ข้านี่แหล่ะ ฮูหยินของท่านแม่ทัพ
บทที่ 4. อารมณ์แปรปรวนประดุจคลื่นลมของท่านแม่ทัพ
เช้านี้คงเป็นอีกหนึ่งในหลาย ๆ วัน ที่คนทั้งจวนสกุลหยางต้องพบเจอกับอารมณ์แปรปรวณประดุจน้ำทะเลที่ขึ้นลงกระทันหันของแม่ทัพหนุ่ม จนไม่มีใครกล้าเข้าหน้าแม้กระทั่งผู้เป็นพี่สาวก็ตาม
ในห้องโถงที่มีไว้เพื่อหารือเรื่องงานกลับเงียบเชียบไร้ซึ่งคำพูดใด ทั้งที่มีคนอยู่ภายในเกือบยี่สิบคน เสียงเคาะนิ้วกับโต๊ะไม้เป็นจังหวะดังขึ้น ไม่ได้ทำให้เหล่าองครักษ์เกราะเหล็กที่เข้าร่วมหารือด้วยรู้สึกนึกรำคาญแต่อย่างใด ตรงกันข้ามกลับหวาดกลัวเสียด้วยซ้ำ ที่ทำได้คงมีเพียงยืนก้มหน้า หลีกเลี่ยงการสบตาและทำตัวให้ลีบเล็กมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
"อาหลง"
น้ำเสียงยามเอ่ยเรียกหวังหลงนั้นช่างเย็นเยียบ ทำเอาคนถูกเรียกถึงดับสะดุ้ง
"ขะ... ขอรับ... นายน้อย"
"เยว่ซืออยู่ที่ใด ?"
เสียงที่เอ่ยถามเริ่มกลับมาเป็นปรกติ แต่นัยน์คมประดุจเหยี่ยวนี่สิ ถ้าหากเป็นคมหอกคมดาบ หัวหน้าองครักษ์เกราะเหล็กอย่างอาหลงคงถูกทิ่มแทงจนพรุนไปหมดแล้วทั้งตัว
"ฮูหยินน้อย... อยู่... อยู่ในห้องขอรับ"
อาหลงกล่าวตะกุกตะกัก ก่อนกลืนน้ำลายผ่านลำคออย่างยากลำบาก
"เจ้าว่ายังไงนะ ?"
"เรียนนายน้อย ฮูหยินน้อยเก็บตัวอยู่ในห้องขอรับ"
ปัง !
มือหนาตบลงบนโต๊ะสุดแรง จนเหล่าองครักษ์สะดุ้งกันถ้วนหน้า หยางเฟยฉีค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน สายตาคมกราดมองหน้าทุกคนที่เข้าร่วมหารือ ไม่เว้นแม้แต่รองแม่ทัพคู่ใจและหัวหน้าองครักษ์คนสนิททั้งสอง ที่เอาแต่ก้มหน้าลงมองพื้นราวกำลังหาเศษเงินที่เผลอทำหลุดมือหายไป ห้องทั้งห้องเงียบกริบ ไม่มีแม้เสียงลมหายใจ จากนั้นน้ำเสียงห้วนห้าวที่บอกอารมณ์หงุดหงิดของแม่ทัพหนุ่มก็ดังขึ้นมาอีก
"เลิกระชุม ! ไป๋เจิง เอาหลง อาเหม่า ไปกับข้า !"
กล่าวจบ ร่างสูงใหญ่ก็ก้าวพรวดออกไปอย่างรวดเร็ว โดยมีรองแม่ทัพและหัวหน้าองครักษ์ทั้งสองก้าวตามไปติด ๆ เหล่าทหารในหน่วยองครักษ์เกราะเหล็กที่ขึ้นตรงต่อฮ่องเต้เพียงผู้เดียวได้แต่ยืนทอดกายราวกับคนหมดแรง บางคนถึงกับทรุดตัวไปนั่งกับพื้น หลังจากที่ผ่านภาวะตึงเครียดหวาดระแวงมาตลอดเวลา ด้วยกลัวว่าจะต้องเจอกับพายุลูกใหญ่เป็นเวลาเกือบหนึ่งก้านธูป
ขณะเดียวกัน ไป๋เจิง อาหลง และอาเหม่านั้น กำลังสวดอ้อนวอนกับองค์เทพเพื่อขอพรให้ตัวเองนั้นแคล้วคลาดปลอดภัยอยู่หน้าประตูเรือนใหญ่ที่เปรียบเสมือนห้องหอของหยางเฟยฉี เพราะเวลานี้นั้นแม่ทัพหนุ่มของพวกเขามิต่างอะไรกับพายุที่กำลังพัดโหมคลื่นทะเลขนาดยักษ์เข้าหาชายฝั่ง ส่วนสาเหตุก็มาจากฮูหยินน้อยเยว่ซือไม่ยอมให้ท่านแม่ทัพของพวกเขาเข้าไปข้างใน
"เยว่ซือ เจ้ากล้าดียังไงถึงปิดประตูแน่นหนาไม่ยอมให้ข้าเข้าไป อาหลง อาเหม่า พวกเจ้าสองคนไปเปิดประตูให้ข้าเดี๋ยวนี้ !"
หยางเฟยฉีออกคำสั่งเสียงดังกังวาลก้องไปทั่วบริเวณ คนสนิททั้งสองถึงกับสะดุ้งรีบทำตามคำสั่งด้วยอาการรนรานจนถึงขนาดวิ่งชนกันถึงขั้นล้มหงาย และเมื่อเงยหน้าขึ้นสบนัยน์ตาคมที่มองมาอย่างเอาเรื่อง หัวหน้าองครักษ์ทั้งสองก็รีบลุกขึ้นทันที ด้วยกลัวว่าศีรีษะกับตัวนั้นจะแยกจากกันก่อนถึงวัยอันควร
จวบจนเวลาผ่านไปถึงหนึ่งก้านธูป แต่กระนั้นแล้วสองหัวหน้าองครักษ์หวังหลงและหวังเหม่าก็ยังไม่สามารถเปิดประตูเรือนใหญ่ตามคำสั่งของหยางเหยฉีได้สักที ใบหน้าของทั้งสองเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ รู้สึกเสียวสันหลังวูบวาบ เพราะรังสีสังหารที่แพร่กระจายอยู่เบื้องหลัง ไม่ต้องหันกลับไปดูก็รู้ได้ว่า เจ้าของสายตาอำมหิตนี้กำลังอยู่ในอารมณ์ไหน ในใจจึงเริ่มคร่ำครวญหวนไห้จนแทบอยากจะหลั่งหยาดน้ำตาออกมา
ผ่านสงครามมามากนัก บาดเจ็บปางตายก็หลายครั้งหลายครา ล้วนแล้วไม่ถึงที่ตาย แต่ครานี้สงสัยจะได้ตายจริง ๆ เพราะเปิดประตูเรือนใหญ่ไม่ได้ ตกลงแล้วตำแหน่งหัวหน้าองครักษ์คนสนิทของแม่ทัพหยางเฟยฉีที่เป็นอยู่ในขณะนี้นั้น มันเป็นเรื่องร้ายหรือดีกันแน่
ฮูหยินน้อยเยว่ซือก็เช่นเดียวกัน แม่ทัพหยางเฟยฉีตะโกนจนคอแทบแตกถึงเพียงนี้ เหตุใดยังนิ่งเฉยดูดายอยู่ได้
"เยว่ซือ หากเจ้าไม่เปิดประตูเดี๋ยวนี้ ข้าจะพังประตูเข้าไป และไม่ใช่แค่ประตูเท่านั้นที่จะพัง เรือนใหญ่หลังนี้ ข้าก็จะพังให้ราบเช่นเดียวกัน !"
สิ้นเสียงตะโกน ประตูบานใหญ่ก็เปิดออกกว้างทันที และปรากกฏร่างบอบบางของเยว่ซือยืนทำสีหน้าหงุดหงิดบ่งบอกถึงความไม่พอใจอยู่เบื้หน้าของแม่ทัพหนุ่ม
"แม่ทัพหยาง ท่านจะก่อกวนข้าไปถึงไหนกัน ?"
เยว่ซือกล่าวเสียงเข้ม นางแอบกลืนน้ำลายลงคอเมื่อเห็นใบหน้าหล่อเหลาถมึงทึงดูน่ากลัว แต่มีหรือที่นางจะแสดงอาการหวาดหวั่นให้คนตรงหน้าเห็น
"พวกเจ้าไปเตรียมรถม้า"
เสียงทุ้มหันไปสั่งคนสนิท และหันกลับมาหาเยว่ซืออีกครั้ง
"เหตุใดจึงเอาแต่หมกตัวอยู่ในห้อง ?"
มือใหญ่ฉุดรั้งร่างบางให้ก้าวออกมาจากห้อง พลางเอ่ยถามเสียงห้วน
"ว่าอย่างไร ?"
เสียงขุ่นตวาดถามมาอีก เมื่อหญิงสาวเอาแต่นิ่งเงียบ
"ถ้าไม่อยู่แต่ในห้อง เช่นนั้นท่านจะให้ข้าไปที่ใดเล่า !"
เยว่ซือย้อนถามเสียงห้วน เมื่อถูกตวาดใส่มาก ๆ เข้า นางก็เริ่มจะโมโหขึ้นมาบ้าง
"มากับข้า !"
หยางเฟยฉียุติสงครามน้ำลายที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วยการออกแรงลากเยว่ซือให้เดินตามเข้าห้องเอาดื้อ ๆ แต่มีหรือที่นางจะยอม ร่างบางดิ้นรนพยายามสะบัดมือให้หลุดจากการเกาะกุมแต่ไม่สำเร็จ จึงเปลี่ยนมาใช้เสียงเข้าสู้แทน
"ท่านจะทำอะไร ปล่อยข้านะ !"
อาการขัดขืน ทำให้คนลากชะงักฝีเท้าแล้วหันกลับมามอง ก่อนเอ่ยถาม
"เจ้าคิดว่าข้าจะทำอะไร ?"
"ข้าสิควรเป็นฝ่ายต้องถาม ท่านลากข้ากลับเข้ามาในห้องด้วยเหตุใด"
เยว่ซือถามกลับ พยามแกะอุ้งมือหนาของแม่ทัพหนุ่มออกจนเป็นผลสำเร็จ
"ข้าจะให้เจ้าเข้ามาแต่งตัว คืนนี้ฮ่องเต้ทรงจัดงานเลี้ยง เราต้องไปร่วมงานด้วย"
"ข้าไม่ไป !"
เยว่ซือปฏิเสธทันควัน ไม่สนใจดวงตาคมที่ลุกวาบขึ้นทันทีแม้แต่น้อย
"ต้องไป !"
"ก็บอกว่าไม่ไปยังไงเล่า !"
"เจ้าแน่ใจนะ ว่าจะไม่ไป"
นัยน์ตามคมประดุจเหยี่ยวหรี่มองร่างบางตรงหน้าเจ้าเล่ห์
"แน่ใจ" เยว่ซือตอบอย่างมั่นใจ หากดวงตากลมใสกลับมองร่างสูงตรงหน้าอย่างหวาดระแวง
"ถ้าเช่นนั้น ข้าจะพาเจ้าไปเอง"
กล่าวจบ หยางเฟยฉีก็ช้อนร่างบอบบางขึ้นพาดบ่า แล้วหมุนตัวเดินออกจากห้องไปเพื่อเตรียมตัวเข้าวังหลวงหน้าตาเฉย ไม่สนใจอาการดื้นรนอย่างเอาเป็นเอาตายของร่างเล็กบนบ่าเลยแม้แต่น้อย ส่วนเรื่องเสื้อผ้าและกายแต่งกายนั้นก็ไม่ใช่ปัญหา ฮองเฮาจะช่วยจัดการเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี แม่ทัพหนุ่มมั่นใจเช่นนั้น
"แม่ทัพหยาง ท่านปล่อยข้าลงนะ !"
เยว่ซือทั้งทุบทั้งถีบ แต่ร่างสูงก็หาได้สะเทือนไม่
"หากเจ้าไม่อายผู้คน ก็ดิ้นไปเรื่อย ๆ ให้ถึงวังหลวงก็แล้วกัน"
หยางเฟยฉีเอ่ยด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ อารมณ์ที่ขุ่นมัวก่อยหน้านั้นดีขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อได้แกล้งหญิงสาวในอ้อมแขนหลังจากที่ไม่ได้แกล้งมาเสียหลายวัน
"ไม่เอานะ ปล่อยข้าลงเดี๋ยวนี้ ปล่อยสิ !"
กำปั้นเล็กรัวลงบนแผ่นหลังกว้างเป็นชุด แต่แม่ทัพหนุ่มกลับไม่สะดุ้งสะเทือนเลยสักนิด ฝีเท้าก้าวเดินต่อไปอย่างมั่นคงขณะออกมาจากจวนของของตน
รองแม่ทัพไป๋เจิง และหัวหน้าองครักษ์ทั้งสองที่ยืนคอยอยู่หน้ารถม้าถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก เมื่อเห็นใบหน้าของแม่ทัพหนุ่มถนัดชัดเต็มสองตา นั่นเป็นเพราะใบหน้าในยามที่เข้าไปกับในยามที่ออกมานั้นช่างแตกต่างกันลิบลับราวฟ้ากับเหวลึก
ก่อนเข้าไปหน้าตาราวกับจะฆ่าล้างเผ่าพันธ์กลุ่มกบฏแท้ ๆ หากแต่ตอนนี้กลับมีรอยยิ้มประดับตรงมุมปาก ช่างน่าอัศจรรย์ใจต่อผู้พบเห็นเช่นพวกตนยิ่งนัก
มองจนตาแทบถลนออกมานอกเบ้าก็แล้ว อ้าปากค้างจนแมลงหวี่เข้าไปวางไข่ในปากได้ก็แล้ว ขบคิดเท่าใดก็หาสาเหตุความเปลี่ยนแปลงในอารมณ์ของแม่ทัพหนุ่มไม่ได้ สุดท้ายหวังเหม่าจึงหันไปถามความเห็นจากสหายอย่างหวังหลงที่หันกลับมาสบตากับเขาด้วยเหตุผลเดียวกัน คือไม่รู้ได้
ทั้งสองมองตากันอยู่ครู่ใหญ่ ต่างฝ่ายต่างส่ายศีรษะไปมาด้วยจนปัญญาที่จะตอบ จากนั้นจึงพร้อมใจกันหันไปเพื่อจะถามรองแม่ทัพไป๋เจิง หากแต่คงมิได้คำตอบอีกเช่นเคย เพราะไป๋เจิงเองก็มีสีหน้านิ่วคิ้วขมวดยิ่งกว่าพวกตนเสียด้วยซ้ำ สุดท้ายทั้งสามคนก็ต้องรีบกระโดดขึ้นหลังม้าคู่ใจเพื่อออกเดินทางตามรถม้าของแม่ทัพหนุ่มที่กำลังมุ่งหน้าเข้าสู่วังหลวงไปพร้อมกะงับอาการค้างคาในใจที่มิอาจแาคำตอบให้กับตัวเองได้