ข้านี่แหล่ะ ฮูหยินของท่านแม่ทัพ
บทที่ 2. ถือกำเนิด
พลันความทรงจำก่อนหน้าก็ผุดขึ้นมาในมโนความคิดของหญิงสาว นางคือ ' เยว่เสี่ยวซือ ' ผู้อาภัพแสนอับโชค นางจำได้ว่ากำลังเดินทางกลับบ้าน หลังจากที่นำต้นฉบับนิยายของเธอไปเสนอให้กับสำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง แต่ถูกปฏิเสธกลับมา ขณะนั้นฝนตกหนัก และมีฟ้าคะนองไปทั่ว จำได้ว่าขณะนั้น หญิงสาวกำลังวิ่งข้ามถนนแต่ไม่พ้น เธอจึงถูกรถยนต์คันหนึ่งที่วิ่งฝ่าสายฝนมาด้วยความเร็วสูงพุ่งเข้าชนจนถึงแก่ชีวิต
ใช่ !
เธอตายแล้ว แต่ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้ แล้วที่นี่ที่ไหน สวรรค์หรือนรกกันแน่ ?
"ที่นี่ที่ไหนคะ ?" สุดท้ายก็ถามออกมาเมื่อทนเก็บความสงสัยเอาไว้ไม่ได้
"หลี่หยาง เมืองหลวงของแคว้นชิว"
เสียงทุ้มของชายหนุ่มที่อยู่หน้าสุดเอ่ยขึ้น และนั่นก็ส่งผลให้ดวงตากลมใสเบิกกว้างเหมือนไม่อยากจะเชื่อ หลี่หยาง เมืองหลวงแห่งแคว้นซ่งอย่างนั้นหรือ ล้อเล่นกันแรงไปแล้ว
ที่นี่จะเป็นเมืองหลวงของแคว้นชิวไปได้ยังไงกัน ในเมื่อสถานที่แห่งนั้นเป็นเพียงเรื่องสมมุติที่นางแต่งขึ้นมาเพื่อความบันเทิงเท่านั้น มันมีอยู่จริงที่ไหนกันเล่า
"เจ้าป็นอย่างไรบ้างเยว่ซือ ?"
หญิงนางเดียวในกลุ่มเอ่ยขึ้นเป็นพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน หากแต่เยว่เสี่ยวซือกลับนิ่งงัน เพราะสะดุดหูกับชื่อที่นางกล่าวเรียก
เยว่ซือ... อย่างนั้นหรือ บังเอิญอีกแล้ว คงไม่ใช่เยว่ซือนางกำนันคนโปรดของฮองเฮาหรอกนะ
"พี่หญิงชชีชี ท่านตรวจอาการนางดูหน่อยเถิด"
ชายคนเดิมกล่าวขึ้นอีกครั้ง สีหน้าของเขาเรียบเฉย จนคนที่ถูกยัดเยียดให้ป่วยนึกหมั่นไส้ จวบจนกระทั่งการตรวจสิ้นสุดลง ' พี่หญิงชีชี ' หรือ ' หยางหลิงชี ' จึงหันมากล่าวกับน้องชายของนาง
"นางปรกติดีทุกอย่าง"
ก็แน่ล่ะสิ นอกจากอาการปวดเมื่อยเนื้อตัวแล้ว นางก็ไม่ได้ป่วยเป็นอะไรนี่นา คนบนเตียงคิดในใจมิได้เอ่ยคำใดออกมา
"เยว่ซือ เจ้าจำอะไรได้บ้างไหม ?"
ชายหนุ่มคนเดิมหันกลับมาสนใจร่างบางบนเตียงอีกครั้ง
ในขณะที่หญิงสาวยังคงนั่งนิ่งทำหน้างงไม่ยอมตอบจนอารมณ์คนถามเริ่มครุกรุ่น เดือนร้อนถึงหยางหลิงชีต้องเอ่ยเตือน เพราะกลัวว่าคนอารมณ์ร้อนจะมีอาการโมโหในอีกไม่ช้านี้
"เจ้าตอบแม่ทัพหยางสิ"
แม้จะถูกเตือนหญิงสาวก็ยังไม่ยอมตอบ แต่กลับส่งสายตาถามคนเหล่านี้ว่า ' พวกเขาเป็นใคร ' และบุรุษหนุ่มอีกคนนั้นก็พอจะเข้าใจสายตาของหญิงสาว
จึงกล่าวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
"ฮูหยินน้อยเพิ่งจะฟื้นคืนจากอาการบาดเจ็บ คงจะยังจำอะไรไม่ค่อยได้ เช่นนั้นข้าน้อยจะแนะให้ท่านเข้าใจ ตัวข้าน้อยมีนามว่าไป๋เจิงเป็นสามีของแม่นางผู้นี้ ซึ่งก็คือหยางหลิงชี คุณหนูใหญ่แห่งบ้านสกุลหยาง ส่วนคุณชายท่านนั้น..."
ไป๋เจิงกล่าว ก่อนผายมือไปยังบุรุษหนุ่มอีกคนที่ยืนทำหน้านิ่งอยู่ทางด้านหน้า
"คุณชายท่านนี้คือแม่ทัพ ' หยางเฟยฉี ' แห่งเมืองหลี่หยาง อีกทั้งยังเป็นสามีของท่านด้วย"
"หยางเฟยฉี มาเฟียแห่งเมืองหลี่หยาง !"
ดวงตากลมใสเบิกโพลงด้วยความตกใจ เมื่อได้ยินชื่อของทุกคนจนครบ โดยเฉพาะชื่อของหยางเฟยฉีผู้นั้น
มือบางถูกยกขึ้นปิดปากเพื่อกั้นเสียงร้องอย่างตระหนก ยิ่งมองสำรวจคนตรงหน้าอย่างละเอียดเท่าไหร่ หญิงสาวก็ยิ่งรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงมากขึ้นทุกที ร่างกายรู้สึกหนักอึ้งราวกับจะหายใจไม่ออกเมื่อประมวลความคิดได้ และเป็นความจริงที่หนีไม่อาจพ้น
นางหลงเข้ามาในนิยายที่นางเป็นคนแต่งขึ้นมาเสียแล้ว !
เมื่อหญิงสาวเงียบ ทุกคนในห้องจึงพลอยเงียบตามนางไปด้วย ก่อนที่แม่ทัพหนุ่มหยางเฟยฉีจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด หลังจากหมดความอดทนกับบรรยากาศที่แสนจะน่าอึดอัดนี้
"ตกลงเจ้าจำได้หรือไม่ได้กันแน่ เอาแต่นั่งเงียบอยู่ได้"
ดวงตากลมโตตวัดมองคนพูดแวบเดียว ก่อนสะบัดหน้าหนีไปอีกทาง โดยไม่รู้ตัวเลยว่าการกระทำนี้ส่งผลให้ความหงุดหงิดของหยางเฟยฉีพุ่งขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว
"นี่เจ้า !"
เสียงห้วนห้าวบอกถึงความไม่พอใจของเจ้าตัวดังขึ้นลั่นห้อง
"เฟยฉี เจ้าใจเย็นก่อนเถิด"
หยางหลิงชีเอ่ยปราม ก่อนที่ร่างบางจะเดินมาทรุดกายลงนั่งบนเตียงใกล้ ๆ กับเยว่เสี่ยวซือ นัยตาคู่งามจับจ้องใบหน้าหวานตรงหน้าด้วยสายตาอ่อนโยน ไม่สนใจอาการฮึดฮัดของน้องชายเลยแม้แต่น้อย
"จริงอย่างที่อาเจิงบอก เยว่ซือเพิ่งจะหายป่วย เฟยฉีเจ้าเองก็อย่าเพิ่งคาดคั้นอะไรนางเลยนะ"
หยางหลิงชีกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน รู้สึกถูกชะตากับหญิงสาวยิ่งนัก ทั้งที่เมื่อก่อนนางเพียงรู้สึกเฉย ๆ กับนางเท่านั้น
"เยว่ซือ... คือฉัน... คือข้าอย่างนั้นหรือ ?"
เสียงหวานใสปานระฆังแก้วเอ่ยขึ้นแผ่วเบา นางพยายามปรับคำพูดให้เหมือนกับทุกคนที่นี่ เพื่อไม่ให้คนอื่น ๆ นึกประหลาดในตัวของนาง เป็นครั้งแรกที่นางเอ่ยพูดหลังจากเริ่มตั้งสติได้แล้ว เป็นผลให้คนทั้งห้องชะงัก ต่างพากันหันมามองหน้าผู้พูดเป็นตาเดียว
"มิผิด ชื่อของเจ้าคือเยว่ซือ"
' เยว่เสี่ยวซือ ' หรือ ' เยว่ซือ ' ที่ทุกคนเอ่ยเรียกแทบอยากจะยกมือขึ้นตบหน้าผากตัวเอง หลุดเข้ามาในนิยายที่ตัวเองแต่งขึ้นยังไม่พอ ยังมาอยู่ในร่างของตัวละครตัวหนึ่งอีกต่างหาก ถึงเยว่ซือผู้นี้จะเป็นนางเอกของเรื่องก็ตาม แต่นางกลับไม่รู้สึกดีใจเลยสักนิด
ถ้านางมาอยู่ในร่างของเยว่ซือ นั่นก็หมายความว่านางเป็นฮูหยินของหยางเฟยฉี มาเฟียแห่งเมืองหลี่หยางผู้นั้น คิดแล้วก็อยากจะกลับไปยังที่ ๆ นางจากมาเสียเหลือเกิน
"เกินอะไรขึ้นกับข้า เหตุใดข้าถึงได้ป่วย ?"
เยว่ซือเอ่ยถาม เหมือนนางจะนึกขึ้นมาได้ว่า ในนิยายนั้น เยว่ซือเป็นแม่นางที่อ่อนหวานและอ่อนโยน อีกทั้งยังเป็นกุลสตรีที่เพียบพร้อมทุกกระเบียดนิ้ว นั่นเพราะนางเป็นนางกำนัลที่ถูกฮองเฮาชุบเลี้ยงมาตั้งแต่ยังเล็ก แต่ไม่มีตอนไหนสักตอนที่ระบุไว้ว่าเยว่ซือป่วยหนักจนถึงขั้นเสียชีวืตนี่นา
"ในวันที่เจ้าออกเรือน รถม้าที่เจ้านั่งออกจากวังมาเกิดอุบัติเหตุตกลงไปยังก้นเหว คราแรกมิมีผู้ใดคิดว่าเจ้าจะรอดชีวิต แต่เฟยฉีไมิได้ย่อท้อ ระดมกำลังทหารค้นหาเจ้าทั่วทั้งหุบเขาจนเจอ เป็นโชดดียิ่งนักที่เจ้ารอดมาได้"
เยว่ซือหันหน้าไปมองหยางเฟยฉีตาขุ่นเขียว พลางค่อนแคะในใจว่าไม่น่าช่วยนางเลย ต้องมาอยู่ในร่างของผู้อื่นเช่นนี้ สู้ตายไปซะยังจะดีกว่า
ครู่นึงหนึ่งเยว่ซือจึงหันกลับมามองหยางหลิงชีอีกครั้ง คุณหนูใหญ่ของบ้านสกุลหยางหัวเราะออกมาเบา ๆ อย่างพอจะเดาความรู้สึกของเยว่ซือได้
"ท่าทางเยว่ซือจะจำเจ้าไม่ได้นะเฟยฉี"
"พี่หญิงชีชี !"
น้ำเสียงทุ้มเอ่ยอย่างไม่ชอบใจนัก แต่ยังมิทันได้พูดคำใดอีก ' หวังหลง ' หนึ่งในสองทหารคนสนิทก็เข้ามารายงาน หลังจากได้รับการแจ้งข่าวจากองรักษ์ที่มาจากวังหลวงคนหนึ่ง
"เรียนนายน้อย เผิงเหลยเจ้าเมืองฉางมาขอพบขอรับ"
"ข้ารู้แล้ว"
เรียวปากหยักหนาเอ่ยพูด หากสายตากลับจับจ้องใบหน้าของเย่วซื่อนิ่ง
"มีแขกมาถึงจวน เฟยฉี เจ้าก็ออกไปต้อนรับเถิด ส่วนนางพี่จะอยู่ดูแลเอง"
"ถ้าเช่นนั้น คงต้องรบกวนพี่หญิงชีชีแล้ว"
หยางหลิงชีพยักหน้าเพียงเล็กน้อย แม่ทัพหนุ่มจึงค่อยวางใจ จากนั้นร่างสูงรวมทั้งไป๋เจิงจึงพากันออกจากห้องไปพร้อมกับผู้ติดตาม คงเหลือแค่คุณหนูใหญ่แห่งสกุลหยางและสาวใช้ที่มีนามว่าเสี่ยวไช่และเสี่ยวชีที่ยังคงอยู่ในห้อง