บทที่ 4 ตอนที่ 1

1193 Words
แก้วบรั่นดีในมือถูกกำแน่น เขาแค่แสยะยิ้มให้ผู้ร่วมสนทนา แต่ไม่ได้ออกความเห็นใดๆ ทั้งสิ้น สายตาลอบกวาดไปมองรอบๆ ด้วยความสะเทือนใจ เจ็บแค้น                วันนี้เมื่อยี่สิบปีก่อน ครอบครัวของเขาต้องหมดสิ้นลมหายใจเพราะน้ำมือไอ้คนโฉดชั่ว หน้าด้านที่ถือวิสาสะเข้ามายึดครองเป็นเจ้าของอย่างเลือดเย็น รอยร้าวที่ฝังลึกแทบแตกเป็นเสี่ยง ความเจ็บปวดที่ไม่เคยได้รับการบรรเทา มันกำลังรุกรานเขาจนหายใจติดขัด                “คุณทอเลเมียสไม่สบายหรือเปล่าครับ หน้าซีดๆ จัง...” หนึ่งในบรรดาผู้ร่วมสนทนาเอ่ยทักขึ้นเมื่อลอบมองสีหน้าเหี้ยมเกรียมนั้นอยู่ได้สักพัก                “อ๋อ...เปล่าครับคุณธงชัย ผมแค่เหนื่อยกับการเดินทางเท่านั้นเอง นี่เพิ่งกลับมาจากสวิสก็ตรงมาที่งานเลยครับ” ชายหนุ่มกล่าวพร้อมรอยยิ้มเป็นมิตรที่ปรับสีหน้าให้ซุกซ่อนความพยาบาทเอาไว้ภายใน                “อ๋อ...อย่างนี้นี่เองงั้นเราไปหาที่นั่งดื่มกันดีกว่าไหมครับทุกคน ยืนนานชักเมื่อยแล้วเหมือนกัน” นายธงชัยยิ้ม กล่าวเชิญชวนซึ่งในกลุ่มต่างก็พยักหน้าเห็นด้วยรวมถึงทอเลเมียสเขาเดินตามคนอื่นๆ ที่กำลังมองหาโต๊ะเหมาะๆ เพื่อนั่งสนทนากันแบบสบายๆ                “นานๆ จะได้เห็นคุณทอเลเมียสออกงานกับเขานะครับ จำได้ว่าล่าสุดที่เจอคุณก็คงเป็นงานนิทรรศการอะไรสักอย่างเมื่อสองสามปีก่อน” การสนทนายังคงดำเนินไปเรื่อยๆ กระทั่งได้โต๊ะที่เหมาะสม ทุกคนจึงเลือกที่นั่งและเรียกหาเครื่องดื่มเบาๆ จากเหล่าบริกร “งานยุ่งน่ะครับ...ส่วนมากก็ทำงานในบริษัท ผมถนัดแบบนั้นมากกว่าครับ... “หนูเอพริลกับคุณวงศ์ศาสตร์นี่โชคดีจริงๆ นะครับที่ได้เสือจับยากอย่างคุณทอเลเมียสมาร่วมงานด้วย” อีกคนเสริมทัพโดยไม่ได้คิดอะไรลึกซึ้ง                “คุณลุงท่านไปต่างประเทศครับ เลยให้ผมมาแทน...งานสำคัญๆ อย่างนี้จะให้คนอื่นมาก็น่าเกลียดแย่” น้ำเสียงตอนท้ายประโยค เน้นหนักตามอารมณ์แต่ก็ไม่มีใครผิดสังเกต ยังคงชักชวนกันพูดคุยเรื่อยเปื่อยตามประสาคนทำแต่งาน ที่นานๆ ครั้งจะได้มาพบเจอกันพร้อมหน้า ทอเลเมียสทำหน้าที่เป็นผู้ฟังที่ดีเสียมากกว่าจะออกความเห็น แต่สายตาเขาไม่เคยหยุดนิ่ง พลางลอบกวาดมองไปทั่วอยู่ตลอดเวลา เพื่อจับจ้องสองพ่อลูกเจ้าของงาน ไม่ให้คลาดสายตา ไหนๆ หลังจากที่รอเวลามานานเหลือเกินถึงยี่สิบปี คืนนี้เขาก็มาแล้วมันต้องมีอะไรติดไม้ติดมือกลับไปบ้างล่ะ สบโอกาสของชายหนุ่มทันที เมื่ออรุโณรีย์ที่กำลังควงคู่กับบิดาทักทายกับแขกเหรื่อในงาน กำลังจะปลีกตัวเดินเข้าบ้านไปตามลำพัง ชายหนุ่มยิ้มร้ายมุมปากก่อนจะลุกขึ้นและบอกกับเพื่อนร่วมโต๊ะตามมารยาท                “ผมขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะครับ...”                “อ๋อครับ...เชิญครับคุณทอเลเมียส”                ทอเลเมียสจับชายเสื้อสูทดึงกระชับแล้วเดินออกจากวงสนทนา สายตาดุจพญาเหยี่ยวของเขาส่อแววเจ้าเล่ห์ โดยที่ใครก็ไม่อาจมองเห็นหรือรับรู้ความคิดในใจ เขาตรงเข้าไปในตัวบ้านทันที ยังมองเห็นด้านหลังของหญิงสาวไวๆ และดูเหมือนในบ้านจะค่อนข้างเป็นส่วนตัว ไม่มีแขกเหรื่อในงานเข้ามาเพ่นพ่านเลยสักคน คงมีแต่แสงไฟเปิดสว่างไสวไปทั่วทุกมุมเท่านั้น เสี้ยววินาทีใจของทอเลเมียสก็เริ่มทำงานหนักอีกครั้ง เมื่อเดินลึกเข้ามาเรื่อยๆ ยี่สิบปีแล้ว วันนี้...เป็นวันครบรอบยี่สิบปีที่เขาได้จากร่มแห่งชายคาแห่งนี้ สถานที่ซึ่งบันทึกเรื่องราวแห่งความทรงจำที่สวยงามและ...เลวร้ายที่สุดในวันที่เขากระเสือกกระสนหนีรอดออกไป                “คุณ...เอ่อ ต้องการอะไรหรือเปล่า...คือ...เราไม่อนุญาตให้แขกในงานเข้ามาที่นี่นะคะ” เสียงหวานดังแว่วมาจากด้านหน้าทำให้ชายหนุ่มปรับสีหน้าและสายตา แล้วหันมามองเธอ รอยยิ้มมุมปากเล็กๆ มีเสน่ห์ทำให้หญิงสาวต้องก้มหน้าหลบอย่างไม่รู้สาเหตุ                “ขอโทษครับ...ผมจะเข้าห้องน้ำ”                “อ๋อ...ห้องน้ำด้านนอกก็มีค่ะ ที่ด้านนอกตัวตึกคุณลองเดินไปดูสิคะ”                “ขอบคุณครับ...หืม...นั่นของขวัญที่ผมให้ ลองแกะดูสิครับ” ชายหนุ่มถามเพราะสังเกตในมือเธอยังถือกล่องของขวัญเล็กๆ ที่เขามอบให้อยู่ หญิงสาวรีบดึงมือไปซุกไว้ด้านหลังอย่างลืมตัว ใบหน้าร้อนผ่าวรู้สึกอายที่เขาจับได้ว่า เธอยังถือของขวัญชิ้นนี้เอาไว้ ทั้งๆ ที่เวลาก็ผ่านมาเป็นชั่วโมงแล้ว                “เอ่อ...ฉันกำลังจะเอามันไปเก็บบนห้องค่ะ ชิ้นเล็กๆ แบบนี้กลัวจะหล่นหาย” อรุโณรีย์ตอบอ้อมแอ้มยังไม่กล้าสบตาผู้บุกรุก                “ลองแกะดูสิ ผมอยากให้คุณเห็น ผมตั้งใจเลือกเป็นพิเศษเลยนะ เพราะคุณลุงท่านบอกล่วงหน้าก่อนจะไปสวิต ว่าให้ผมมางานวันเกิดของคุณ” เขาบอกน้ำเสียงนุ่มลึกอ่อนโยน บ่งบอกให้เจ้าตัวรู้สึกถึงความสำคัญ ทว่าขาดความจริงใจโดยสิ้นเชิง กระนั้น ก็ยังทำให้หัวใจของสาวน้อยแรกรุ่นที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ เต้นระทึกไม่เป็นจังหวะ                “ขอบ...ขอบคุณมากค่ะ แต่เอาไว้ก่อนดีกว่า คือ...ค่อยแกะพร้อมกันกับกล่องอื่นก็ได้ค่ะ                “ผมอยากให้คุณเห็นตอนนี้...ผมจะได้รู้ว่าคุณชอบมันไหม”                “คือ...”                   “ผมแกะให้ก็ได้นะ เอามาสิ...” ไม่ได้รอคำตอบ ทอเลเมียสเดินตรงไปยืนประชิดตัวเธอ และเอื้อมไปด้านหลัง ดึงมือข้างที่ถือกล่องของขวัญมาด้านหน้า แล้วหยิบกล่องใบเล็กมาไว้กับตัวอย่างถือวิสาสะ หญิงสาวยังไม่กล้าพอจะมองหน้าเขา เพราะทอเลเมียสเล่นจ้องดวงหน้าหวานที่ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางบางเบาจนมองเห็นซับสีเลือดระเรื่อแบบไม่วางตา และแทนที่จะห้ามไม่ให้เขาทำมิดีมิร้ายกับของขวัญที่เป็นสมบัติของเธอไปแล้ว อรุโณรีย์กลับได้แต่ยืนนิ่งตัวแข็งทื่อ เธอคงโดนเขาเป่ามนต์ดำใส่แล้วเป็นแน่ ถึงได้รู้สึกหวามไหวทำอะไรไม่ถูกกับคนแปลกหน้าเช่นนี้ เพราะมันไม่เคยเป็นมาก่อน เมื่อชายหนุ่มมายืนตรงหน้าให้เห็นชัดๆ ท่ามกลางแสงไฟที่สว่างโร่ อรุโณรีย์ก็พบว่าดูจากหน้าตาแล้วเขาคงจะอายุมากกว่าเธออยู่หลายปี อาจจะเป็นลูกครึ่งหรือไม่ก็ต่างชาติอย่างเต็มตัว เพราะดูแล้วแทบมองไม่เห็นความเป็นคนไทยเลยนอกจากภาษาพูดที่ชัดถ้อยชัดคำ เขาเป็นชายหนุ่มผิวขาวที่ดูเข้มด้วยหนวดเคราครึ้มตามใบหน้าให้พอดูดี ไม่รกรุงรังจนน่าเกลียด ทั้งคิ้วและเส้นผมที่ดำขลับนั้นด้วยที่ช่วยส่งเสริมให้ความขาวของผิวพรรณและสีของดวงตาเด่นชัดขึ้น
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD