บทที่ 4. อารมณ์แปรปรวนประดุจคลื่นลมของท่านแม่ทัพ

1660 Words
ข้านี่แหล่ะ ฮูหยินของท่านแม่ทัพ บทที่ 4. อารมณ์แปรปรวนประดุจคลื่นลมของท่านแม่ทัพ เช้านี้คงเป็นอีกหนึ่งในหลาย ๆ วัน ที่คนทั้งจวนสกุลหยางต้องพบเจอกับอารมณ์แปรปรวณประดุจน้ำทะเลที่ขึ้นลงกระทันหันของแม่ทัพหนุ่ม จนไม่มีใครกล้าเข้าหน้าแม้กระทั่งผู้เป็นพี่สาวก็ตาม ในห้องโถงที่มีไว้เพื่อหารือเรื่องงานกลับเงียบเชียบไร้ซึ่งคำพูดใด ทั้งที่มีคนอยู่ภายในเกือบยี่สิบคน เสียงเคาะนิ้วกับโต๊ะไม้เป็นจังหวะดังขึ้น ไม่ได้ทำให้เหล่าองครักษ์เกราะเหล็กที่เข้าร่วมหารือด้วยรู้สึกนึกรำคาญแต่อย่างใด ตรงกันข้ามกลับหวาดกลัวเสียด้วยซ้ำ ที่ทำได้คงมีเพียงยืนก้มหน้า หลีกเลี่ยงการสบตาและทำตัวให้ลีบเล็กมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ "อาหลง" น้ำเสียงยามเอ่ยเรียกหวังหลงนั้นช่างเย็นเยียบ ทำเอาคนถูกเรียกถึงดับสะดุ้ง "ขะ... ขอรับ... นายน้อย" "เยว่ซืออยู่ที่ใด ?" เสียงที่เอ่ยถามเริ่มกลับมาเป็นปรกติ แต่นัยน์คมประดุจเหยี่ยวนี่สิ ถ้าหากเป็นคมหอกคมดาบ หัวหน้าองครักษ์เกราะเหล็กอย่างอาหลงคงถูกทิ่มแทงจนพรุนไปหมดแล้วทั้งตัว "ฮูหยินน้อย... อยู่... อยู่ในห้องขอรับ" อาหลงกล่าวตะกุกตะกัก ก่อนกลืนน้ำลายผ่านลำคออย่างยากลำบาก "เจ้าว่ายังไงนะ ?" "เรียนนายน้อย ฮูหยินน้อยเก็บตัวอยู่ในห้องขอรับ" ปัง ! มือหนาตบลงบนโต๊ะสุดแรง จนเหล่าองครักษ์สะดุ้งกันถ้วนหน้า หยางเฟยฉีค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน สายตาคมกราดมองหน้าทุกคนที่เข้าร่วมหารือ ไม่เว้นแม้แต่รองแม่ทัพคู่ใจและหัวหน้าองครักษ์คนสนิททั้งสอง ที่เอาแต่ก้มหน้าลงมองพื้นราวกำลังหาเศษเงินที่เผลอทำหลุดมือหายไป ห้องทั้งห้องเงียบกริบ ไม่มีแม้เสียงลมหายใจ จากนั้นน้ำเสียงห้วนห้าวที่บอกอารมณ์หงุดหงิดของแม่ทัพหนุ่มก็ดังขึ้นมาอีก "เลิกระชุม ! ไป๋เจิง เอาหลง อาเหม่า ไปกับข้า !" กล่าวจบ ร่างสูงใหญ่ก็ก้าวพรวดออกไปอย่างรวดเร็ว โดยมีรองแม่ทัพและหัวหน้าองครักษ์ทั้งสองก้าวตามไปติด ๆ เหล่าทหารในหน่วยองครักษ์เกราะเหล็กที่ขึ้นตรงต่อฮ่องเต้เพียงผู้เดียวได้แต่ยืนทอดกายราวกับคนหมดแรง บางคนถึงกับทรุดตัวไปนั่งกับพื้น หลังจากที่ผ่านภาวะตึงเครียดหวาดระแวงมาตลอดเวลา ด้วยกลัวว่าจะต้องเจอกับพายุลูกใหญ่เป็นเวลาเกือบหนึ่งก้านธูป ขณะเดียวกัน ไป๋เจิง อาหลง และอาเหม่านั้น กำลังสวดอ้อนวอนกับองค์เทพเพื่อขอพรให้ตัวเองนั้นแคล้วคลาดปลอดภัยอยู่หน้าประตูเรือนใหญ่ที่เปรียบเสมือนห้องหอของหยางเฟยฉี เพราะเวลานี้นั้นแม่ทัพหนุ่มของพวกเขามิต่างอะไรกับพายุที่กำลังพัดโหมคลื่นทะเลขนาดยักษ์เข้าหาชายฝั่ง ส่วนสาเหตุก็มาจากฮูหยินน้อยเยว่ซือไม่ยอมให้ท่านแม่ทัพของพวกเขาเข้าไปข้างใน "เยว่ซือ เจ้ากล้าดียังไงถึงปิดประตูแน่นหนาไม่ยอมให้ข้าเข้าไป อาหลง อาเหม่า พวกเจ้าสองคนไปเปิดประตูให้ข้าเดี๋ยวนี้ !" หยางเฟยฉีออกคำสั่งเสียงดังกังวาลก้องไปทั่วบริเวณ คนสนิททั้งสองถึงกับสะดุ้งรีบทำตามคำสั่งด้วยอาการรนรานจนถึงขนาดวิ่งชนกันถึงขั้นล้มหงาย และเมื่อเงยหน้าขึ้นสบนัยน์ตาคมที่มองมาอย่างเอาเรื่อง หัวหน้าองครักษ์ทั้งสองก็รีบลุกขึ้นทันที ด้วยกลัวว่าศีรีษะกับตัวนั้นจะแยกจากกันก่อนถึงวัยอันควร จวบจนเวลาผ่านไปถึงหนึ่งก้านธูป แต่กระนั้นแล้วสองหัวหน้าองครักษ์หวังหลงและหวังเหม่าก็ยังไม่สามารถเปิดประตูเรือนใหญ่ตามคำสั่งของหยางเหยฉีได้สักที ใบหน้าของทั้งสองเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ รู้สึกเสียวสันหลังวูบวาบ เพราะรังสีสังหารที่แพร่กระจายอยู่เบื้องหลัง ไม่ต้องหันกลับไปดูก็รู้ได้ว่า เจ้าของสายตาอำมหิตนี้กำลังอยู่ในอารมณ์ไหน ในใจจึงเริ่มคร่ำครวญหวนไห้จนแทบอยากจะหลั่งหยาดน้ำตาออกมา ผ่านสงครามมามากนัก บาดเจ็บปางตายก็หลายครั้งหลายครา ล้วนแล้วไม่ถึงที่ตาย แต่ครานี้สงสัยจะได้ตายจริง ๆ เพราะเปิดประตูเรือนใหญ่ไม่ได้ ตกลงแล้วตำแหน่งหัวหน้าองครักษ์คนสนิทของแม่ทัพหยางเฟยฉีที่เป็นอยู่ในขณะนี้นั้น มันเป็นเรื่องร้ายหรือดีกันแน่ ฮูหยินน้อยเยว่ซือก็เช่นเดียวกัน แม่ทัพหยางเฟยฉีตะโกนจนคอแทบแตกถึงเพียงนี้ เหตุใดยังนิ่งเฉยดูดายอยู่ได้ "เยว่ซือ หากเจ้าไม่เปิดประตูเดี๋ยวนี้ ข้าจะพังประตูเข้าไป และไม่ใช่แค่ประตูเท่านั้นที่จะพัง เรือนใหญ่หลังนี้ ข้าก็จะพังให้ราบเช่นเดียวกัน !" สิ้นเสียงตะโกน ประตูบานใหญ่ก็เปิดออกกว้างทันที และปรากกฏร่างบอบบางของเยว่ซือยืนทำสีหน้าหงุดหงิดบ่งบอกถึงความไม่พอใจอยู่เบื้หน้าของแม่ทัพหนุ่ม "แม่ทัพหยาง ท่านจะก่อกวนข้าไปถึงไหนกัน ?" เยว่ซือกล่าวเสียงเข้ม นางแอบกลืนน้ำลายลงคอเมื่อเห็นใบหน้าหล่อเหลาถมึงทึงดูน่ากลัว แต่มีหรือที่นางจะแสดงอาการหวาดหวั่นให้คนตรงหน้าเห็น "พวกเจ้าไปเตรียมรถม้า" เสียงทุ้มหันไปสั่งคนสนิท และหันกลับมาหาเยว่ซืออีกครั้ง "เหตุใดจึงเอาแต่หมกตัวอยู่ในห้อง ?" มือใหญ่ฉุดรั้งร่างบางให้ก้าวออกมาจากห้อง พลางเอ่ยถามเสียงห้วน "ว่าอย่างไร ?" เสียงขุ่นตวาดถามมาอีก เมื่อหญิงสาวเอาแต่นิ่งเงียบ "ถ้าไม่อยู่แต่ในห้อง เช่นนั้นท่านจะให้ข้าไปที่ใดเล่า !" เยว่ซือย้อนถามเสียงห้วน เมื่อถูกตวาดใส่มาก ๆ เข้า นางก็เริ่มจะโมโหขึ้นมาบ้าง "มากับข้า !" หยางเฟยฉียุติสงครามน้ำลายที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วยการออกแรงลากเยว่ซือให้เดินตามเข้าห้องเอาดื้อ ๆ แต่มีหรือที่นางจะยอม ร่างบางดิ้นรนพยายามสะบัดมือให้หลุดจากการเกาะกุมแต่ไม่สำเร็จ จึงเปลี่ยนมาใช้เสียงเข้าสู้แทน "ท่านจะทำอะไร ปล่อยข้านะ !" อาการขัดขืน ทำให้คนลากชะงักฝีเท้าแล้วหันกลับมามอง ก่อนเอ่ยถาม "เจ้าคิดว่าข้าจะทำอะไร ?" "ข้าสิควรเป็นฝ่ายต้องถาม ท่านลากข้ากลับเข้ามาในห้องด้วยเหตุใด" เยว่ซือถามกลับ พยามแกะอุ้งมือหนาของแม่ทัพหนุ่มออกจนเป็นผลสำเร็จ "ข้าจะให้เจ้าเข้ามาแต่งตัว คืนนี้ฮ่องเต้ทรงจัดงานเลี้ยง เราต้องไปร่วมงานด้วย" "ข้าไม่ไป !" เยว่ซือปฏิเสธทันควัน ไม่สนใจดวงตาคมที่ลุกวาบขึ้นทันทีแม้แต่น้อย "ต้องไป !" "ก็บอกว่าไม่ไปยังไงเล่า !" "เจ้าแน่ใจนะ ว่าจะไม่ไป" นัยน์ตามคมประดุจเหยี่ยวหรี่มองร่างบางตรงหน้าเจ้าเล่ห์ "แน่ใจ" เยว่ซือตอบอย่างมั่นใจ หากดวงตากลมใสกลับมองร่างสูงตรงหน้าอย่างหวาดระแวง "ถ้าเช่นนั้น ข้าจะพาเจ้าไปเอง" กล่าวจบ หยางเฟยฉีก็ช้อนร่างบอบบางขึ้นพาดบ่า แล้วหมุนตัวเดินออกจากห้องไปเพื่อเตรียมตัวเข้าวังหลวงหน้าตาเฉย ไม่สนใจอาการดื้นรนอย่างเอาเป็นเอาตายของร่างเล็กบนบ่าเลยแม้แต่น้อย ส่วนเรื่องเสื้อผ้าและกายแต่งกายนั้นก็ไม่ใช่ปัญหา ฮองเฮาจะช่วยจัดการเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี แม่ทัพหนุ่มมั่นใจเช่นนั้น "แม่ทัพหยาง ท่านปล่อยข้าลงนะ !" เยว่ซือทั้งทุบทั้งถีบ แต่ร่างสูงก็หาได้สะเทือนไม่ "หากเจ้าไม่อายผู้คน ก็ดิ้นไปเรื่อย ๆ ให้ถึงวังหลวงก็แล้วกัน" หยางเฟยฉีเอ่ยด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ อารมณ์ที่ขุ่นมัวก่อยหน้านั้นดีขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อได้แกล้งหญิงสาวในอ้อมแขนหลังจากที่ไม่ได้แกล้งมาเสียหลายวัน "ไม่เอานะ ปล่อยข้าลงเดี๋ยวนี้ ปล่อยสิ !" กำปั้นเล็กรัวลงบนแผ่นหลังกว้างเป็นชุด แต่แม่ทัพหนุ่มกลับไม่สะดุ้งสะเทือนเลยสักนิด ฝีเท้าก้าวเดินต่อไปอย่างมั่นคงขณะออกมาจากจวนของของตน รองแม่ทัพไป๋เจิง และหัวหน้าองครักษ์ทั้งสองที่ยืนคอยอยู่หน้ารถม้าถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก เมื่อเห็นใบหน้าของแม่ทัพหนุ่มถนัดชัดเต็มสองตา นั่นเป็นเพราะใบหน้าในยามที่เข้าไปกับในยามที่ออกมานั้นช่างแตกต่างกันลิบลับราวฟ้ากับเหวลึก ก่อนเข้าไปหน้าตาราวกับจะฆ่าล้างเผ่าพันธ์กลุ่มกบฏแท้ ๆ หากแต่ตอนนี้กลับมีรอยยิ้มประดับตรงมุมปาก ช่างน่าอัศจรรย์ใจต่อผู้พบเห็นเช่นพวกตนยิ่งนัก มองจนตาแทบถลนออกมานอกเบ้าก็แล้ว อ้าปากค้างจนแมลงหวี่เข้าไปวางไข่ในปากได้ก็แล้ว ขบคิดเท่าใดก็หาสาเหตุความเปลี่ยนแปลงในอารมณ์ของแม่ทัพหนุ่มไม่ได้ สุดท้ายหวังเหม่าจึงหันไปถามความเห็นจากสหายอย่างหวังหลงที่หันกลับมาสบตากับเขาด้วยเหตุผลเดียวกัน คือไม่รู้ได้ ทั้งสองมองตากันอยู่ครู่ใหญ่ ต่างฝ่ายต่างส่ายศีรษะไปมาด้วยจนปัญญาที่จะตอบ จากนั้นจึงพร้อมใจกันหันไปเพื่อจะถามรองแม่ทัพไป๋เจิง หากแต่คงมิได้คำตอบอีกเช่นเคย เพราะไป๋เจิงเองก็มีสีหน้านิ่วคิ้วขมวดยิ่งกว่าพวกตนเสียด้วยซ้ำ สุดท้ายทั้งสามคนก็ต้องรีบกระโดดขึ้นหลังม้าคู่ใจเพื่อออกเดินทางตามรถม้าของแม่ทัพหนุ่มที่กำลังมุ่งหน้าเข้าสู่วังหลวงไปพร้อมกะงับอาการค้างคาในใจที่มิอาจแาคำตอบให้กับตัวเองได้
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD