“เอ่อ...”
“นี่ไง...คุณชอบรึเปล่า” ชายหนุ่มพร้อมทั้งหยิบเอาของที่บรรจุในกล่องกำมะหยีซึ่งอยู่ในกล่องกระดาษที่ห่อเอาไว้อีกชั้น กิ๊บล็อกติดผมประดับด้วยเพชรและไข่มุกล้ำค่า...
รูปทรงของมันเป็นสี่เหลี่ยมแบ่งเป็นสามแถวเล็กๆ น่ารัก ตัวกิ๊บทำด้วยทองคำขาว ด้านนอกสองข้างมีเพชรเม็ดแวววาวประดับประดาสวยงาม ส่วนแถวกลางตกแต่งด้วยไข่มุกสีขาว เขารู้ได้อย่างไรว่าเธอชอบไข่มุกเป็นที่สุด คำถามนั้นไหลเข้ามาในความคิดพร้อมๆ กับดวงตาที่แหงนมองด้วยความสงสัยของเธอ แต่มันคงเป็นแค่ความบังเอิญล่ะมัง
“ชอบไหม...ผมเลือกไม่ค่อยเก่งไม่สันทัดเรื่องสวยๆ งามๆ เท่าไหร่”
“ค่ะ...ชอบค่ะสวยดี” หญิงสาวตอบตะกุกตะกัก แล้วรีบหลบสายตาคมปลาบของเขา ถ้าเป็นคนสนิทคุ้นเคยเธอคงไม่ประหม่าอย่างนี้ แต่นี่...เขาคือคนที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อนหน้าเท่านั้นแล้วยังต้องมาอยู่ในสถานการณ์อันชวนอึดอัดแบบสองต่อสองอีก ถ้าเขาเป็นคนแปลกหน้าที่...ไม่ได้ดูสมบูรณ์แบบไปเสียทุกอย่างเช่นนี้ ไม่รู้ว่าใจเธอมันจะสั่นระทึกแบบนี้หรือเปล่า
“ติดเลยนะผมอยากเห็นตอนที่มันอยู่บนเส้นผมคุณ” เขาถือวิสาสะอีกแล้ว ด้วยระยะที่ห่างกันเพียงแค่คืบง่ายนักกับการที่เขาจะทำในสิ่งที่พูด
“ไม่...ไม่ต้องค่ะ ฉันติดเองดีกว่า” เธอยกมือทำท่าปฏิเสธพร้อมถอยหลังไปก้าวหนึ่งพยายามรักษาระยะห่างที่มีอยู่น้อยนิด
“อย่าดื้อ...” เขาต่อว่าเสียงนุ่มเบาหวิวเหนือศีรษะเธอ สะกดให้หญิงสาวยืนตัวแข็งในท่าเดิม สาบานได้ตั้งแต่เกิดจนครบรอบยี่สิบปีในวันนี้ ไม่เคยมีใครทำให้เธอประหม่าได้เท่าเขาเลย นั่นอาจเป็นเพราะโลกของเธอค่อนข้างแคบไปเสียสักหน่อย ไม่เคยได้ออกงานสังคมใหญ่โตอย่างคนอื่นๆ ที่อยู่ในฐานะระดับเดียวกัน
แต่ที่น่าแปลกก็คือ ใช่ว่าเธอไม่เคยเจอคนหล่อเอาเสียเลย แล้วทำไมผู้ชายคนนี้ถึงได้มีอิทธิพลเหลือเกินในความรู้สึกของเธอ เขา...คุกคาม...ถือดี แต่ยังอยู่ในขอบเขตที่เรียกว่าให้เกียรติ ยิ่งคิดก็ยิ่งสับสน นี่ขนาดเพิ่งเจอกันครั้งแรก แล้ว...ถ้ายังจะต้องเจอกันอีกล่ะ มันจะเป็นยังไง
“เสร็จแล้ว...” เสียงทุ้มนุ่มนวลปลุกสติเธอกลับมาอีกครั้ง หญิงสาวรู้สึกใบหน้าของตัวเองร้อนผ่าวๆ ราวกับถูกเป่าด้านลมร้อนอยู่ตลอดเวลา ชายหนุ่มก้าวถอยหลังให้ห่างจากร่างบอบบางเล็กน้อยแล้วยิ้มให้
“จริงๆ แล้วเอ่อ...กิ๊บตัวนี้มันคงแพงมากคุณไม่น่าลำบากเลยนะคะ แค่ของขวัญธรรมดาๆ ก็พอแล้วค่ะ” “มันเหมาะกับคุณ...” เขาตอบยิ้มๆ มือสองข้างสอดเข้ากระเป๋ากางเกง ไม่นึกว่าลูกสาวของวงศ์ศาสตร์จะดูเป็นเด็กหัวอ่อนได้ขนาดนี้ หน้าตาท่าทางก็ดูดีอยู่หรอก แต่...แค่ต้องกล้ำกลืนมองแล้วฝืนพูดด้วยอยู่นานสองนานเนี่ย ก็แทบจะสำรอกอยู่แล้วล่ะ “ฉัน...ขอตัวก่อนนะคะหายมานานแล้วเดี๋ยวคุณพ่อจะเป็นห่วง ขอบคุณมากนะคะคุณ...เอ่อถ้าจำไม่ผิด คุณทอเลเมียสใช่ไหมคะ” หญิงสาวบอกเขาอย่างเขินๆ จำได้ว่าบิดาเธอเรียกเขาว่าอย่างนั้นตอนที่เข้ามาในงาน ทอเลมี ทอเดเมียส...ทอเลเมียส นั่นแหละถูกแล้ว...คนอะไรชื่อเรียกยากเสียจริง
“ครับ...” เจ้าของชื่อขานรับคำสั้นๆ เสียงเข้มชัดเจน จนกระทั่งเธอก้มหน้าเดินผ่านตัวเขาที่ยังยืนอยู่ท่าเดิมเพื่อจะออกไปด้านนอก ชายหนุ่มก็กล่าวอีกประโยคให้หญิงสาวต้องเก็บเอาไปคิดอย่างครึ้มใจ
“ผมชื่อนาซี...ถ้าเราเจอกันอีกเรียกผมว่านาซีนะเป็นชื่อเล่น สำหรับคนสำคัญเท่านั้นที่ให้เรียก...” สิ้นเสียงของน้ำคำ อรุโณรีย์หยุดชะงักหัวใจของเธอสั่นไหวอีกแล้ว คนสำคัญอย่างนั้นเหรอ แล้วเธอจะไปสำคัญอะไรกับเขาล่ะ
“ค่ะคุณนาซี...” แต่ก็ตอบรับไปอย่างเสียไม่ได้ คล้ายรับตำแหน่งเป็น ‘คนสำคัญ’ คนใหม่ไปในตัว เธอไม่รู้หรอกว่าขอบเขตคำนั้นของเขามันกว้างแค่ไหน และตอนนี้สมองมันก็ขาวโพลนเกินกว่าจะคาดเดาอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าได้อีก
“ฉัน...ขอตัวค่ะ...” อีกครั้งที่เธอบอกกับเขา แล้วก็รีบเดินอย่างไม่คิดเหลียวหลังอีกเลย ทอเลเมียสหันกลับมามองตามหลังไวๆ ที่เดิมดุ่มเข้าไปในบริเวณงาน แฝงเร้นกลืนไปกับฝูงชนที่มาร่วมเป็นแขกเหรื่อ เท่านั้น...ทั้งสีหน้าและแววตาของเขาก็เปลี่ยนไปราวกับคนละคน
ครั้งหนึ่งเขาเคยคิดหาวิธีต่างๆ นานา เพื่อเข้าถึงตัววงศ์ศาสตร์แบบใกล้ชิดที่สุด แต่ก็ไม่เคยเป็นผล จิ้งจอกเฒ่าค่อนข้างระวังตัวแจ และด้วยธุรกิจที่ดำเนินไปคนละทิศทาง การจะได้ร่วมงานกันมันจึงค่อนข้างเป็นไปได้ยาก ยิ่งจะล้วงลึกให้ถึงแก่นเพื่อเอาคืนให้ถึงรากถึงโคนยิ่งแล้วใหญ่ แทบมองไม่เห็นทางจะเป็นไปได้เลย
แต่วันนี้...เขารู้แล้วว่าจะเข้าทางไหนจึงจะได้ถึงเนื้อถึงตัวจิ้งจอกเจ้าเล่ห์แบบไม่มีพิรุธ แนบเนียน และสาแก่ใจเขามากที่สุด แผนการที่ไม่เคยอยู่ในสมองค่อยๆ ไหลออกมาเป็นขั้นเป็นตอน ผลลัพธ์ ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่แค่ปลายจมูกเขาเท่านั้น ทุกอย่างที่เป็นของเขา...กำลังจะหวนกลับมาอยู่ในมือแล้ว รวมไปถึง...ลมหายใจ และความเจ็บปวดทรมานของไอ้คนโฉดชั่ว ชายหนุ่มแสยะยิ้มอย่างร้ายกาจ เมื่อบางสิ่งบางอย่างผุดเข้ามาในความคิด มีความเจ็บอื่นใดจะเทียบเท่า...กับความเจ็บซึ่งคนที่ตัวเองรักและไว้ใจที่สุดเป็นคนมอบให้ อา...ยิงปืนนัดเดียวได้นกทั้งรัง ต้องขอบใจรวิภัณดาที่เลือกของขวัญชิ้นนั้นให้ ตอนที่เขาไปเยี่ยมเธอที่สวิตพร้อมกับทรงภูมิ ดูจะถูกใจสมันน้อยเนื้อหอมชวนให้กลืนกินนั่นเอาการ
ชายหนุ่มกวาดสายตาไปรอบๆ ทางเดินที่เขายืนอยู่อีกครั้ง ด้วยความเศร้าหมอง แม้ทุกอย่างจะเปลี่ยนไปหมด แต่เขาก็ไม่เคยลืมภาพเก่าๆ ในอดีตแม้แต่วินาทีเดียว วันนี้ที่ได้เหยียบย่างเข้ามาในบ้านของตัวเองอีกครั้ง แม้จะในฐานะคนนอก แต่ทอเลเมียสก็ยังดีใจ ถึงจะมีความเสียใจแฝงอยู่มากกว่า อย่างน้อยก็ยี่สิบปีมาแล้วที่เขารอคอยจะได้เข้ามาในคฤหาสน์หลังนี้ สถานที่ที่มีแต่ความทรงจำอันสวยงาม อบอุ่น และเต็มไปด้วยความสุข แต่หลังจากคืนวิปโยคนั่น...ความรู้สึกในส่วนนั้นของเขาก็ตายจากไปพร้อมๆ กับทุกคนในบ้านและไม่เคยหวนกลับมาอีกเลย ทุกอย่างเป็นเพราะคนคนเดียวแท้ๆ ที่ผลาญพรากจิตวิญญาณของเขาไป
ทอเลเมียสไม่ได้อยู่จนงานเลิก เขากลับก่อนเวลาไม่เท่าไหร่ เพราะไม่อาจทนเห็นหน้าวงศ์ศาสตร์กับบุตรสาวที่ดูมีความสุขเสียเหลือเกินได้ มันท้าทายความอดทนของเขามากไป หลังจากวันนั้นชายหนุ่มก็เริ่มเปลี่ยนเป้าหมาย จากที่เคยตามประกบวงศ์ศาสตร์เป็นระยะ ก็เปลี่ยนเป็นให้คอยจับตาดูอรุโณรีย์แทน ว่าวันๆ หญิงสาวทำอะไรไปที่ไหนกับใคร แม้ครั้งหนึ่งเขาจะทำแบบนี้มาบ้างแล้วแต่ตอนนี้ก็แค่จะหาข้อมูลของพ่อเธอเท่านั้น ต่างจากเวลานี้ที่มุ่งตรงไปยังตัวหญิงสาวแสนสวยคนนั้นโดยตรง
เพื่อ...ดำเนินแผนการขั้นต่อไป อาจจะไม่เป็นตามที่คาดหวังเสียทุกอย่างแต่เขาเชื่อว่า เขาต้องได้ประโยชน์อะไรบ้างล่ะไม่มากก็น้อย หลายครั้งหลายหนที่ทอเลเมียสไปปรากฏตัวยังสถานที่ที่หญิงสาวอยู่ ให้ดูเหมือนทุกอย่างเป็นความบังเอิญ แต่อันที่จริงคือความจงใจที่แนบเนียน แม้ในบรรดาหลายครั้งจะแค่ทักทายกันเฉยๆ หรือไม่ก็แทบไม่ได้คุยอะไรกันเลยแต่ชายหนุ่มก็สังเกตอาการของอรุโณรีย์อยู่เสมอ เขามองออกว่าเธอกำลังสับสนใจกับความรู้สึกของตัวเอง บางครั้งเขายังแอบเห็นหญิงสาวชะเง้อมองหา และบางครั้งก็ทำท่าเหม่อลอยเมื่อไม่เห็นเขาอย่างที่เธอคาดหวัง ด้วยอายุและประสบการณ์...เขาดูออก