ข้านี่แหล่ะ ฮูหยินของท่านแม่ทัพ
บทที่ 3. มิผิด ท่านคือฮูหยินน้อย
"เจ้าหลับไปตั้งสามวัน รู้สึกหิวหรือไม่เยว่ซือ ?"
หยางหลิงชีเอ่ยถามเพื่อชวนพูดคุย
"นิดหน่อยเจ้าค่ะ"
เยว่ซือตอบ พลางยกมือขึ้นลูบพุงของตนไปมา ที่บอกว่านิดหน่อย แท้จริงแล้วนางหิวมาก ๆ เลยต่างหาก
"ถ้าเช่นนั้น บ่าวจะรีบไปเอาอาหารมาให้ฮูหยินน้อยนะเจ้าคะ"
เสี่ยวชีกล่าวแทรกขึ้นด้วยท่าทางกระตือรือร้น หากแต่คนฟังอย่างเยว่ซือกลับมีสีหน้าสงสัย ก่อนเอ่ยถามออกมา
"ฮูหยินน้อย... เจ้าหมายถึงข้าหรือ ?"
มือเรียวสวยชี้ที่ตัวเอง
"มิผิดเจ้าคะ หากท่านมิใช่ฮูหยินน้อย แล้วจะเป็นผู้ใดได้เล่า"
เสี่ยวชีทำหน้างุนงงยิ่งกว่า
เยว่ซือกำลังจะอ้าปากปฏิเสธตำแหน่งฮูหยินน้อยที่ว่านี้ แต่พลันนึกขึ้นได้ว่า ในนิยายเยว่ซือคือภรรยาของหยางเฟยฉี หากนางถูกทุกคนเอ่ยเรียกว่าฮูหยินน้อยก็คงมิใช่เรื่องแปลก มาถึงตอนนี้นางให้นึกฉงนใจตัวเองนัก ว่าเหตุใดจึงได้หน้ามืดตามัว นำหยางเฟยฉีที่บ้าอำนาจมาเป็นพระเอกของเรื่องได้ หากรู้ว่าจะมีวันนี้ นางจะเขียนให้แม่ทัพหยางผู้นี้ตายในสนามรบเสียตั้งแต่ตอนแรกก็จบเรื่อง
"ถึงแม้ว่าเจ้ากับเฟยฉีจะยังมิได้กราบไหว้ฟ้าดิน แต่คนทั้งเมืองต่างรู้กันโดยทั่วแล้วว่าเจ้าป็นภรรยาของแม่ทัพหยางเฟยฉี จึงมิใช่เรื่องแปลกที่ผู้อื่นจะเรียกเจ้าว่าฮูหยินน้อย"
"เสี่ยวซือเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ"
"เจ้าเป็นอะไรไปเยว่ซือ เหตุใดอยู่ ๆ สีหน้าจึงเปลี่ยนไปซีดเซียวเยี่ยงนั้น ?"
หยางหลิงชีเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง เมื่อสังเกตเห็นว่าใบหน้างามบัดนี้นั้นซีดลงทุกขณะ
"ปะ... เปล่าเจ้าค่ะ แค่คิดอะไรเพลินไปหน่อยเท่านั้นเอง"
"ถ้าเช่นนั้น เจ้ากินอะไรเสียหน่อยเถิด มิมีสิ่งใดตกลงท้องมาสามวันแล้วนี่นะ คงจะหิวแย่"
ว่าแล้วหยางหลิงชีก็หันไปสั่งเสี่ยวชีที่ยืนรอรับคำสั่งอยู่ทางด้านหลัง
"ไปจัดสำรับอาหารมาให้เยว่ซือรองท้องหน่อย เตรียมมาเยอะหน่อยก็ดี เผื่อนายน้อยกับข้า และท่านพี่เจิงด้วย"
"เจ้าค่ะคุณหนู"
เสี่ยวชีรับคำ และรีบถอยหลังออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกลับมาอีกครั้งพร้อมกับบงขบวณอาหารที่สาวใช้เกือบหกคนช่วยกันถือเข้ามา
"นี่คือ... พี่หญิงชีชี เราจะกินกันสิบคนหรือเจ้าคะ ?"
ริมฝีปากสีชาดเอ่ยถามหยางหลิงชีที่นั่งอยู่ข้าง ๆ หากตายังคงมองตามเหล่าสาวใช้ช่วยกันจัดอาหารบนโต๊ะขนาดใหญ่ที่เอามาวางลงบนเตียงด้วยความรู้สึกทึ่ง
"ผิดแล้ว ที่เห็นอยู่ทั้งหมดนี้ เราจะกินกันสี่คนเท่านั้น"
"สี่คน ! อาหารมากมายขนาดนี้สิบคนยังแทบจะกินไม่หมดเลย แล้วสี่คนจะไปกินหมดได้ยังไงกัน"
เยว่ซือมองอาหารบนโต๊ะตรงหน้าตาโต หากนางกินทุกอย่างนี้หมด ไม่แคล้วคงกลายเป็นหมูแน่แท้
"เดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง"
"พี่หญิงชีชี"
เสียงทุ้มห้าวทรงอำนาจดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับเสียงฝีเท้าที่เข้ามาใกล้ ทำให้สองสาวต้องหันกลับไปมอง
"พี่เจิง เฟยฉี พวกเจ้ามากันแล้ว นั่งสิ จะได้กินกันสักที เยว่ซือหิวแย่แล้ว"
หยางหลิงชีโบกมือพร้อมกับเอ่ยชวน
"ขอรับพี่หญิง"
แม่ทัพหนุ่มนั่งลงตรงข้ามกับพี่สาวข้างกายเยว่ซือ ใกล้กันจนร่างเล็กแทบจะเกยขึ้นมาบนตัก ทั้ง ๆ ที่เยว่ซือพยามขยับหนีแล้ว แต่ร่างสูงใหญ่ก็ยังตามติดไม่ลดละ
ดวงตากลมใสจึงหันมาถลึงใส่คนข้างกายอย่างไม่พอใจ แต่มีหรือที่หยางเฟยฉีจะนำพาต่ออาการของนาง
ใบหน้าหวานงอง้า ยิ่งเห็นรอยยิ้มใสซื่อที่อีกฝ่ายส่งมาให้ นางก็ยิ่งอยากจะควักลูกตาของอีกฝ่ายออกมาแล้วสับให้ละเอียดเป็นร้อยเป็นพันชิ้น
"แม่ทัพหยาง ท่านถอยออกไปหน่อยได้หรือไม่ ที่นั่งออกกว้างขวาง ท่านจะเบียดข้าให้ได้อะไรขึ้นมา"
เยว่ซือหันมาแหวใส่คนข้างกายเมื่อเริ่มจะทนไม่ไหว มือบางพยายามผลักไสให้ร่างสูงให้ขยับออกห่างอย่างเหลืออดแต่ไม่เป็นผล ไม่เพียงแม่ทัพหนุ่มจะไม่ถอยห่างแล้ว เขายังจงใจเบียดเข้าใกล้แนบชิดยิ่งกว่าเดิมเสียอีก นัยน์ตาคมประดุจเหยี่ยวทอดมองร่างเล็กข้างกายพลางแย้มยิ้มยั่วเย้า
"ข้างนอกหนาวเย็นนัก นั่งใกล้กันอุ่นมากกว่า"
"อุ่นจนร้อนน่ะสิไม่ว่า ท่านถอยออกไปนะ"
เยว่ซือยังไม่ละความพยายามที่จะดันร่างสูงออกห่าง
ส่วนหยางเฟยฉีนั้น ยิ่งเห็นเยว่ซือหงุดหงิดมากเท่าใด อารมณ์อยากแกล้งของแม่ทัพหนุ่มก็ยิ่งมีเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น นัยน์ตาคมจึงเต็มไปด้วยแววแห่งความเจ้าเล่ห์ที่หญิงสาวไม่อาจไว้ใจได้
ร่างบางค่อย ๆ ถอยห่างอย่างระแวง แต่ดูเหมือนว่าจะสายไปเสียแล้ว เมื่อท่อนแขนแข็งแรงของคนข้าง ๆ กระหวัดรัดรอบเอวบางอย่างแน่นหนา ก่อนจะรั้งให้ขึ้นมานั่งบนตักโดยมิได้สนใจอาการดิ้นรนของคนในอ้อมแขนเลยแม้แต่น้อย
"แม่ทัพหยาง ท่านปล่อยข้าลงนะ !"
เยว่ซือเปล่งเสียงร้องด้วยความตกใจ พยายามดิ้นลงจากตักกว้างแต่ไม่เป็นผล ไม่เพียงเท่านั้น เจ้าของตักกลับยิ่งรัดเอวบางแน่นขึ้นจนหญิงสาวกระดิกตัวแทบไม่ได้
"ปล่อยข้านะ !"
"ไม่"
หยางเฟยฉีกล่าวเสียงเรียบ เท่านั่นไม่พอ จมูงโด่งยังฉวยโอกาสสูดดมกลิ่นหอมจากแก้มนิ่ม ๆ ของคนตัวเล็กเสียฟอดใหญ่
"กรี๊ดด ! ปล่อยข้านะ พี่หญิงชีชีช่วยเสี่ยวซือด้วย"
เยว่ซือหันไปขอความช่วยเหลือจากผู้ที่มีศักดิ์เป็นถึงพี่สาวของแม่ทัพหนุ่ม แต่ดูเหมือนว่านางจะไม่ได้รับความร่วมมือจากหยางหลิงชีเท่าใดนัก เพราะนางเอาแต่นั่งหัวเราะพลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่โดยมิได้สนใจเสียงห้ามปรามของน้องชายเลยสักเพียงนิด หนำซ้ำสาวใช้ที่อยู่ในห้องก็พากันทำหน้าแปลก ๆ จะหัวเราะก็ไม่ได้ ครั้นจะไม่หัวเราะก็ทนอดกลั้นไม่ไหว สุดท้ายหน้าตาของแต่ละคนจึงดูคล้ายกับว่ากำลังสำลักอะไรสักอย่าง
"ท่านแม่ทัพ ข้าจะกินข้าว"
เมื่อขอความช่วยเหลือจากผู้ใดมิได้ เยว่ซือจึงเปลี่ยนเปลี่ยนประเด็นแทน
"เจ้าหิวแล้วอย่างนั้นหรือ ?"
น้ำเสียงนุ่มเอ่ยถามคล้ายกับจะเห็นใจ ซึ่งเยว่ซือเองก็เกือบจะหลงเชื่อ หากไม่เหลือบไปเห็นดวงตาคู่คมที่ฉายแววเจ้าเล่ห์อยู่ตลอดเวลาคู่นั้น
กระทั่งสิ่งที่เยว่ซือคิดระแวงเป็นจริง เมื่อแม่ทัพหนุ่มยอมละมือข้างหนึ่งจากเอวบางแล้วใช้ตะเกียบคีบอาหารส่งให้ถึงปากคนที่ร้องบอกว่าตนหิว
"ข้ากินเองได้"
เยว่ซือปัดมือข้างนั้นออกพลางทำหน้างอ ไม่เข้าใจเลยสักนิดว่า ตัวละครหยางเฟยฉีที่นางเป็นคนบรรยายไว้นั้นกลายเป็นคนแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อใดกัน เขาต้องเป็นชายหนุ่มผู้เงียบขรึมเย็นชา และไว้ตัวสิถึงจะถูก
"หากไม่กินจากตะเกียบที่ข้าป้อน เช่นนั้นข้าจะป้อนด้วยปาก"
เจอคำขู่นี้เข้าไป ริมฝีปากสีชาดที่กำลังจะขยับแย้งรีบหุบโดยฉับพลัน และยินยอมรับอาหารที่ถูกมือหนาป้อนให้เข้าเต็มปากอย่างไม่เต็มใจเท่าใดนัก
"ถึงตาเจ้าบ้าง"
หยางเฟยฉีกล่าว ขณะที่เยว่ซือทำหน้างุนงงก่อนเอ่ยถาม
"อะไร ?"
"ข้าป้อนเจ้าแล้ว ถึงตาเจ้าป้อนข้าบ้าง"
"เพราะเหตุใดข้าต้องป้อนท่านด้วย"
หญิงสาวย้อนถาม นางไม่มีทางทำเช่นนั้นเด็ดขาด
"เพราะข้าป้อนเจ้าแล้ว เจ้าเองก็ต้องป้อนข้าด้วย"
"ข้าให้ท่านป้อนข้าเมื่อใดกัน มีแค่ท่านที่ดึงดันเอาแต่ใจตัวเองทั้งนั้น"
"ตกลงว่าเจ้าจะไม่ป้อน"
คิ้วเข้มของแม่ทัพหนุ่มเลิกขึ้นสูงเป็นเชิงถาม แต่นัยน์ตาคมกลับจับจ้องอยู่ที่ริมฝีปากอิ่มสีชาดของร่างบางบนตักเขม็ง
"ย่อมได้ !"
กล่าวจบ เยว่ซือก็รีบคีบอาหารยัดเข้าปากแม่ทัพหนุ่มอย่างรวดเร็ว หากขัดใจแล้วถูกเอาเปรียบอีก ไม่สู้คล้อยตามไว้ก่อนเป็นดี พี่หญิงชีชีนี่ก็กระไร ไม่คิดจะช่วยเหลือกันบ้างเลย นั่งกินไปยิ้มไปอยู่ได้ พิลึกคนจริงเชียว