเฟยฉีเอ่ย เป็นครั้งแรกที่เยว่ซือนึกขอบคุณเขา
"เป็นเช่นนั้นหรอกรึ ถ้าอย่างนั้นเฟยฉี เป็นเจ้าที่ต้องดูแลนางให้ดี อย่าให้เรากับฮองเฮารู้สึกผิดที่มอบนางให้กับเจ้า"
"รับด้วยเกล้าพระย่ะค่ะ"
เยว่ซือยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเอง พยายามสงบสติอารมณ์ให้เย็นลง และตั้งใจเอาไว้ว่าจะไม่ปริปากพูดสิ่งใดออกมาอีกจนกว่างานเลี้ยงจะจบ พลางคิดอยากจะออกไปจากตรงนี้ จะให้นางทนอยู่ต่อได้ไปยังไง ในเมื่อที่นั่งของหยางเฟยฉีและนางถูกจัดให้อยู่ใกล้ชิดกับฮ่องเต้ถึงเพียงนี้ ขืนอยู่ต่อต้องได้ตอบคำถามอีกหลายประโยคแน่ คิดได้ดังนั้นเยว่ซือจึงลุกขึ้นจากที่นั่งพลางเอ่ยขอตัว
"หม่อมฉันขออกไปสูดอากาศข้างนอกสักครู่นะเพคะ"
"เอาสิ เจ้าไปนั่งอยู่ริมสงทะเลสาปก็ได้ เดี๋ยวเราจะให้นางกำนัลสักคนสองคนไปคอบรับใช้"
ฮ่องเต้หนุ่มอนุญาต ทั้งที่ยังสงสัยในท่าทีแปลก ๆ ของหญิงสาวอยู่ไม่น้อย
"ช้าก่อนฮูหยินแม่ทัพหยาง"
หากเยว่ซือยังไม่ทันได้ขยับตัว น้ำเสียงของชายชราคนหนึ่งก็พลันดังขึ้นรั้งนางไว้ ในขณะที่เยว่ซือมองชายผู้นี้ตาไม่กระพริบ พลางคิดในใจว่าคนผู้นี้เป็นใครอีกล่ะเนี่ย
"ฮูหยินแม่ทัพหยาง โปรดอยู่ก่อนสักครู่เถิด"
ชายชราคนดังกล่าวเข้ามาหยุดยืนทำความเคารพอยู่เบื้องหน้า ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน และถึงแม้ว่าจะยังไม่เข้าใจว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันอันใดกับตัวเอง แต่เยว่ซือก็ยินยอมนั่งลงแต่โดยดี
"มีธุระอันใดจะกล่าวกับภรรยาของข้าอย่างนั้นหรือท่านปุโรหิต?"
หยางเฟยฉีเอ่ยถามเสียงเรียบ
ขณะนั้นฮ่องเต้หนุ่มทรงลอบอมยิ้ม ก่อนจะแอบขยิบตากับ ' จางเฮ่อ ' ผู้ที่ดำรงตำแหน่งปุโรหิตของราชสำนักอยู่ในขณะนี้ กระนั้นคนตาดีที่คมราวกับเหยี่ยวอย่างแม่ทัพหยางเฟยฉีก็ยังเห็น และเก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ ดูทีแล้วเรื่องนี้คงมีอะไรไม่ชอบมาพากล
"ทูลฝ่าบาท"
หลายวันมานี้หม่อมฉันได้ตรวจดูดวงชะตาของแม่ทัพหยางกับฮูหยินหยางอย่างละเอียดถี่ถ้วนทุกเมื่อเชื่อวัน กระม่อมตรวจพบว่าบัดนี้ดวงชะตาของฮูหยินหยางนั้นได้เปลี่ยนไปแล้วอย่างสิ้นเชิง นับแต่วันที่นางตกลงไปหุบเหว และเมื่อกระหม่อมอ่านคำทำนายออกมา ก็ทำให้กระหม่อมตกใจเป็นอย่างมากพะย่ะค่ะ"
ปุโรหิตเฒ่ากราบทูลด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเมื่อได้รับสัญญาณจากองค์ฮ่องเต้
"คำทำนายออกมาเป็นเช่นไรเล่าท่านปุโรหิตจาง เจ้าพูดออกมาให้กระจ่างเดี๋ยวนี้"
ฮ่องเต้หนุ่มแสร้งทำสีหน้าตื่นตกใจเพื่อส่งลูกรับให้ปุโรหิตเฒ่า
"กระหม่อมไม่รู้ว่าควรจะพูดออกมาดีไหมพะย่ะค่ะ"
ปุโรหิตเฒ่าเอ่ย พลางก้มหน้าลงต่ำเพื่อซ่อนรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ไว้อย่างมิดชิด
"พูดมา"
แม่ทัพหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ด้วยอยากรู้ว่าฮ่องเต้นั้นจะมาไม้ไหน โดยไม่รู้เลยว่าตนเองกำลังกระโจนลงไปในหลุมพรางที่ฮ่องเต้หนุ่มและท่านปุโรหิตเฒ่าขุดล่อเอาไว้
"ไม่ว่าหม่อมฉันทำนายใหม่อีกกี่ครั้ง ก็ได้คำทำนายที่ออกมาเหมือนกันทุกครั้งไป นั่นก็คือ แม่ทัพหยางกับฮูหยินจะต้องจัดพิธีไหว้ฟ้าดินขึ้นมาใหม่ภายในหนึ่งเดือนจากนี้ไป หาไม่แล้วแคว้นชิวจะเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่หลวงพะย่ะค่ะ"
"ภัยพิบัติ!"
เกิดเสียงสิพากษ์วิจารณ์อื้ออึงไปทั่งทั้งศาลารับลมแห่งนี้ แอนที่เสียงจะเงียบหายไปเมื่อฮ่องเต้หนุ่มตรัสถามอีกครั้ง
"จะเกิดภัยพิบัติอันใดกับแคว้นชิวอย่างนั้นรึ เจ้ารีบพูด!?"
"กราบทูลฝ่าบาท น้ำจะท่วม ประชาชนจะอดอยากและล้มตาย บ้านเมืองจะลุกเป็นไฟพะย่ะค่ะ"